[บันทึกความทรงจำ 'เมิ่งอิงฮวา']
เมิ่งอิงฮวานั้นเป็นลูกสาวของอนุในเรือนขุนนางขั้นสามคนหนึ่งที่มีเหล่าอนุมากมาย แต่แม่ของอิงฮวานั้นกลับเป็นที่โปรดปราน นั่นเป็นสาเหตุที่โดนเหล่าฮูหยินและอนุอื่นๆริษยาจนถึงขั้นวางยาปลุกกำหนัดพร้อมกับขังบ่าวชายไว้ในห้องด้วยกัน
เพราะโดนฤทธิ์ยาจึงทำให้ต้านทานไม่ไหวมีสัมพันธ์สวาทในเรือน ประตูถูกเปิดออกพร้อมภาพหลักฐานแบบแน่นหนาทำให้แม่อิงฮวานั้นโดนขับไล่ออกจากตระกูลพร้อมทั้งหนังสือตัดขาด ยังดีที่ยังเป็นที่รักและโปรดปรานทำให้เธอออกจากจวนโดยไร้รอยขีดข่วน
แต่ตรงข้ามกับบ่าวชายคนนั้นที่ได้รับโทษโดยการโบยถึงตาย เสียงร้องโหยหวนดังออกมาขณะที่เธอก้าวออกจากจวนพร้อมลูกในท้อง..
ใช่เธอตั้งท้องได้เดือนกว่าแล้วแต่ยังไม่มีใครรู้...
'เมิ่งไป่ถาน' ลูบท้องน้อยๆด้วยสีหน้าขื่นขมหันมองจวนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะก้าวออกจากจวน
เธอตัดสินใจกลับบ้านเดิมที่อยู่ทางเหนือ ยังดีที่ยังมีทรัพย์สินเดิมที่แอบเก็บไว้อยู่จึงทำให้การเดินทางไม่ลำบากนัก
ใช้เวลาประมาณสามสัปดาห์ก็ถึงที่หมาย รถม้าเคลื่อนผ่านบ้านแต่ละหลังจนไปถึงหลังท้ายสุดที่ถูกล้อมรั้วไว้อย่างดี
ชาวบ้านต่างซุบซิบเมื่อบ้านหลังเดิมของอดีตผู้ใหญ่บ้านมีคนมาอยู่ พอร่างบางก้าวลงจากรถม้าปุ๊บก็ได้ยินเสียงนินทาตามมาติดๆ
"นั่นมันไป่ถานนี่ ไหนว่านางย้ายไปอยู่เมืองหลวงกับสามีที่เป็นเศรษฐีแล้วมิใช่รึ"
"ฮึ โดนทิ้งกลับมาละสิ"
"เอาเวลายุ่งวุ่นวายเรื่องคนอื่นไปทำมาหากินจะดีกว่าไหมฮึ" เสียงนางลี่หงเพื่อนสนิทในหมู่บ้านของไป่ถานดังขึ้นทำให้พวกขี้นินทาสลายตัวอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองเขียนจดหมายหากันเสมอ ที่รู้หนังสือเพราะพ่อของไป่ถานเคยเป็นบัณฑิตมาก่อนจึงสอนให้เธอและลี่หง
นั่นทำให้ลี่หงรู้เรื่องทุกอย่างที่ผ่านมาโดยการบอกเล่าในจดหมายของไป่ถาน...แม้กระทั้งเรื่องล่าสุดก็ไม่ได้ปิดบังเพื่อนสนิทที่นับถือกันเป็นพี่น้องแต่อย่างใด
พอลี่หงเองรู้เรื่องก็นึกโกรธคนเหล่านั้นแต่ในใจก็ยินดีที่คนที่ตนเอ็นดูเหมือนน้องสาวจะกลับมาอยู่ด้วยกันแบบไม่ต้องคอยระแวงพวกงูพิษ นางลี่หงเองเมื่อทราบจากจดหมายว่าไป่ถานจะมาอยู่จึงทำความสะอาดภายในบ้านไว้ให้เรียบร้อย โชคดีที่ไป่ถานสั่งให้คนมาแผ้วหญ้าทุกเดือนอยู่แล้วทำให้บ้านหลังนี้ดูดีอยู่มากนัก
ภายในบ้านเงียบสงัดไม่มีคนอยู่ บิดาของไป่ถานนั้นตายลงด้วยโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หาย ส่วนมารดาตนนั้นตายตั้งแต่คลอดเธอออกมาไม่ถึงครึ่งชั่วยามเพราะร่างกายที่อ่อนแอ
