ร้านชวนชมนาง 22.00 น.
เฮียมาคัสพาฉันมาดินเนอร์ตามที่บอกไว้จริง ๆ แม้เขาจะกลับมาถึงดึกแค่ไหนก็ยังหอบสังขารพาฉันมาจนได้
“ร้านนี้วิวสวยมากเลยค่ะ”
เป็นร้านที่ทำเป็นซุ้ม ๆ ห่างกันแต่ละซุ้มราว ๆ สิบห้าเมตร เพื่อให้เหมือนมีพื้นที่ส่วนตัว
รอบ ๆ ร้านตกแต่งด้วยโคมไฟประดับประดาตามเสาไม้เลื้อยใช้ส่องสว่างแทนหลอดไฟนีออน
ด้านหน้าซุ้มที่ฉันนั่งอยู่เป็นสระน้ำขนาดใหญ่มีบ่อน้ำพุเป็นรูปปั้นผู้หญิงถือคนโทแล้วมีน้ำไหลออกมาจากปากเหยือกตั้งตระหง่านอยู่ตรงใจกลางสระ
“ขากลับเจอร้านนี้พอดี เห็นว่าวิวสวยคิดว่าน้ำจะชอบ”
ฉันยิ้มจนแก้มแทบปริเมื่ออีกคนใส่ใจทุกรายละเอียดแม้จะเป็นแค่การทานข้าวเย็นธรรมดา ๆ ไม่ใช่วันพิเศษอะไร
“สั่งอาหารกันดีกว่าค่ะ”
ฉันล้างท้องรอไม่ทานอะไรตั้งแต่เลิกงาน ก่อนมาก็ถามเฮียมาคัสแล้วเขาเองบอกว่ายังไม่ทานอะไรทั้งวันเหมือนกัน แบบนี้คงหิวยิ่งกว่าฉันอีก
“เฮียมาคส์ทานอะไรดีคะ”
เมนูร้านนี้น่าทานทั้งนั้นจนฉันเลือกไม่ถูก
“ตามใจเราเลย”
รอบยิ้มแสนอบอุ่นประดับขึ้นบนใบหน้าหล่อคม
ฉันเปิดเมนูทีละหน้าน้ำลายก็สอไปด้วยเมื่ออ่านชื่อเมนูอาหารที่มีภาพหน้าตาอาหารน่ารับประทานประกอบคำบรรยาย
“เอาปลากระพงสามรส ต้มยำทะเลน้ำข้น หอยนิวซีแลนด์อบชีส ผัดมะม่วงหิมพานสามรส แล้วก็...”
“นี่หิวมาตั้งแต่วันก่อนไหม”
อีกคนที่นั่งฟังฉันร่ายเมนูอาหารรีบแซวขึ้นมาทันที
“ของโปรดใครล่ะคะ” ฉันแซวคืน
ที่สั่ง ๆ มาน่ะ มีแต่เมนูของโปรดของสุดที่รักฉันทั้งนั้น นี่ยังคิดเลยว่าจะไปลงคอร์สเรียนทำอาหารแล้วก็จะเน้นแค่เมนูที่ฉันไล่ไปเมื่อกี้เพื่อคนพิเศษคนนี้คนเดียว
ทว่าคิวงานฉันดันไม่เหลือเวลาว่างเลยนี่สิ
“ดีใจจังจำรายละเอียดทุกอย่างของฉันได้ด้วย”
“ถ้าไม่รักไม่จำหรอกค่ะ”
พูดไปก็เขินเอง
“งั้นเพิ่มเมนูนี้อีกอย่าง”
ฉันรอฟังเพื่อจดเมนูลงไปในกระดาษ
“เอาหอยนางรมทรงเครื่องชุดใหญ่ แล้วก็ไวน์ขาว”
“หือ?” ฉันทำหน้าสงสัยที่เขาเลือกเมนูสองอย่างนี้เพิ่ม
เหมือนอีกคนจะอ่านสีหน้าฉันออกเขาเลยโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ ๆ ก่อนกระซิบให้ฉันหน้าแดงเล่น
“ต้องฟิตเพื่อรอรางวัลคืนนี้”
ไม่ต้องแปลอะไรมากความไปกว่านี้ ฉันรีบหลุบตามองมือตัวเองที่ค่อย ๆ จดสองเมนูล่าสุดลงไปด้วยตัวหนังสือไก่เขี่ย
ก็มันควบคุมมือที่สั่นไม่ได้ ฮือ ๆ
หลังจากรออาหารหลักมาเสิร์ฟ เฮียมาคัสก็เอาแต่ดื่มไวน์ขาวไปสองสามแก้วแล้ว
“ระวังเมานะคะ”
