เรือนไม้ครึ่งปูนทาด้วยสีขาวและสีน้ำเงินหลังคากระเบื้องนั้นปูสีน้ำตาลและหน้าบ้านประกอบด้วยไม้เถาพาดพันเลื้อยระไปตามโครงเหล็กดัด ดอกสีม่วงสีเหลืองแดงหากแต่ตรงกลางแบ่งเป็นถนนให้รถแล่นเข้ามาภายในโรงรถอยู่ชิดขวาติดกับกำแพงรั้วเพราะครอบครัวนี้เป็นครอบครัวชั้นกลางเมื่อหลังจากเสร็จสิ้นงานศพของมารดาแล้ว ทั้งสองไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนในละแวกนี้นอกจากลุงที่อยู่แถวธัญบุรีแต่ก็ขาดการติดต่อมานานหลายปี
ศรีบังอรนั้นก็เพิ่งกลับมาจาก ที่ทำงาน และหล่อนรู้สึกเหนื่อย แม้ว่าน้องชายที่เรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายซึ่งกำลังจะจบการศึกษาสมดังที่เขาปรารถนาจะเพิ่งกลับมาถึงเช่นกัน
“แหมกลับเสียค่ำเชียวนะกัลย์ ”
“เอ้อ มีธุระเรื่องเรียน ครับพี่อร”
เด็กหนุ่มที่ตอบนั้นเขารีบก้มหน้าเพื่อจัดการถอดดึงสายรองเท้าผ้าใบแล้วนำไปวางบนชั้นตามเดิม
“เอ้อแล้วนี่กัลย์หิวมั๊ยพี่จะเข้าไปในครัวทำกับข้าวให้ทาน” เมื่อฟังแล้วทำให้กัลย์นพส่ายหน้าพลางตบเข้าที่ท้องเบาๆ
“เอ้อไม่ต้องครับกัลย์ อิ่มมาจากข้างนอกแล้ววันนี้ มีเพื่อนเลี้ยงนะครับ”
กัลย์ณพรู้ว่าพี่สาวนั้นห่วงใยเขายิ่งนักเปรียบเสมือนมารดาบังเกิดเกล้าของเขาอีกคน แม้จะมีวัยห่างกันถึงสิบห้าปีและภายในบ้านหลังนี้ซึ่งเป็นบ้านเก่าของมารดาได้ตกทอดมาเป็นมรดกเพื่อให้สองพี่น้องได้อาศัยอยู่มันเป็นเงื่อนไขที่ตกลงไว้กับอดีตสามีก่อนท่านจะตายเพื่อไม่ให้พ่อแตะต้องยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สมบัติชิ้นสุดท้าย
เพราะแม่รู้มานานแล้วว่าพ่อเจ้าชู้แอบมีเมียเก็บไว้ตั้งหลายคน และแม่รู้มาตลอดแต่แม่ไม่เคยว่าแต่ลึกข้างในใจแม่นั้นพี่สาวและเขารู้ดีเพราะแม่ตรมตรอมใจนักที่มีสามีซึ่งเป็นบิดาของพวกเขาท่านเป็นแบบนี้
จากนั้นแม่ก็ป่วยกระเสาะกระแสะมานานนับเดือนจนหมอบอกว่าแม่ไม่รอดแน่และหมอได้บอกให้ญาติพี่น้องเตรียมทำใจ
หลังจากนั้นพ่อก็หลบหนีหายและไม่มาดูใจแม่บ้างเลยพ่อเขาใจดำนักอีกทั้งญาติพี่น้องก็ยังค่อนแคะกระทบกระทั่งใส่ว่าพ่อเลวทราม เนรคุณ แม่กระซิบบอกเขาสองพี่น้องเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะฝากฝัง บุตรชายคนเล็กที่แสนอาภัพให้กับพี่ศรีบังอรลูกสาวคนโตที่เป็นสาวแล้วดูแลเขามารดานั้นไม่คาดหวังกับคนที่เป็นสามี
“แม่ฝากตากัลย์ไว้ด้วยนะอรอย่าทิ้งน้องช่วยดูแลตากัลย์แทนแม่ด้วยนะลูก”จากนั้นท่านก็จากไปอย่างสงบ
