(ต่อไปนี้ไรต์จะเรียกนางเอกว่าซุนเยว่แล้วนะคะ)
"อื้ออ~" ซุนเยว่รู้สึกตัวขึ้นมาด้วยอาการปวดหัว เธอลืมตาขึ้นช้า ๆ เพื่อมองดูรอบ ๆ ตัวว่ามีใครอยู่หรือไม่ สิ่งที่พบเห็นมีเพียงห้องโล่งไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต
ซุนเยว่ค่อย ๆ หยัดตัวที่ปวดเมื่อยขึ้นมานั่งแล้วมองสำรวจสิ่งของในห้องอีกครั้ง ภายในห้องกว้างประมาณ 5x5 เมตร เตียงที่เธอนั่งอยู่เป็นเตียงเตาเหมือนที่คนยุคก่อนนิยมใช้กัน
ด้านข้างห้องมีโต๊ะวางของตัวเก่าตั้งอยู่ บนนั้นมีถ้วย 2 ใบที่ปิดฝาเอาไว้อย่างมิดชิด ทั้งยังมีชั้นวางเสื้อผ้าอยู่ข้าง ๆ ด้วย ข้าวของเครื่องใช้แม้จะดูเก่าแต่กลับได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เสื้อผ้าทุกตัวถูกพับอยู่อย่างเป็นระเบียบ โต๊ะด้านข้างไม่มีฝุ่นเกาะเลยแม้แต่น้อย
ซุนเยว่เดินไปเปิดถ้วยดูก็เห็นว่าเป็นข้าวต้มเปล่า ๆ เธอจึงเดินที่หน้าต่างเมื่อมองบรรยากาศนอกห้องว่าเป็นอย่างไรบ้าง
"โอ้แม่เจ้า!"
ภาพที่เห็นมีเพียงความแห้งแล้ง พื้นดินแตกระแหงไปทั่วทุกแห่งหน พื้นที่รอบบ้านมีลักษณะเป็นเนินเขาเล็ก ๆ ถัดไปไม่ไกลนักมีภูเขาลูกใหญ่ตั้งอยู่ สุดสายตาของเธอเป็นท้องนาที่ลดหลั่นเป็นขั้นบันไดตามเนินเขา
แอดดดดดด
"คนหายไปไหนหมด"
เธอรู้สึกแปลกใจที่เดินออกจากห้องมาแล้วกลับมองไม่เห็นใคร ซุนเยว่ลองเดินไปดูที่ห้องข้าง ๆ อีก 2 ห้องแต่ก็ต้องกลับออกมาเพราะไม่มีใครอยู่ในบ้านเลย
"อ้อ คงไปทำงานที่แปลงนาของหมู่บ้านสินะ" หญิงสาวจำภาพที่ชายชราเอาให้ดูได้จึงอุทานออกมาเบา ๆ แต่สิ่งที่เธอแปลกใจคือความทรงจำของร่างนี้กลับไม่มีอะไรให้เธอต้องเรียนรู้เลย คิดได้เช่นนั้นหญิงสาวก็ได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ แล้วเดินไปสำรวจในครัวต่อ
แกร่ง กรึบ กรึบ กรึบ
ซุนเยว่ไล่เปิดดูไหเล็ก ๆ ทีละไหว่าในนั้นเก็บอะไรเอาไว้บ้าง ส่วนไหใหญ่สุดเป็นข้าวสารที่มีอยู่เพียงขอดก้นถังเท่านั้น
"ลองดูอาหารในมิติหน่อยแล้วกัน"
หญิงสาวมองที่นิ้วชี้ข้าวขวาที่มีแหวนที่ชายชราให้มาสวมอยู่ เธอสะบัดมือเบา ๆ พร้อมทั้งนึกถึงมิติวิเศษตามที่เคยทำ ทุกอย่างปรากฏอยู่ตรงหน้าหญิงสาว เธอรีบเอาข้าวสารและเครื่องปรุงออกมาเติมไว้อย่างละนิดอย่างละหน่อยจนครบ