ฉันจิบบ้างเล็กน้อยเพราะเป็นพวกกระเพาะอ่อนแอ ถ้าทานของแสลงก่อนมีอะไรในท้องจะปวดแสบปวดร้อนจนถึงขั้นนอนโรงพยาบาลเลยก็มี
“เห็นฉันคออ่อนขนาดนั้นเลย”
คิ้วดกหนาเลิกขึ้นสำทับคำพูด ฉันได้แต่ส่ายหัวแล้วตอบ “ไม่ค่ะ”
นั่งดื่มดำบรรยากาศแสนโรแมนติกภายใต้แสงโคมไฟและหมู่ดาวที่เริ่มออกมาแข่งกันกะพริบระยิบระยับ
มีแอบเหล่ตามองคนตรงหน้าไปด้วยและเหมือนเราใจตรงกันเลยสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง เสียงพนักงานที่นำอาหารมาเสิร์ฟดังเรียกความสนใจของเราออกจากกัน
“สั่งมาตั้งเยอะแยะ กินเท่ามดดม”
เฮียมาคัสแซวเมื่อฉันหยิบน้ำส้มคั้นขึ้นมาดื่ม
“น้ำบอกแล้วว่าสั่งมาให้เฮียมาคส์ต่างหาก”
ฉันย่นจมูกใส่อีกคนที่เอาแต่จิบไวน์คู่กับหอยนางรมทรงเครื่องที่เขาสั่งเพิ่มมาอีกชุด
“แปลกนะคะ ร้านหรู บรรยากาศดี แต่คนกลับไม่ค่อยครึกครื้นเลย”
มองดูรอบ ๆ บริเวณร้านคนไม่ค่อยหนาตาเท่าที่คิดเลย
“ร้านนี้เขารับเฉพาะลูกค้าที่จองไว้ ให้คิวตามจำนวนโต๊ะที่ร้านมี”
ถึงว่า คนไม่พลุกพล่านให้รำคาญใจ
“อะ ไหนเฮียมาคส์บอกว่าเพิ่งขับผ่านไงคะ?”
อีกคนสบตาฉันครู่หนึ่งก่อนตอบ
“บางทีถ้าต้องจ่ายแพงแต่ได้โต๊ะมาก็คุ้มนะ”
ชิ! ใช้เงินเปย์อีกแล้วสิเนี่ย
“ขอแค่เราชอบ ฉันพร้อมเปย์ทุกอย่าง”
ใบหน้าฉันแดงระเรื่อขึ้นมาทันทีเมื่ออีกคนพูดจาหวานหู
ครืด~
โทรศัพท์ที่ปิดเสียงไว้สั่นเตือนขึ้นมา ฉันหยิบออกมาดูเป็นการตั้งเตือนวันสำคัญอีกหนึ่งวันที่จำไม่เคยลืม
“มีอะไรหรือเปล่า”
สีหน้าฉันคงแปลกไปอีกคนเลยถามขึ้นอย่างเป็นห่วง
“เปล่าค่ะ สงสัยจะง่วงแล้ว”
ฉันยัดโทรศัพท์เข้ากระเป๋าตามเดิม
เฮียมาคัสยื่นแก้วไวน์มาให้ฉัน
“แก้วสุดท้ายแล้วกลับกัน”
เป็นคุณแฟนที่น่ารักที่สุด ตามใจฉันทุกอย่างจนฉันแทบจะเป็นเด็กเอาแต่ใจไปแล้ว
“ค่ะ”
เสียงแก้วกระทบกันดังแกร๊งเบา ๆ ฉันและอีกคนวนแก้วสองสามรอบแล้วกระดกไวน์ชั้นดีลงคอ ก่อนจะเรียกพนักงานมาเก็บค่าอาหาร
ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มกว่า ๆ เฮียมาคัสพาฉันขับรถกินลมชมวิวออกมาทางเรียบนอกเมืองที่ไม่ค่อยมีรถพลุกพล่าน
“ไหนบอกจะพาน้ำไปนอนไงคะ”
แอบแซวอีกคนเบา ๆ ไม่ได้หงุดหงิดที่เขาพาออกนอกเส้นทางเลยสักนิด
“พามาเปลี่ยนบรรยากาศนิดหน่อย”
น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ดังขึ้น ฉันแอบผินหน้ามองออกนอกหน้าต่างรถเพื่อปิดบังใบหน้าที่แดงเถือก
“ท้องฟ้าสวยจังค่ะ”
นาน ๆ ที่ได้ขับรถเล่นตอนกลางดึกแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ
เมืองกรุงตอนกลางวันวุ่นวาย รถลามากมาย ผู้คนเดินขวักไขว่เบียดไหล่ชนกันจนไม่มีความงดงามให้มองเลย
ครืด~
เสียงประทุนรถถูกเปิดออกช้า ๆ ช่วยให้ฉันได้เห็นท้องฟ้าเต็มสองตามากกว่าเก่า วันนี้พระจันทร์เกือบเต็มดวง แถมดวงดาวยังขึ้นเต็มท้องฟ้าอีก ทำให้ชวนมอง
“ถ้ามีดาวตกคงดี”
นานแล้วที่ไม่ได้เห็นดาวตก นานจนจำไม่ได้แล้วว่าความรู้สึกตอนนั้นมันเป็นแบบไหน
“โตแล้วนะเรา ยังเชื่อเรื่องอธิษฐานต่อหน้าดาวตกอีกเหรอ”
มือหนาเอื้อมมาขยี้ผมฉันเล่นแกมมันเขี้ยว
“ไม่เชื่อแต่ห้ามลบหลู่นะคะ”
ฉันส่งยิ้มหวานให้อีกคนจนถูกเขาส่ายหัวมองว่าเป็นเด็ก
“อ้ะ! ตรงนั้นบรรยากาศดีจังเลยค่ะ”
ชี้ไปที่ข้างทาง เป็นเหมือนลานกว้างที่มีหย่อมดอกไม้ธรรมชาติขึ้นปะปราย แถมยังมีเหมือนม้าหินวางอยู่สองสามโต๊ะด้วย
“น่าจะเป็นลานสุขภาพของชาวบ้านแถวนี้”
นอกเมืองนี่ก็ดีเหมือนกันนะ รู้สึกน่าอยู่กว่าในเมืองเสียอีก
เฮียมาคัสรีบหักรถเลี้ยวเข้าไปสถานทีที่ฉันชี้ให้ดูทันที เขาจอดรถไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ค่อนข้างสลัว ๆ เพราะไม่โดนแสงไฟจากเสาต้นเล็กที่อยู่ใจกลางลาน
“น้ำขอลงไปสูดอากาศหน่อยนะคะ”
พูดจบก็เปิดประตูรถกระโดดโลดเต้นวิ่งกางมือไปยังกลางลานหญ้าที่ว่า
ยืนมองท้องฟ้าและพระจันทร์ที่ส่องแสงนวลเงียบ ๆ
“เขาบอกว่าคนที่จากไปแล้วคือหมู่ดวงดาว น้ำเชื่อเรื่องนี้ไหม”
คนตัวสูงเกินมายืนซ้อนด้านหลังฉันพร้อมโอบกอดรอบเอวคอดกิ่วโยกฉันไปมาเบา ๆ
“เชื่อสิคะ เพราะคนที่น้ำรักก็อยู่บนนั้นถึงสามคน”
“สามคน?”
อา...นี่ฉันเผลอพูดอะไรออกไป
“แล้วเฮียมาคส์ล่ะคะ เชื่อเรื่องที่ถามไหม?”
คนถูกถามและเคยถามฉันกลับนิ่ง มือเขาโอบกอดฉันรัดแน่นขึ้นกว่าเดิมจนต้องร้องเรียกเขาเมื่อหายใจไม่สะดวก
“นะ...น้ำเจ็บค่ะ”
“ขอโทษที”
แรงรัดนั้นถูกผ่อนคลายลงพร้อมกับการถอนกอดออกอย่างช้า ๆ เปลี่ยน เป็นจูงมือฉันเดินไปนั่งที่ม้าหินแทน
“มานั่งนี่มา”
ฉันกำลังจะหย่อนก้นลงบนม้าหินที่ค่อนข้างชื้นหน่อย ๆ เพราะน้ำค้าง แต่อีกคนที่นั่งลงก่อนกลับคว้าฉันไปนั่งบนตักแกร่งเขาแทน
ฟอด~
แก้มนุ่มนิ่มถูกขโมยหอมทันทีที่ฉันนั่งลงในอ้อมกอดเขาอีกครั้ง
“ทำไมกลิ่นเราไม่เหมือนคนอื่น”
คำถามที่เหมือนจะธรรมดาแต่พอฟังแล้วมันทะแม่ง ๆ ยังไงไม่รู้
“หมายความว่ายังไงคะ”
เสียงฉันติดแข็งแกมจับผิดเล็กน้อย
“เดี๋ยว! ทำหน้าแบบนี้คือ?”