“เฮียสวัสดีครับ” เป็นไอ้ทิวครับด้านหลังมันมีน้องตาลเดินตามมาด้วย
“เออ ไม่มานานเลยนะมึง”
“ทำงานครับไม่ค่อยว่างเลย แต่วันนี้หยุดก็เลยแวะมาหาไง”
“เหรอ กูไม่เห็นไอ้เต้จะยุ่งเหมือนมึงเลยแถมมันยังทำตัวว่างงานอีกต่างหาก”
“ฮ่า ๆ งานคนละส่วนกันครับ ว่าแต่เด็กที่ผมสอนงานให้เป็นยังไงบ้าง โอเคหรือเปล่า”
“ไอ้ฟลุ๊คน่ะเหรอ มันก็ทำงานเรียบร้อยดี ผิดพลาดน้อย”
“แล้วเฮียจะให้สอนใครอีกไหม เพราะอีกไม่นานผมต้องลงหน้างานจะไม่ค่อยมีเวลาว่างเลย ไอ้เต้ก็เหมือนกันมันต้องไปกับผมด้วย”
“ไม่เป็นไร ไอ้นิคกับไอ้ฟลุ๊คมันก็เก่งเหมือนกัน เดี๋ยวให้พวกมันสอนก็ได้ถ้าจะรับจริง ๆ ”
“ครับ”
“แล้วเราน่ะไม่เรียนเหรอวันนี้” ประโยคนี้ผมหันไปถามน้องตาลครับ
“เรียนเสร็จตั้งแต่เที่ยงแล้วค่ะ ช่วงบ่ายอาจารย์ยกคลาสก็เลยเลิกเร็ว”
“อ๋อ...แล้วนี่จะไปไหนกัน หรือตั้งใจมาโดยเฉพาะ”
“เพิ่งมาจากบ้านน้องกำลังจะไปหาแม่กับยายด้วยครับ แต่มันทางผ่านเลยแวะมาหาเฮียสักหน่อย”
“ขอบใจที่ยังนึกถึง แต่งเมื่อไหร่ก็บอกกูด้วยแล้วกัน”
“แน่นอน”
เท้าความก่อนว่าเดิมทีผมรู้จักกับไอ้เต้ก่อนครับ มันมาที่ร้านบ่อยตอนนั้นมันอยู่มอสามเองมั้ง กำลังเกรียนวัยกำลังห้าวเลย แต่มันไม่ถึงกับเกเรนะแค่ติดกวนประสาทเท่านั้นเอง มานั่งดูผมทำรถอยู่เป็นวัน ๆ มันก็ชอบตามประสาวัยรุ่นแหละ พอขึ้นมอปลายมันก็เริ่มชวนเพื่อนมาด้วยและหนึ่งในนั้นก็คือไอ้ทิว ไอ้นี่มีแววเป็นผู้นำสุด คิด วิเคราะห์ แยกแยะได้โคตรละเอียด ไหน ๆ เด็กมันก็สนใจที่จะเรียนรู้แล้วผมจึงสอนให้และกลายเป็นลูกพี่ลูกน้องกันจนถึงทุกวันนี้ไง
“หนูอยากเข้าห้องน้ำ”
“เดี๋ยวพี่พาไป” จบประโยคมันก็จูงมือกันผ่านหน้าผมไปเลยครับ ทำร้ายกันโคตรเลือดเย็น... เห็นแบบนี้แล้วพาลให้นึกถึงใครคนหนึ่ง ผมเองก็เคยตามดูแลใครบางคนเหมือนกัน แต่ก็นั่นแหละแค่รักอย่างเดียวมันไม่พอ แต่ช่างเถอะ! มันผ่านไปนานแล้วครับ ถ้าจะมีอีกครั้งตัวผมก็พร้อมเสมอ...
คนเรามักเติบโตและเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง ข้อนี้ผมว่ามันจริง! บางเรื่องราวในอดีตเราเองก็อยากรีเซตและแก้ไขมันทั้งหมดแต่มันทำไม่ได้แล้วไง สิ่งเดียวที่จะหักล้างกันได้คือเราจะไม่ผิดพลาดแบบนั้นอีก
“ผมกลับก่อนนะเฮียเดี๋ยวต้องไปซื้อของให้ยายอีก ถ้าว่างจะแวะมาใหม่นะครับ”
“เออขับรถดี ๆ เว้ย”
“ครับผม”
คล้อยหลังไอ้ทิวผมก็หยิบมือถือกดโทรหาใครบางคนทันที เลิกเรียนตั้งแต่เที่ยงบ่ายสามยังไม่ยอมมาทำงานอีกครับ
(สวัสดีค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้)
“กวนตีน”
(ฮ่า ๆ ๆ แค่นี้ต้องโทรตาม)
“อยู่ไหน?”
(กำลังจะถึงแล้วนี่ไงแค่นี้แหละ)
จากนั้นสายก็ตัดไปพร้อมกับรถยนต์คันหนึ่งที่กำลังเลี้ยวเข้ามาพอดี จะไม่อะไรเลยหากคนที่มาส่งไม่ใช่ผู้ชายน่ะ
“หนูไปธุระกับเพื่อนมา นี่ไงมีเค้กมาฝากด้วยนะ” เธอว่าพลางชูถุงขนมในมือให้ดู
“ใคร?”
“คะ?”