ซุนเยว่ไม่ลืมหยิบไก่ออกมา 1 ตัวเพื่อเอาไว้ทำอาหารเย็น เธอเอาใส่หม้อแล้วหาฝาปิดไว้อย่างมิดชิดแล้วหยิบยาลดไข้มากินอีก 2 เม็ดพร้อมกับดื่มน้ำขวดเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในมิติ ก่อนเตรียมหมุนตัวจะเดินออกจากห้องครัวไป
"เอ๊ะ หน่อไม้แห้งอย่างนั้นเหรอ"
หญิงสาวมองเห็นสิ่งของที่อยู่ในถุงตาข่ายเล็ก ๆ แขวนอยู่ข้างกำแพงจึงเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ
"จริงด้วย เอาไปแช่น้ำไว้สักหน่อยแล้วกัน จะได้เอาไว้ใส่น้ำแกงไก่"
เธอหยิบหน่อไม้แห้งไปแช่น้ำไว้ในกะละมังเล็ก ๆ ก่อนจะเดินออกจากตัวบ้านเพื่อไปสำรวจพื้นที่รอบ ๆ ว่าจะมีอะไรให้เอามาทำอาหารได้หรือไม่ หากจะเอาออกมาจากมิติทั้งหมดเธอก็ไม่รู้จะตอบทุกคนในครอบครัวว่ายังไง แค่เรื่องไก่ตัวนั้นเธอก็คิดจะบอกว่าไปเจอในป่า เพียงแค่คิดว่าต้องโกหกไปเรื่อย ๆ หญิงสาวก็รู้สึกอึดอัดใจจะแย่อยู่แล้ว
พอเดินออกมานอกบ้านหญิงสาวก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็พบแต่ความแห้งแล้ง
"เฮ้ออ~ คุณตา ส่งหนูมาอยู่ที่นี่ทำไมไม่ให้ฝนตกด้วย ให้แค่ปุ๋ยมาแล้วหนูจะปลูกอะไรได้ ฝน! ฝน! หนูต้องการฝน!"
ครืนนนนน~ ครืนนนน~
สิ้นเสียงของสาวน้อยท้องฟ้าที่สว่างจ้าก็ส่งเสียงร้องคำรามราวกับว่าผู้ที่อยู่เบื้องบนรับฟังคำขอของเธอ เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของหญิงสูงวัยร่างผอมเจ้าของบ้านข้าง ๆ ที่ยืนมองซุนเยว่ด้วยความสงสัย
"อาเยว่ เป็นอะไรรึเปล่า ใจเย็น ๆ อย่าไปไหนนะ เดี๋ยวพ่อแม่แล้วก็พี่ชายของหนูก็กลับมาแล้ว มานี่เร็ว มานั่งเล่นกับป้าดีกว่า"
จ้าวเลี่ยงจินหญิงหม้ายที่อาศัยอยู่กับลูกชายเพียงสองคน นางเอ่ยเรียกเด็กสาวที่สติไม่ค่อยดีให้ไปนั่งเล่นกับนางก่อน
"อุ๊ย! ป้ารู้จักหนูด้วยเหรอคะ" หญิงสาวตกใจที่มีคนเห็นเธอร้องโหวกเหวกโวยวาย ดีเท่าไหร่แล้วที่เธอไม่หยิบอะไรออกมาจากมิติในตอนนี้
"รู้จักสิลูก วะ..ว่าแต่อาเยว่พูดคุยได้รู้เรื่องแล้วหรือลูก?" แม่จ้าวเอ่ยถามเด็กสาวด้วยความประหลาดใจ
"หมายความว่ายังไงเหรอคะ แต่ก่อนหนูพูดไม่รู้เรื่องเหรอ ป้าช่วยเล่าให้หนูฟังหน่อยได้ไหม"
ซุนเยว่เริ่มแปลกใจกับคำพูดของหญิงสูงวัยตรงหน้า แววตาของอีกฝ่ายไม่ได้ประสงค์ร้ายอะไรต่อเธอ ทั้งยังดูปริ่มจะร้องไห้ปริ่มจะดีใจอย่างไรบอกไม่ถูก