ครั้นเมื่อสิบปีผ่านไปเขาหรือกัลย์ณพจากเด็กชายเป็นเด็กหนุ่มคนใหม่ที่มีเค้าของความหล่อเหลาจากใบหน้าที่คมคายและเป็นจุดเด่นเติมเสน่ห์ให้ดูแล้วเจริญหูเจริญตาน่ารักน่าใคร่แก่ผู้พบเห็นในละแวกแถวนี้ ซึ่งมองเห็นเด็กหนุ่มมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกแล้วเขาโตขึ้นมาก และหล่อเสียด้วย
เมื่อสาวใหญ่นั้นรูดปิดชายผ้าม่านสีสดด้วยการดึงเข้าหากัน ก่อนที่จะพลบค่ำบ้านหลังนี้ชอบความเป็นธรรมชาติและวันนี้ก็เช่นกัน
“เอ้อ นี่เธอ หิวข้าวแล้วหรือยังล่ะกัลย์”
เสียงถามของศรีบังอรที่มีต่อน้องชายด้วยความห่วงใยสม่ำเสมอ ที่จะคอยถามน้อง เวลากลับจากเรียนมหาวิทยาลัยยิ่งเขาขยันเรียน
“เอ้อ ยังครับ”น้ำเสียงน้อยๆนั้นตอบหากแต่ดวงตาไม่ได้หันมาทางพี่สาวยังคงจดจ่อไปทางอื่นด้วยอยากเล่นสนุกตามประสา
“เพราะว่าขอเล่นก่อนครับแล้วกัลย์จะมากินทีหลัง”
“อ้าว งั้นก็ตามใจเถอะแต่อย่ากลับค่ำมากล่ะพี่เองก็จะทำงานที่ค้างต่อให้เสร็จเหมือนกัน”
“ครับ”ตอบเพียงเท่านั้นเจ้าตัวก็ปร๋อออกไปทันที
เนื่องด้วยศรีบังอรนั้นหล่อนทำงานเป็นข้าราชการประจำในกระทรวงอุตสาหกรรมในตำแหน่งของเลขาท่านรัฐมนตรีสุทิศสถานที่อยู่ตรงกันข้ามกับร.พ.รามาธิบดีและเขาเคยขับรถแวะไปส่งพี่สาวบ่อยครั้งไปเล่นในที่ทำงาน ช่วงปิดเทอมปลายภาคชั้นมัธยม
สำหรับศรีบังอรนั้นส่วนมากหล่อนเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูงแต่ก็เข้าสังคมกับเพื่อนฝูงเป็นบางครั้งที่สนิทสนมไม่ได้ปิดกั้นตัวเองเสียทีเดียวถึงแม้อย่างนั้นก็ตามหากแต่เรื่องเพื่อนต่างเพศนี่หล่อนค่อนข้างจะปิดกั้นตัวเอง
เพราะเหตุผลอะไรหรือศรีบังอรมีภาระในครอบครัว มีน้องชายที่ต้องดูแลถ้าหากมีแฟนกลัวเขาจะรับตรงนี้ไม่ได้นี่คือเหตุผลของหล่อนเพราะคงจะไปเที่ยวไหนมาไหนยาก และศรีบังอรก็ใช้ชีวิตแบบนี้ จนเคยชินแต่ว่าหน้าตาสวยๆของหล่อนก็ใช่ว่าจะหาคนจีบเกี้ยวไม่ ได้เหมือนกัน ก็มีนะแต่ศรีบังอรก็คัดกรองเพราะหล่อนอยากจะได้คนดีๆมาเป็นคู่ชีวิตเช่นกัน
ซึ่งกัลย์ณพอยากจะให้พี่สาวเป็นฝั่งเป็นฝาเสียทีเพราะช่วยเหลือเขามามากแล้วพี่อรควรทำเพื่อตัวเองบ้างเพราะว่าตอนนี้เขานั้นโตเป็นผู้ใหญ่พอที่จะดูแลตัวเองได้แล้วไม่ต้องพึ่งพาพี่สาวเหมือนเมื่อครั้งยังเป็นเด็กชายที่พี่สาวต้องคอยทำให้ทุกอย่าง และในปัจจุบันนี้กัลย์ณพเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายใกล้จะจบแล้วเขาเรียนคณะมนุษยศาสตร์เอกภาษาอังกฤษ
ก็อยากจะเป็นครูสอนเด็กหรือทำงานในบริษัทเอกชนที่เกี่ยวกับทัวร์ท่องเที่ยวหรืองานโรงแรมที่ตรงกับสาขาที่เรียนซึ่งต้องใช้ภาษา ซึ่งกัลย์ณพถือว่าพูดได้แม้จะไม่คล่องแต่สำเนียงเขาได้
ณช่วงเวลานี้สำหรับเขานั้นเรียนหนักมากพอสมควรเพราะการเคี่ยวกรำของอาจารย์ผู้ควบคุมนักศึกษาในการฝึกสอนอีกอย่างเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว
กัลย์นั่งรถเมล์จากหน้ามาหาวิทยาลัยพร้อมกับเพื่อนที่ไปฝึกสอนด้วยกันคือภาคพนธ์เขาเป็นเพื่อนที่ค่อนข้างสนิทกันและจะจบพร้อมกัน ในเทอมหน้านี้ด้วยนั่นเอง
แต่แล้วกัลย์ณพที่กลับเข้ามาในบ้านเขากำลังก้มหน้าลงเพื่อถอดรองเท้าหนังสีดำออกมาแล้ววางไว้บนชั้นเก็บรองเท้าที่เดิมเหมือนเช่นเคย
“อ้าวก็เลยไม่ได้ยินพี่พูดให้ฟังเธอนี่”
และอีกนานเหมือนกันที่ศรีบังอรจะอ้าปากพูด คงเป็นเพราะเนือย และล้ามาจากที่ทำงานรอยยิ้มที่อ่อนโยนของพี่สาวเงยหน้าขึ้นมามอง ยิ้มของเขาฉายความสุภาพและอ่อนโยนเช่นที่ศรีบังอรพบเห็นเสมอ
“ครับมันเพลียล้านิดหน่อยกัลย์เพิ่งกลับมาจากฝึกสอนพร้อมเพื่อนที่จะจบด้วยกันครับ”
เขาบอกพี่สาวศรีบังอรมองเห็นแล้วพร้อมสำรวจใบหน้าน้องชายยังนึกชมว่าน้องชายของหล่อนเป็นคนมีเสน่ห์มิใช่น้อย ใบหน้าหล่อเหลาคมคายสะอาดสะอ้านริมฝีปากสีชมพูอมแดงผิวขาว ไม่มีส่วนไหนน่าตำหนิเลยสักนิด
สำหรับพ่อรูปหล่อคนนี้แต่เขาไม่เคยมีเรื่องเพื่อนผู้หญิงมาแผ้วกวนใจศรีบังอรทำให้ศรีบังอรหนักใจเพราะน้องชายของหล่อนยังไม่มีเรื่องความรักเข้ามาปะปนในชีวิต
นั่นเพราะศรีบังอรเลี้ยงน้องมากับมือจึงรู้ว่าอุปนิสัยของกัลย์ ณพเป็นอย่างไร และโชคดีที่เขาไม่ทำตัวให้เหนื่อยหน่ายใจเหมือนวัยรุ่นทั่วไปที่มักชอบออกนอกลู่นอกเสมอทำให้พ่อแม่ปวดหัวไม่จบสิ้นในแนวทางเสเพลรักเที่ยวเป็นอันธพาลไปโน่น
แต่สำหรับกัลย์แล้วไม่มีเลยหล่อนถึงสบายใจอุ่นใจและสุขใจส่วนที่เป็นเค้าโครงดวงหน้าบนใบหน้าของกัลย์เขาได้รับส่วนนี้มาจากพ่อและแม่เพราะแม่เป็นคนตาสวยส่วนพ่อก็เป็นคนคิ้วเข้มและคิ้วดก ดังนั้นคิ้วของเขาจึงดกดำยิ่งนักสีดำสนิทเหมือนขนกาน้ำและพาดเฉียงขอบเหมือนกับปีกนก
ในปัจจุบันนี้ เพราะศรีบังอรแก่ไปมาก ดังนั้นความสวยของเธอจึงดูลดหย่อนลงไปบ้างไม่เหมือนสมัยสาวๆที่หล่อนเป็นคนสวยน่าจับตาคนหนึ่งสวยผุดผาดและอ่อนหวานเนื่องจากตอนนี้เป็นสาวใหญ่ใกล้วันทึนทึกเข้าแล้ว
สำหรับกัลย์ที่จมูกโด่งเป็นสันตรง ตัวเขาช่างเอนเอียงไปทางแม่และพ่อ ส่วนศรีบังอรนั้นแม่บอกหล่อนว่าค่อนไปทางยายและอีกนานทีเดียวที่หล่อนเอ่ยเรียกอีกครั้งเป็นเชิงตำหนิดุเบาๆ