ตอนที่ 7
“นั่นดูซิทำหน้าเหมือนกับไปทะเลาะกับใครมาอย่างนั้นแหละ หนูนา มีเรื่องกับลูกค้าหรือไง ”
ขณะเดียวกันที่เพิงขายมาลัยริมทาง เสียงของป้านั่นเอง ทำให้นามินีหันขวับกลับไปพยายามเปลี่ยนกลบเกลื่อนสีหน้า แต่คุณป้าก็ยังแอบสังเกตเห็นได้ นามินีได้แต่ถอนหายใจอีกครั้ง
“อ้าวถอนหายใจอีกแล้วมีอะไรขัดใจบอกป้าบอกลุงซี ใครทำอะไรให้หนูนา ไม่พอใจ เก็บเอาไว้มันไม่ดีหรอกนะ ”
คำกล่าวของป้าทำให้เธอได้ครุ่นคิดคุณป้าเองก็ไม่รู้หรอกว่าเธอโกรธเคืองเรื่องอะไร เนื่องจากต้นสาเหตุไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว เขาเอาหน้าตายียวนกวนๆออกไปจากตรงนี้แล้ว
“นี่เธอจะบ้าหรือไง นามินี มานั่งครุ่นคิดถึงตาหมอนั่นได้ไง บ่นกับตัวเอง เพราะเผลอไผลอารมณ์ หรือว่าติดใจหน้าตาหล่อเหลา
“แน๊ะ ยังไม่หายหน้าบึ้งอีก”
คุณป้าว่าขึ้นอีก เธอรู้สึกตัวเองดี
“หนูนา ของป้านะออกจะสวย อย่าทำหน้าบึ้งตึงอย่างนั้นสิหลาน ดูไม่น่ารักเลยนะ จ้ะ”
ทำให้สีหน้าของเด็กสาวรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
“ค่ะป้า”นามินียิ้มให้ยินยอมรับคำของนางสวนผู้เป็นป้า
“แล้วหนูง่วงหรือเปล่า ป้าจะมาผลัดเปลี่ยนหนู จะได้ไปนอนเสียที พรุ่งนี้หนูจะต้องไปโรงเรียนแต่เช้าไม่ใช่หรือ ”
“พรุ่งนี้เป็นวันหยุดค่ะ”เสียงหวานใสๆของนามินีชี้แจงตอบป้า
“ มิน่าล่ะ ถึงได้นั่งทนนานอย่างนี้ ปกติหนูคงจะเดินมาขอป้าเพื่อกลับเข้าบ้านแล้ว ”
เป็นอย่างนั้นจริงๆถ้าเธอไปเรียนหนังสือตอนเช้า เหมือนทุกครั้ง แต่ช่วงนี้ใกล้จะสอบเทอมภาคสุดท้ายแล้ว และอาจารย์ที่โรงเรียนนั้นท่านให้นักเรียนทุกคนหยุดเพื่อที่จะเตรียมอ่านหนังสือสอบ เพื่อจบการศึกษา
รุ่งเช้าต่อมาเมื่อเขาพบเจอร่างของมารดา และนางดีใจมาก หากทว่าดวงตานั้นยังงอนๆใส่ลูกชาย
“คุณแม่ของวินท์เก่งเสมอครับ และเป็นคนดีที่หนึ่งของลูก ถึงวินท์จะเสเพลย์ยังไง วินท์ก็รักคุณแม่มากที่สุดในโลก“
“แหม อย่ามาปากหวานกับแม่อีกเลย ที่หายหน้าไปนานหลายเดือน นี่ แม่คิดว่า วินท์รักแม่ไม่เพียงพอนะ ถ้ารักแม่ คงไม่หนีแม่ไกลไปขนาดนั้น ”
สุดท้ายคุณบุรีมาศก็หันมางอนบุตรชายในสิ่งที่เขาทำให้นางน้อยใจในเรื่องหลายอย่าง
วินท์คิดอย่างคนรู้สึกผิด
“งั้นต่อไป ผมจะไม่ทำอย่างนี้อีกแล้ว ”
“ดีแล้วจ๊ะลูก ทูนหัวของแม่ ”
คุณหญิงอดที่จะยกมือเรียวอวบอูมซึ่งประดับด้วยแหวนเพชรน้ำงามส่องประกายต้องกับแสงไฟที่ใส่อวดเสมอ ลูบคลำไปมาที่ศีรษะได้รูปและเส้นผมที่นุ่มสีดำสนิทของบุตรชาย อย่างรักใคร่และเอ็นดูนักหนา
“ดูเหมือนวินท์ของแม่ มีอะไรปิดบังแม่หลายอย่าง ”ผู้มากประสบการณ์และผ่านร้อนผ่านหนาวของชีวิตนั้นมามากอย่างคุณหญิงบุรีมาศ
เงยหน้าขึ้นสบตาบุตรชาย ดูเหมือนภายในดวงตาของเขาไม่ได้หลบซ่อนมารดา
“ลูกพอจะบอกแม่ได้ไหม ว่าเรื่องอะไรกัน”
วินท์อมยิ้มในสีหน้า ขณะที่คุณหญิงมารดาจ้องสายตามองเขาอย่างจริงจัง
“คุณแม่อย่าจ้องหน้าผม อย่างนั้นสิครับ”
วินท์เห็นมารดา สีหน้าของท่านดูเคร่งในการจับผิดเขา และจ้องมองอย่างไม่วางตา
“ทำไมล่ะ” คุณหญิงขมวดคิ้ว มองลูกชายแปลกๆ
“ผมอึดอัด ”
“โธ่ลูก กลัวแม่ทำไมกันจ๊ะ ก็แม่นะหวังดีต่อลูกอาการแบบนี้เขาเรียกว่าคนกำลังมีความรัก ”
คุณหญิงบุรีมาศเป็นฝ่ายอมยิ้มบ้าง ก่อนจะเอ่ย
“ว่าแต่ลูกเต้าเหล่าใครกันล่ะลูก ฐานะสกุลรุนชาติ คงจะไม่ใช่แม่ผู้หญิงหยำฉ่า พวกนั้นนะ”
พูดแล้วคุณหญิงก็ภาวนาขอให้เป็นอย่างนั้นจริง
วินท์เลยอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก ได้แต่หันเบือนหน้าไปทางอื่น ท่าทีของบุตรชายนั้นทำให้คุณหญิงเธอส่ายหน้าไปมา และวินท์ เขาจะตอบมารดาได้อย่างไรกัน ว่าผู้หญิงที่เขาพบเจอ และแอบปิ๊งเข้าแล้ว เธอทำงานอยู่ริมถนนใกล้สี่แยกไฟแดง และเรื่องฐานะสกุลรุนชาติ ก็อย่าเอามาพูดเปรียบเทียบกันเลย เพราะมันต่างกันอยู่แล้ว
แต่หากว่าเขาไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นช่องว่างที่ไกลห่าง ระหว่างเธอกับเขา เหมือน นี่เป็นรักแรกพบของเขาจริงๆ ที่ วินท์ รู้สึกสะดุดตาสะดุดใจผู้หญิงคนนี้ทุกครั้ง
และรุ่งเช้าของวันต่อมา
สีหน้าของนามินีนั้นยังยุ่งและบึ้งตึงไม่หาย เมื่อเธอตื่นขึ้นมาในตอนเช้า นั่งส่องกระจกดูตัวเองในกระจก
“บ้าที่สุด คนผีทะเล”เหมือนเงาของเขานั้นซ่อนอยู่ในกระจกข้างหน้า และคืนนี้เขาบอกว่า จะแวะมาแถวนี้อีกหน เหอะ ขอให้ มาเหอะ น่ า เดี๋ยว หนูนา จะจัดการเอาให้ เข็ดหลาบกลับไปเลย พวกโรคจิตชนิดรุนแรง
แน่นอน ต้องเจอกันแน่ เอาเงินมักง่าย ที่คิดว่าคนอย่างเธอจะซื้อหาด้วยเงินได้หรือเกลียดยิ่งนักพวกชอบดูถูกผู้หญิง เอาเงินฟาดหัว แม้จะพูดเรื่องชดใช้ค่าเสียหายบังหน้าก็ตาม เธอคิดว่าไม่ใช่หรอก คงมีแผนลึกกว่านั้นซ่อนอยู่ เพราะเธอไม่มีอะไรเสียหายนี่นา พวงมาลัยดอกไม้ยังอยู่ครบ อยากเป็นเจ้าบุญทุ่มเอง
จู่ๆจะมาให้เงินเธอฟรีๆก็เกินไปล่ะคนเรามีคนอย่างเขาหนึ่งในล้านเปอร์เซ็นต์ได้กระมังในโลกนี้
สงสัยคงรวยจนมีเงินถลุงใช้ไม่หมดเลยคิดจะทำทานให้คนทั่วไปแต่ทานด้วยการดูถูกนี่เธอไม่ปรารถนาเลย
ไม่อยากจะได้ของเขาแม้สักแดงเดียวเธอไม่อดอยากปากแห้งขนาดนั้น
“บ่นอะไรอยู่อีกลูก ผีทะเล ใครน่ะผีทะเลไปทะเลาะกับคนแถวนี้หรือเปล่า? ”
ไม่นึกว่านางสร้อยทองผู้เป็นแม่จะได้ยินด้วย เด็กสาวรีบเอามืออุดปาก คงจะพูดเสียงดังไปหน่อย แล้วนางก็เคาะประตู เปิดเข้ามา ยังเห็นร่างของบุตรสาวนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
“นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง จะแต่งหน้าไปไหนหรือลูกแล้วกันสิ น้ำท่ายังไม่อาบเลย ”
นางสร้อยเข้ามาและเห็นกล่าวตำหนิดุเบาๆ แต่คนฟังกลับยิ้มบอกมารดาว่า
“ใครบอกแม่ว่านาจะแต่งตัวออกไปข้างนอกคะแม่สร้อยขา วันนี้นาไม่ไปไหนทั้งสิ้น นาจะอยู่กับบ้าน ”
ลูกสาวแสนน่ารักตอบเหตุผลให้มารดาฟัง
“แล้วที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งอย่างนี้ล่ะจ๊ะ ”
“หนูนาก็นั่งแก้เซ็งไงคะแม่ ไม่มีอะไรทำ” คำตอบของบุตรสาวทำให้นางสร้อยร้องดุขึ้นมาทันที