เมื่ออยู่ตัวคนเดียวเธอจึงเริ่มออกหาของป่าไปขายเพื่อประทังชีวิตและเมื่อตอน17หนาวขณะหาของป่าก็บังเอิญได้ช่วยชีวิตคนคนหนึ่งที่ถูกลอบทำร้ายไว้ซึ่งคนคนนั้นก็คือสามีของเธอนั่นเอง
ทั้งไป่ถานและสามีใคร่กันเป็นอย่างมากจนตกลงที่จะย้ายไปอยู่ด้วยกันในเมืองหลวงและก็ทำให้เธอได้รู้ว่าเขานั้นมีภรรยาอยู่มากมายนักแต่เธอก็ยอมหลับตาลงข้างหนึ่งเพราะสามียังเอาอกเอาใจรักใคร่เธอเหมือนเดินจนเกิดเรื่องนี้ขึ้นมา..ไป่ถานลูบหยกที่สามีเคยให้ไว้อย่างเหม่อลอย
วันเวลาผ่านไปจนเด็กน้อยอิงฮวาเกิดขึ้นมาบนโลกครบ4หนาว
ขณะที่สองแม่ลูกกำลังจะเข้านอนตามปกติก็มีเสียงเคาะประตูใหญ่หน้ารั้วดังขึ้น
ไป่ถานเดินถือตะเกียงออกมาดู สายตาสอดส่องผ่านช่องแผ่นไม้จนเห็นเด็กน้อยหน้าตามอมแมมยืนเรียกตนอยู่จึงเปิดประตูออกแต่ยังไม่ทันได้เอ่ยถามอะไรเจ้าเด็กน้อยก็ชิงพูดเสียก่อน
"ท่านน้า ท่านน้าช่วยท่านแม่ด้วยขอรับ!" จางไท่คุณเขย่ามือหญิงสาวอย่างร้อนรน
"ลี่หงเป็นอันใดรึเสี่ยวคุณ"
"ท่านแม่ ฮึก ถูกใส่ร้ายว่าเป็นโรคระบาดขอรับ ชาวบ้านบอกจะเผาท่านแม่เพื่อไม่ให้เชื้อเผยแพร่ขอรับฮือออ" เด็กน้อยวัย 7 หนาวพูดด้วยความขื่นขมเมื่อเห็นชาวบ้านมากมายยืนถือคบเพลิงมายังบ้านตน
"อะไรนะ!!" ไป่ถานเริ่มใจเสียรีบหันหลังกลับไปบอกบุตรสาวพลางกำชับว่าให้รออยู่ที่นี่และอย่าเปิดกลอนให้ใครจนกว่าตนจะมาก่อนคว้าแขนเด็กชายรีบร้อนเดินออกไปทันที
"เสี่ยวคุณพอเล่าให้น้าฟังได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น"ไป่ถานเอ่ยถามอย่างร้อนรน
โรคระบาดถือว่าร้ายแรงนัก ช่วงหลังๆนี้เธอกับลี่หงไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กันเท่าที่ควรเพราะเธอยุ่งกับการปักผ้าไปขายในเมืองส่วนลี่หงเองก็ยุ่งกับการหาของป่าไปขาย เวลาไปมาหากันก็ทำให้แคล้วคลาดไม่ค่อยเจอกันสักทีเจอกันล่าสุดเมื่อเดือนก่อนที่งานศพของสามีลี่หงเท่านั้น..
สามีลี่หงนั้นถูกสัตว์ป่าทำร้ายขณะขึ้นเขาเพื่อไปล่ามันแต่กลับโชคร้ายโดนทำร้ายกลับมาจนสุดท้ายทนพิษไม่ไหวป่วยตายไปในที่สุด...
"ท่านแม่ไอแบบมีเลือดออกมาแถมยังไม่หายใจขอรับ ฮึก ข้าเลยไปหาลุงเว่ยที่เป็นหมอมาตรวจ พอลุงเว่ยมาถึงยังไม่ทันตรวจก็บอกท่านแม่เป็นโรคระบาดเพราะไอมีเลือด แถมยังไม่หายใจแล้ว ลุงเว่ยเลยบอกว่าให้เผาก่อนเชื่อจะแพร่ขอรับ ฮืออออออ"
เมื่อได้ฟังดังนั้นไป่ถานก็สะเทือนใจเป็นอย่างมากเพราะไม่กี่เดือนก่อนทางตอนใต้หมู่บ้านข้างๆก็เกิดโรคระบาดทำเอาคนล้มตายไปเป็นเบือจนทางการต้องมาตรวจแล้วแจ้งว่าหากใครตายให้เผาทันทีเพื่อหยุดยั้งการแพร่เชื้อ แต่ใครเล่าจะสามารถตรวจได้จริงเล่าว่าลี่หงเป็นโรคระบาดจริงหรือไม่...