"มานั่งนี่ก่อนลูก"
"ค่ะ"
หญิงสาวเดินไปนั่งข้าง ๆ หญิงสูงวัยทันที หลังจากนั้นอีกฝ่ายก็เริ่มเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้เธอฟัง บ่อยครั้งที่ซุนเยว่อยู่บ้านแล้วเดินหนีหายจนคนในครอบครัวที่กลับจากคอมมูนในตอนเย็นต้องช่วยกันออกตามหา ทุกครั้งที่เกิดเหตุแบบนั้นซุนเยียนผู้เป็นแม่มักจะร้องไห้แทบจะขาดใจ เพราะความเป็นห่วงลูกสาว
นางเคยถามว่าทำไมถึงไม่ล็อกประตูบ้านให้ลูกอยู่แต่ด้านใน คำตอบที่ได้คือซุนเยียนกลัวว่าหากเกิดลูกสาวของเธอไปเล่นฟืนไฟแล้วเกิดไฟไหม้ เธอกลัวว่าลูกจะหาทางหนีออกมาไม่ได้ สุดท้ายจึงได้แต่ฝากให้นางช่วยมอง เพราะทั้งสองเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันมานาน
เมื่อครั้งที่ซุนเยว่เคยตกน้ำเกือบตายในตอนเด็ก ก็เป็นสามีของนางที่ขช่วยพาตัวซุนเยว่ขึ้นจากน้ำ นับจากนั้นมาสติของซุนเยว่ก็เลื่อนลอยไม่รับรู้อะไรอีกเลย มีเพียงร่างกายของหญิงสาวเท่านั้นที่เติบใหญ่ไปตามกาลเวลา
หากเป็นลูกสาวบ้านอื่นที่มีสติสมประกอบ อายุรุ่นราวคราวนี้คงได้แต่งงานออกเรือนไปแล้ว
"มะ..หมายความว่าหนูเป็นคนสติไม่ดีอย่างนั้นเหรอคะ?" ซุนเยว่ย้ำถามอีกครั้งเป็นจังหวะเดียวกันที่เธอนึกขึ้นได้ว่าชายชราบนแท่นตัดสินดูเหมือนเบี่ยงประเด็นไม่ตอบคำถามนี้กับเธอ
"จะว่าอย่างนั้นก็ได้ลูก ตั้งแต่จมน้ำครั้งนั้นหนูก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย"
"โอ้พระเจ้า! คุณตาต้องชดเชยให้หนู ฝน! หนูต้องการฝน! ไม่งั้นหนูจะบ่นถึงคุณตาอยู่แบบนี้ไม่หยุดแน่!"
ซุนเยว่แหงนหน้าขึ้นฟ้าก่อนจะขู่คำรามออกมาไม้สนใคร พลางคิดในใจว่าชีวิตใหม่ของฉันคือคนบ้าอย่างนั้นหรือ
ครืนนนน~ ครืนนนน~
"โอ้~ ฝนจะตกแล้วอย่างนั้นรึ ดีจริง ๆ แห้งแล้งมานานจนต้นข้าวจะไม่รอดอยู่แล้ว"
แม่จ้าวเอ่ยออกมาอย่างดีใจ วันนี้ช่างมีแต่เรื่องดี ๆ ซุนเยว่ก็ดูเหมือนจะอาการดีขึ้น ฝนฟ้าที่ห่างหายไปนานก็เหมือนจะกลับมาตกตามปกติ
"คุณป้าคะ แถวนี้มีผักอะไรพอจะเก็บมาทำกับข้าวได้ไหมคะ คือหนูอยากทำกับข้าวไว้รอทุกคนค่ะ"
แม่จ้าวชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมา นางกลัวว่าซุนเยว่จะเดินหนีหายไปทางอื่นจนคนในครอบครัวต้องตามหาอีก
"มีผักบุ้งในลำธารคล้อยเนินด้านหลังบ้านเราไปนี่แหละลูก ถ้าอาเยว่อยากได้เดี๋ยวป้าจะพาไปเก็บ"
"ขอบคุณค่ะป้า เดี๋ยวหนูไปเอาตะกร้าเล็ก ๆ ติดตัวไปซักอันนะคะ เดี๋ยวหนูมาค่ะ"
"จ้ะ"
แม่จ้าวมองตามหลังสาวน้อยที่รีบวิ่งเข้าบ้านไปอย่างกระตือรือร้น นางดีใจมากที่เด็กสาวกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
"หนูพร้อมแล้วค่ะคุณป้า" ซุนเยว่กลับมาพร้อมกับตะกร้า 1 ใบ มีด 1 เล่ม และหมวกสานที่สวมเอาไว้บนหัว
"ไปกันเลยลูก อาเยว่"
ในรอบหลายปี นี่เป็นรอยยิ้มแรกที่ปรากฏบนใบหน้าของแม่จ้าว นับตั้งแต่เสียสามีไปในช่วงเวลาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง นางก็ใช้ชีวิตอยู่กับเจ้าหลุน ลูกชายเพียงคนเดียวของนาง ที่เป็นเพื่อนสนิทกับซุนอี้พี่ชายของซุนเยว่
สาวน้อยประคองหญิงสูงวัยที่รูปร่างผอมบางเหมือนคนขาดสารอาหารอย่างระมัดระวัง กระทั่งทั้งคู่เดินจนพ้นเนินเขามาถึงลำธารเล็ก ๆ ที่น้ำค่อนข้างแห้งเหือด ยิ่งทั้งคู่เห็นว่าท้องฟ้ากำลังมืดครึ้มเข้าใกล้มาแล้วพวกเธอยิ่งช่วยกันมองหาผักบุ้งที่อาจจะเกิดอยู่มุมไหนสักที่
"อาเยว่อยู่นั่นไงลูก เร็วเข้าประเดี๋ยวฝนจะตกลงมาก่อน"
แม่จ้าวชี้ไปทางที่เครือผักบุ้งน้ำลอยอยู่เพื่อให้ซุนเยว่รีบไปเก็บ ด้วยว่าระดับน้ำลึกสุดเพียงเข่านางจึงไม่ต้องกลัวว่าเด็กสาวจะเป็นอันตราย
"คุณป้ารออยู่ตรงนี้นะคะ เดี๋ยวหนูจะลงไปเก็บเอง"
"ค่อย ๆ เดินนะลูก ระวังเหยียบตะไคร่น้ำมันจะลื่นเอา"
"ค่า"
เพียงครู่เดียวเด็กสาวก็ลงไปถึงจุดที่ผักบุ้งแผ่เครืออยู่ เธอรีบเด็ดเอายอดผักบุ้งที่มีอยู่ไม่มากเท่าไหร่ หากผัดออกมาก็คงได้แค่ 2 จาน ซุนเยว่จึงตั้งใจจะผัดแบ่งให้คุณป้าใจดีคนนี้ด้วย
ครื่นนนน~ ครื่นนนนน~
"อาเยว่พอแล้วลูก หนูจะเดินหาอะไรต่อ ข้างหน้ามีแต่ป่าไม้แห้ง ๆ เรากลับกันเถอะ ประเดี๋ยวฝนจะตกซะก่อน"
แม่จ้าวรีบเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นซุนเยว่ชะเง้อคอมองไปทางด้านในป่าที่ติดกับลำธาร ซุนเยว่รู้สึกคุ้นกับลำธารแห่งนี้อย่างน่าแปลก ทั้งที่เธอพึ่งจะมาอยู่ในร่างนี้เป็นวันแรกแท้ ๆ
"กลับแล้วค่ะคุณป้า"
ซุนเยว่รีบเดินกลับมาประคองหญิงสูงวัยด้วยรอยยิ้ม ความสดใสของเธอพลอยทำให้แม่จ้าวยิ้มตามไปด้วย
"ป้าดีใจที่เห็นหนูหายดีแล้ว"
มือเหี่ยวย่นลูบกลุ่มผมของเด็กสาวเบา ๆ ก่อนที่คนเด็กกว่าจะหันมายิ้มแป้นแล้นให้นาง