ไม่โปรดปราน:3

1522 Words
ร้านชวนชมนาง 22.00 น. เฮียมาคัสพาฉันมาดินเนอร์ตามที่บอกไว้จริง ๆ แม้เขาจะกลับมาถึงดึกแค่ไหนก็ยังหอบสังขารพาฉันมาจนได้ “ร้านนี้วิวสวยมากเลยค่ะ” เป็นร้านที่ทำเป็นซุ้ม ๆ ห่างกันแต่ละซุ้มราว ๆ สิบห้าเมตร เพื่อให้เหมือนมีพื้นที่ส่วนตัว รอบ ๆ ร้านตกแต่งด้วยโคมไฟประดับประดาตามเสาไม้เลื้อยใช้ส่องสว่างแทนหลอดไฟนีออน ด้านหน้าซุ้มที่ฉันนั่งอยู่เป็นสระน้ำขนาดใหญ่มีบ่อน้ำพุเป็นรูปปั้นผู้หญิงถือคนโทแล้วมีน้ำไหลออกมาจากปากเหยือกตั้งตระหง่านอยู่ตรงใจกลางสระ “ขากลับเจอร้านนี้พอดี เห็นว่าวิวสวยคิดว่าน้ำจะชอบ” ฉันยิ้มจนแก้มแทบปริเมื่ออีกคนใส่ใจทุกรายละเอียดแม้จะเป็นแค่การทานข้าวเย็นธรรมดา ๆ ไม่ใช่วันพิเศษอะไร “สั่งอาหารกันดีกว่าค่ะ” ฉันล้างท้องรอไม่ทานอะไรตั้งแต่เลิกงาน ก่อนมาก็ถามเฮียมาคัสแล้วเขาเองบอกว่ายังไม่ทานอะไรทั้งวันเหมือนกัน แบบนี้คงหิวยิ่งกว่าฉันอีก “เฮียมาคส์ทานอะไรดีคะ” เมนูร้านนี้น่าทานทั้งนั้นจนฉันเลือกไม่ถูก “ตามใจเราเลย” รอบยิ้มแสนอบอุ่นประดับขึ้นบนใบหน้าหล่อคม ฉันเปิดเมนูทีละหน้าน้ำลายก็สอไปด้วยเมื่ออ่านชื่อเมนูอาหารที่มีภาพหน้าตาอาหารน่ารับประทานประกอบคำบรรยาย “เอาปลากระพงสามรส ต้มยำทะเลน้ำข้น หอยนิวซีแลนด์อบชีส ผัดมะม่วงหิมพานสามรส แล้วก็...” “นี่หิวมาตั้งแต่วันก่อนไหม” อีกคนที่นั่งฟังฉันร่ายเมนูอาหารรีบแซวขึ้นมาทันที “ของโปรดใครล่ะคะ” ฉันแซวคืน ที่สั่ง ๆ มาน่ะ มีแต่เมนูของโปรดของสุดที่รักฉันทั้งนั้น นี่ยังคิดเลยว่าจะไปลงคอร์สเรียนทำอาหารแล้วก็จะเน้นแค่เมนูที่ฉันไล่ไปเมื่อกี้เพื่อคนพิเศษคนนี้คนเดียว ทว่าคิวงานฉันดันไม่เหลือเวลาว่างเลยนี่สิ “ดีใจจังจำรายละเอียดทุกอย่างของฉันได้ด้วย” “ถ้าไม่รักไม่จำหรอกค่ะ” พูดไปก็เขินเอง “งั้นเพิ่มเมนูนี้อีกอย่าง” ฉันรอฟังเพื่อจดเมนูลงไปในกระดาษ “เอาหอยนางรมทรงเครื่องชุดใหญ่ แล้วก็ไวน์ขาว” “หือ?” ฉันทำหน้าสงสัยที่เขาเลือกเมนูสองอย่างนี้เพิ่ม เหมือนอีกคนจะอ่านสีหน้าฉันออกเขาเลยโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ ๆ ก่อนกระซิบให้ฉันหน้าแดงเล่น “ต้องฟิตเพื่อรอรางวัลคืนนี้” ไม่ต้องแปลอะไรมากความไปกว่านี้ ฉันรีบหลุบตามองมือตัวเองที่ค่อย ๆ จดสองเมนูล่าสุดลงไปด้วยตัวหนังสือไก่เขี่ย ก็มันควบคุมมือที่สั่นไม่ได้ ฮือ ๆ หลังจากรออาหารหลักมาเสิร์ฟ เฮียมาคัสก็เอาแต่ดื่มไวน์ขาวไปสองสามแก้วแล้ว “ระวังเมานะคะ” ฉันจิบบ้างเล็กน้อยเพราะเป็นพวกกระเพาะอ่อนแอ ถ้าทานของแสลงก่อนมีอะไรในท้องจะปวดแสบปวดร้อนจนถึงขั้นนอนโรงพยาบาลเลยก็มี “เห็นฉันคออ่อนขนาดนั้นเลย” คิ้วดกหนาเลิกขึ้นสำทับคำพูด ฉันได้แต่ส่ายหัวแล้วตอบ “ไม่ค่ะ” นั่งดื่มดำบรรยากาศแสนโรแมนติกภายใต้แสงโคมไฟและหมู่ดาวที่เริ่มออกมาแข่งกันกะพริบระยิบระยับ มีแอบเหล่ตามองคนตรงหน้าไปด้วยและเหมือนเราใจตรงกันเลยสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง เสียงพนักงานที่นำอาหารมาเสิร์ฟดังเรียกความสนใจของเราออกจากกัน “สั่งมาตั้งเยอะแยะ กินเท่ามดดม” เฮียมาคัสแซวเมื่อฉันหยิบน้ำส้มคั้นขึ้นมาดื่ม “น้ำบอกแล้วว่าสั่งมาให้เฮียมาคส์ต่างหาก” ฉันย่นจมูกใส่อีกคนที่เอาแต่จิบไวน์คู่กับหอยนางรมทรงเครื่องที่เขาสั่งเพิ่มมาอีกชุด “แปลกนะคะ ร้านหรู บรรยากาศดี แต่คนกลับไม่ค่อยครึกครื้นเลย” มองดูรอบ ๆ บริเวณร้านคนไม่ค่อยหนาตาเท่าที่คิดเลย “ร้านนี้เขารับเฉพาะลูกค้าที่จองไว้ ให้คิวตามจำนวนโต๊ะที่ร้านมี” ถึงว่า คนไม่พลุกพล่านให้รำคาญใจ “อะ ไหนเฮียมาคส์บอกว่าเพิ่งขับผ่านไงคะ?” อีกคนสบตาฉันครู่หนึ่งก่อนตอบ “บางทีถ้าต้องจ่ายแพงแต่ได้โต๊ะมาก็คุ้มนะ” ชิ! ใช้เงินเปย์อีกแล้วสิเนี่ย “ขอแค่เราชอบ ฉันพร้อมเปย์ทุกอย่าง” ใบหน้าฉันแดงระเรื่อขึ้นมาทันทีเมื่ออีกคนพูดจาหวานหู ครืด~ โทรศัพท์ที่ปิดเสียงไว้สั่นเตือนขึ้นมา ฉันหยิบออกมาดูเป็นการตั้งเตือนวันสำคัญอีกหนึ่งวันที่จำไม่เคยลืม “มีอะไรหรือเปล่า” สีหน้าฉันคงแปลกไปอีกคนเลยถามขึ้นอย่างเป็นห่วง “เปล่าค่ะ สงสัยจะง่วงแล้ว” ฉันยัดโทรศัพท์เข้ากระเป๋าตามเดิม เฮียมาคัสยื่นแก้วไวน์มาให้ฉัน “แก้วสุดท้ายแล้วกลับกัน” เป็นคุณแฟนที่น่ารักที่สุด ตามใจฉันทุกอย่างจนฉันแทบจะเป็นเด็กเอาแต่ใจไปแล้ว “ค่ะ” เสียงแก้วกระทบกันดังแกร๊งเบา ๆ ฉันและอีกคนวนแก้วสองสามรอบแล้วกระดกไวน์ชั้นดีลงคอ ก่อนจะเรียกพนักงานมาเก็บค่าอาหาร ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มกว่า ๆ เฮียมาคัสพาฉันขับรถกินลมชมวิวออกมาทางเรียบนอกเมืองที่ไม่ค่อยมีรถพลุกพล่าน “ไหนบอกจะพาน้ำไปนอนไงคะ” แอบแซวอีกคนเบา ๆ ไม่ได้หงุดหงิดที่เขาพาออกนอกเส้นทางเลยสักนิด “พามาเปลี่ยนบรรยากาศนิดหน่อย” น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ดังขึ้น ฉันแอบผินหน้ามองออกนอกหน้าต่างรถเพื่อปิดบังใบหน้าที่แดงเถือก “ท้องฟ้าสวยจังค่ะ” นาน ๆ ที่ได้ขับรถเล่นตอนกลางดึกแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ เมืองกรุงตอนกลางวันวุ่นวาย รถลามากมาย ผู้คนเดินขวักไขว่เบียดไหล่ชนกันจนไม่มีความงดงามให้มองเลย ครืด~ เสียงประทุนรถถูกเปิดออกช้า ๆ ช่วยให้ฉันได้เห็นท้องฟ้าเต็มสองตามากกว่าเก่า วันนี้พระจันทร์เกือบเต็มดวง แถมดวงดาวยังขึ้นเต็มท้องฟ้าอีก ทำให้ชวนมอง “ถ้ามีดาวตกคงดี” นานแล้วที่ไม่ได้เห็นดาวตก นานจนจำไม่ได้แล้วว่าความรู้สึกตอนนั้นมันเป็นแบบไหน “โตแล้วนะเรา ยังเชื่อเรื่องอธิษฐานต่อหน้าดาวตกอีกเหรอ” มือหนาเอื้อมมาขยี้ผมฉันเล่นแกมมันเขี้ยว “ไม่เชื่อแต่ห้ามลบหลู่นะคะ” ฉันส่งยิ้มหวานให้อีกคนจนถูกเขาส่ายหัวมองว่าเป็นเด็ก “อ้ะ! ตรงนั้นบรรยากาศดีจังเลยค่ะ” ชี้ไปที่ข้างทาง เป็นเหมือนลานกว้างที่มีหย่อมดอกไม้ธรรมชาติขึ้นปะปราย แถมยังมีเหมือนม้าหินวางอยู่สองสามโต๊ะด้วย “น่าจะเป็นลานสุขภาพของชาวบ้านแถวนี้” นอกเมืองนี่ก็ดีเหมือนกันนะ รู้สึกน่าอยู่กว่าในเมืองเสียอีก เฮียมาคัสรีบหักรถเลี้ยวเข้าไปสถานทีที่ฉันชี้ให้ดูทันที เขาจอดรถไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ค่อนข้างสลัว ๆ เพราะไม่โดนแสงไฟจากเสาต้นเล็กที่อยู่ใจกลางลาน “น้ำขอลงไปสูดอากาศหน่อยนะคะ” พูดจบก็เปิดประตูรถกระโดดโลดเต้นวิ่งกางมือไปยังกลางลานหญ้าที่ว่า ยืนมองท้องฟ้าและพระจันทร์ที่ส่องแสงนวลเงียบ ๆ “เขาบอกว่าคนที่จากไปแล้วคือหมู่ดวงดาว น้ำเชื่อเรื่องนี้ไหม” คนตัวสูงเกินมายืนซ้อนด้านหลังฉันพร้อมโอบกอดรอบเอวคอดกิ่วโยกฉันไปมาเบา ๆ “เชื่อสิคะ เพราะคนที่น้ำรักก็อยู่บนนั้นถึงสามคน” “สามคน?” อา...นี่ฉันเผลอพูดอะไรออกไป “แล้วเฮียมาคส์ล่ะคะ เชื่อเรื่องที่ถามไหม?” คนถูกถามและเคยถามฉันกลับนิ่ง มือเขาโอบกอดฉันรัดแน่นขึ้นกว่าเดิมจนต้องร้องเรียกเขาเมื่อหายใจไม่สะดวก “นะ...น้ำเจ็บค่ะ” “ขอโทษที” แรงรัดนั้นถูกผ่อนคลายลงพร้อมกับการถอนกอดออกอย่างช้า ๆ เปลี่ยน เป็นจูงมือฉันเดินไปนั่งที่ม้าหินแทน “มานั่งนี่มา” ฉันกำลังจะหย่อนก้นลงบนม้าหินที่ค่อนข้างชื้นหน่อย ๆ เพราะน้ำค้าง แต่อีกคนที่นั่งลงก่อนกลับคว้าฉันไปนั่งบนตักแกร่งเขาแทน ฟอด~ แก้มนุ่มนิ่มถูกขโมยหอมทันทีที่ฉันนั่งลงในอ้อมกอดเขาอีกครั้ง “ทำไมกลิ่นเราไม่เหมือนคนอื่น” คำถามที่เหมือนจะธรรมดาแต่พอฟังแล้วมันทะแม่ง ๆ ยังไงไม่รู้ “หมายความว่ายังไงคะ” เสียงฉันติดแข็งแกมจับผิดเล็กน้อย “เดี๋ยว! ทำหน้าแบบนี้คือ?”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD