บทที่4
ดวงตาสวยเหลือบมองไปยังสองแม่ลูกนั่น นางอยากแก้แค้นทั้งสองให้ตายไปเสียเดียวนี้ แต่หากทำเช่นนั้นการย้อนกลับมาครั้งนี้ก็คงเสียเปล่า นางจะต้องค่อย ๆ แก้ไปทีละจุดเพื่อให้ทุกคนที่เคยทำไม่ดีกับนางได้รับผลของตัวเองให้มากที่สุด
ทุกคนมองหญิงสาวที่เดินเข้ามาด้วยสายตาไม่ต้อนรับแต่คนที่มองหญิงสาวด้วยสายตาอาฆาตมากที่สุดคงเป็นฮูหยินตระกูลเยว่ในตอนนี้ หากเยว่เหลียนไม่เอ่ยวาจาเช่นนั้นต่อหน้าธารกำนัล ตอนนี้นางคงถูกส่งกลับไปยังตระกูลของมารดานางแล้ว
มาเพื่อจะเป็นฮูหยินตระกูลตงนั่นรึ ทั้ง ๆ ที่ถ้าไม่มีนางสักคนคุณชายตระกูลตงนั่นก็จะต้องเป็นของเม่ยเอ๋อร์ลูกของนางแท้ ๆ น่ารำคาญพอ ๆ กับมารดาของมันเลย
“ทุกคนดูสีหน้าไม่ค่อยดีเลย ข้ามาช้าไปหรือเจ้าคะ พวกท่านคงไม่ตำหนิข้าที่มาช้านั่นก็เพราะฝนตกหนทางมาเมืองหลวงนั้นลำบากยิ่งนัก” เยว่เหลียนตั้งใจจะบอกทั้ง ๆ ที่ไม่จำเป็น แต่นางทำก็เพื่อดูอาการของแต่ละคนก็เท่านั้น
“ปลอดภัยมาก็ดีแล้ว” คำที่เอ่ยออกมาส่ง ๆ ด้วยความไม่เต็มใจก่อนจะเงียบสนิทนั้นก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกหลาย ๆ อย่างชัดเจน
“ว่าแต่ที่บ้านนอกเขาไม่สอนเรื่องของฝากหรืออย่างไร”
เยว่เหลียนรู้ว่าแม่เลี้ยงของนางจะต้องเอ่ยคำนี้ออกมา คำสั่งที่ให้แม่นมพานางไปซื้อของฝากก็คงมาจากอีกคน ตอนนี้ก็คงจะพูดเพื่อเปิดเรื่องให้นางโดนด่าสินะ
“แน่นอนว่าต้องมีอยู่แล้วเจ้าค่ะ หลาน...” หญิงสาวจงใจไม่เรียกตนว่าลูกเพราะไม่อยากยุ่งกับบิดาที่ดูแลมารดาของนางเอาไว้ไม่ได้ และก็ไม่อยากจะรับแม่เลี้ยงเป็นแม่ของนางด้วยซ้ำ
“อาจื่อเอาห่อภาพวาดมาให้ข้าหน่อย” เยว่เหลียนหันไปบอกสาวใช้ “แม้จะไม่มากอะไร แต่ก็ใช้เงินเก็บไปมากโขหวังว่าท่านย่าท่านพ่อจะชอบ”
บิดาของเยว่เหลียนสนใจในภาพที่ถูกนำเข้ามาเขาเดินเข้าไปเปิดออกในทันที นั่นก็เพราะภาพวาดเป็นสิ่งที่คนมีอายุชอบ
“งดงาม งดงามยิ่งนัก”
เยว่เหลียนได้ยินเสียงบิดาก็ทั้งพอใจทั้งสมเพชอีกฝ่าย
“การลงน้ำหนักพู่กันมีอารมณ์อยู่ในนั้น คล้ายกับการเขียนของโจวผิงเลยเจ้าว่าไหม” ย่าของเยว่เหลียนหันไปถามลูกชาย
“ใช่ขอรับ ภาพนี้ช่างเหมือนกับภาพที่เหล่าบัณฑิตกล่าวถึงแต่มิเคยมีใครได้เห็น”
เยว่เหลียนพอใจที่ภาพของนางกลายเป็นประเด็นให้ท่านย่าและท่านพ่อพูดคุยจนลืมสองแม่ลูกนั่น และบางทีก็อาจจะลืมแม้กระทั่งนาง
“ก็คงเป็นเพียงแค่ภาพเลียนแบบนั่นแหละมิเห็นลงนามเอาไว้เลย ช่างไม่เหมือนภาพอื่น ๆ ของโจวผิง”
คนเป็นบิดาขี้เกียจจะอธิบายกับภรรยาและลูก ว่านี่อาจจะเป็นภาพที่หายากมากของศิลปินโจวผิง ช่างเถอะ...
“จะจริงหรือไม่ข้ามิรู้หรอกเจ้าค่ะ ในเมื่อข้าเต็มใจมอบให้และพวกท่านชอบนั่นก็ถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดแล้วนี่เจ้าคะ” เมื่อได้ของที่ทำให้พอใจบิดาของเยว่เหลียนจึงไม่เอ่ยสิ่งใด
ส่วนย่าของเยว่เหลียนเห็นท่าทางหมางเมินของทุกคนที่แสดงต่อหลานของนางก็เริ่มรู้สึกสงสาร เพราะเอาเข้าจริงเยว่เหลียนก็ไม่ได้ผิดอะไรเลย
“งั้นก็ไปกินข้าวกันเถอะ เรื่องอื่นเอาไว้ค่อยคุยกันทีหลัง เจ้าเองก็เดินทางมาเหนื่อย ๆ กินกันก่อนแล้วจะได้ไปพัก”
เยว่เหลียนเห็นบิดาของตนให้คนนำภาพไปเก็บให้เรียบร้อยหญิงสาวก็รู้สึกพอใจมาก ๆ และยิ่งหันไปเจอกับท่าทางไม่พอใจของสองแม่ลูกนั่นก็ยิ่งรู้สึกดี แม้นี่จะเทียบกันไม่ได้เลยกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำกับนาง แต่มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น เพราะนางไร้กำลังไม่มีพวกจึงต้องเริ่มเช่นนี้
บนโต๊ะอาหารนี่ก็อีกทุกคนนั่งนิ่งรอดูเรื่องตลก บ้านของท่านตาเยว่เหลียนไม่ได้เลี้ยงมาแบบต้องมีพิธีรีตองอะไร ถึงเวลากินก็กิน อาหารวางทุกคนก็ตักอาหารของตน มิได้ต้องระมัดระวังท่าทางการกินไม่ให้เร็วหรือช้าจนเกินไป มิต้องรอคนที่อายุมากกว่าเริ่มกินก่อนเหมือนที่นี่
คราก่อนนางก็แค่ทำอย่างเคยกลับถูกตำหนิว่าเป็นคนบ้านป่าตอนแรกนางนึกว่ากินเร็วไม่ดีจึงกินให้ช้าก็ยังผิดอีก มันก็แค่พิธีแบบผู้ดีเขาทำกันก็เท่านั้น และเพราะเรื่องเล็กน้อยเท่านั้นแต่มันทำให้นางต้องมานั่งคุกเข่าอยู่หน้าศาลบรรพชนเพราะถูกลงโทษตั้งแต่วันแรกที่เข้าจวน
ที่จริงมันไม่ใช่เพราะการกระทำของนางหรอก เรื่องแค่นั้นสั่งสอนเอาก็ได้ แต่มันเป็นเพราะแม่เลี้ยงนางและน้องสาวต่างหาก
“ท่านย่าทานอันนี้สิเจ้าคะ” เยว่เหลียนตักซุปใส่ถ้วยเล็กให้คนเป็นย่าก่อนจะตักอีกถ้วยส่งให้บิดา คนทั้งสองทำเพียงแค่พยักหน้าด้วยความพอใจ
เพราะดูเหมือนการเลี้ยงดูของตระกูลมารดาของหญิงสาวจะไม่แย่อย่างที่คิด และยังแตกต่างจากหญิงสาวในเมืองอย่างเยว่เม่ยอย่างเห็นได้ชัด
ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัวที่ดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสา และกลิ่นถุงหอมที่ไม่ได้หอมจัดแต่กลับอบอวลราวกับทุ่งดอกไม้ในป่า และด้วยเหตุนั้นการใช้ชีวิตอยู่ในจวนตระกูลเยว่ของเยว่เหลียนจึงเปลี่ยนไปทั้งหมด ชื่อของนาง เหลียน ที่หมายถึงดอกบัว ภพเดิมในสายตาผู้อื่นนางเป็นดั่งดอกบัวขาวแต่ก็พ่วงท้ายอักษรคำว่าโง่งมเอาไว้ด้วย
ในเวลานี้นางมั่นใจเกือบสิบส่วนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ภาพฝัน ความเจ็บปวดและความคลั่งแค้นยามที่มองสองแม่ลูกนั่นยิ้มระรื่นกลายเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี ท่ามกลางกองเพลิงความร้อนจากเปลวไฟ กลิ่นของผิวหนังที่ไหม้เกรียมยังติดอยู่เพียงปลายจมูก เยว่เหลียนคนเดิมได้ตายไปแล้วในกองเพลิงนั่น ตอนนี้นางเป็นเยว่เหลียนคนใหม่ มิใช่ดอกบัวขาวอีกต่อไปแล้ว