“ใครมาส่ง”
“อ๋อ... ไอ้ภามเพื่อนน่ะ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงปกติ
“เพื่อนมึงรู้ด้วยเหรอว่าทำงานกับกู”
“ภามรู้แต่ไอ้ตาลไม่รู้ แต่ก็รู้เท่านี้แหละเรื่องทำงานกลางคืนหนูไม่เคยบอกใคร ไม่ได้อายเรื่องงานหรอก แต่เรื่องครอบครัวมันไม่ไหวจริง ๆ ”
“แล้วไปไหนมา”
“ก็ไปทำธุระไงเฮีย อย่าถามมากนักสิมันไม่ใช่เรื่องของหนู หนูไม่รู้รายละเอียดอะไรมากแค่ไปเป็นเพื่อนมันเฉย ๆ โอเค๊!” เธอร่ายประโยคยาว ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในครัวแล้วออกมาพร้อมกับเค้กและกาแฟแก้วหนึ่ง
“ทำไมไม่เห็นมีบิลเลยล่ะ เฮียทำหมดแล้วเหรอ”
“เปล่า วันนี้ยังไม่มีลูกค้ามาสั่งของเลย ตรวจรายรับรายจ่ายไปก่อนแล้วกัน”
“อันที่จริงรายรับรายจ่ายเนี่ยเฮียน่าจะทำเองนะเพราะมันเป็นอะไรที่โคตรจะส่วนตัวเลย ไม่ควรจะเปิดเผยรายได้ให้คนอื่นรู้ด้วยซ้ำ”
“รู้...แต่ขี้เกียจจบนะ!” ผมว่าพลางหยิบแก้วกาแฟมาดื่ม
“ขโมย!”
“ขโมยต้องไม่เห็น”
“แต่นั่นของหนู”
“ไม่เห็นมีชื่อติดเลย”
“ชิ!”
“ชอบกินกาแฟเหรอ”
“มาก! โกโก้ก็ได้แต่ต้องขมนะ ไม่ขมไม่กิน”
“กูว่ามึงติดคาเฟอีนมากกว่า”
“หนูติดกาแฟเฮียอย่าเถียงสิ”
“มึงนั่นแหละอย่าเถียง”
“หนูลองอย่างอื่นที่มันมีส่วนผสมของคาเฟอีนแล้วสรุปปวดหัว! เลยต้องกลับมากินกาแฟเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นเฮียนั่นแหละอย่าเถียง!”
“เอาที่สบายใจเถอะ แต่อย่ากินมากแล้วกันมันไม่ดี”
“ทราบค่ะ วันละแก้วสองแก้วเท่านั้นเอง”
เถียงกันได้ไม่นานลูกค้าก็เข้าร้านพอดีครับ วันนี้ไอ้เต้กับไอ้นิคลา ส่วนไอ้ฟลุ๊คออกไปส่งของผมเลยต้องทำคนเดียว
“แฟนเหรอพี่ น่ารักดีนะ” ผมไม่ได้ตอบอะไรแค่เพียงยิ้มให้เท่านั้นเอง
ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จแล้วครับ วันนี้ลูกค้าไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ส่วนหนึ่งคงมาจากผมปิดร้านบ่อยด้วยแหละ หันกลับมาอีกทีใครอีกคนกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ครับ
“แค่นี้ก่อนนะ เราไม่ว่างน่ะ” พูดจบเธอก็กดวางสายไปเลย ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้คุยอะไรแต่สีหน้าไม่ค่อยดีเลยครับ
“คุยกับใครหน้ายุ่งเชียว”
“คนเคยคุย”
“ตอบตรงดีนะ ไม่โกหกหน่อยเหรอ” ผมว่าพลางนั่งลงข้างเธอ
“ไม่รู้จะโกหกไปทำไมนี่คะ”
“ใช้คำว่าเคยคุยแสดงว่าเลิกคุยไปแล้ว”
“ค่ะ”
“แล้วทำไมยังติดต่อกันอีก”
“ไม่รู้ดิ หนูเบลอมั้งเลยให้เบอร์มันไป”
“บล็อกซะก็จบ”
“เหมือนกำลังหึงเลยรู้ตัวหรือเปล่า” เธอว่ายิ้ม ๆ ก่อนจะเงยหน้ามองผม
“ถ้าบอกว่าใช่ล่ะ”
“อย่างเฮียไม่มาเสียเวลากับหนูหรอก อย่างดีก็แค่หลอกฟัน”
“เดี๋ยวกูตบปากแตก”
“พูดเรื่องจริงถึงกับรับไม่ได้” ยังครับ ยังไม่หยุดอีก
“มึงก็เปิดใจสิ จะได้รู้ว่าอันไหนกูพูดจริง อันไหนกูพูดเล่น”
“...”
“แล้วไอ้คนเคยคุยห่าอะไรนั่นน่ะ เลิกติดต่อซะ”
“ไหนบอกเหตุผลดี ๆ มาสักข้อสิเผื่อหนูจะยอมทำตาม”
“หนังสือเล่มเดิมมึงอ่านกี่ครั้งมันก็จบเหมือนเดิมนั่นแหละ”
“แต่นี่ชีวิตจริงนะเฮีย”
“ใช่ไง เพราะนี่คือชีวิตจริงฉะนั้นมึงควรระลึกไว้ว่าได้กูแล้วต้องรับผิดชอบกูด้วย ไม่ใช่เอาเวลาไปติดต่อกับไอ้คนเก่าอยู่ ไร้สาระ!” จะบอกไปตามตรงว่าให้เลิกคุยมันก็จะดูก้าวก่ายเกินไปเลยต้องใช้วิธีพูดหว่านล้อมเอาครับ
“หนูได้เฮีย แล้วเฮียไม่ได้หนูหรือไง?”
“เออดิ ต้องลองอีกรอบจะได้รู้ว่าใครได้ใครกันแน่”
“ไอ้บ้า!!”
“ฮ่า ๆ ๆ ”
“เฮียนี่โรคจิตใช้ได้เลย”
“จะถือว่าชมแล้วกันนะ”
“ค่ะ!!”