กลับถึงบ้านก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยค่ะ ตั้งใจว่าจะไปเรียนแต่คงต้องหยุดอีกตามเคยเนื่องจากสภาพฉันตอนนี้คือไม่ไหวจริง ๆ แถมยังปวดหัวมากด้วย ไม่รู้ว่าเมาค้างหรืออะไร
แกร่ก!
“เพิ่งมาเหรอ” แม่เอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติ
“อืม แล้วแม่ล่ะไปไหนมา”
“ก็อยู่บ้านสิยังไม่ได้ไปไหนเลย แล้วทำไมเพิ่งมาทุกทีเห็นกลับบ้านตลอดนี่” ใช่ค่ะ ดึกดื่นแค่ไหนฉันไม่เคยค้างที่อื่นเลย
“หนูเมาอ่ะ ก็เลยค้างที่ร้าน” โกหกไม่ใช่เรื่องดีค่ะ แต่บางทีก็จำเป็น
“แล้วว่าแต่ข้าขี้เมา เอ็งก็เหมือนกันแหละ” แม่ว่ายิ้ม ๆ ก่อนจะเดินมานั่งข้างฉัน “ไม่สบายเหรอ” พร้อมกับอังฝ่ามือลงบนหน้าผากฉัน
“ไม่หรอก สงสัยหนูจะเมาค้าง”
“เมาค้างอะไรตัวร้อนแบบนี้ เดี๋ยวไปซื้อยาให้แล้วกัน กับข้าวมีในครัวหากินเอาเอง” จบประโยคก็ออกจากบ้านไปเลยไม่รอให้ฉันได้พูดอะไรสักคำ แอบดีใจนะคะที่แม่เป็นแบบนี้ หวังว่าจะไม่กลายร่างเป็นยัยป้าขี้เมาอีก
คล้อยหลังแม่ฉันก็ผล็อยหลับไป ไม่รู้เลยว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ตื่นขึ้นมาอีกทีท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้วค่ะ ข้างกายฉันมีโจ๊กกับยาแก้ไข้วางอยู่
“หลับนานขนาดนี้เลยเหรอวะ” บ่นพึมพรำกับตัวเองก่อนจะเข้าไปอาบน้ำแต่งตัว กินข้าวกินยาแล้วออกมาทำงานต่อเลย ป่วยแหละแต่หยุดไม่ได้ไง
“ไงเรา”
“สวัสดีค่ะ” ฉันเอ่ยทักทายพร้อมกับยกมือไหว้เจ้ม่านอย่างเช่นทุกวัน
“เหมือนเดิมนะ โต๊ะไกด์”
“คนอื่นบ้างก็ดีนะคะ หนูเบื่อขี้หน้าพวกเขาแล้ว” ฉันพูดออกไปอย่างไม่จริงจังมากนัก ไอ้ที่จริงจังคือไม่อยากเจอหน้าเฮียไกด์มากกว่าค่ะ มันมองหน้ากันไม่ติด
“เอาน่า... ท่องไว้ว่าได้ทิปเยอะ”
“...” อึดอัดเป็นบ้าเลยอะไรที่ต้องเก็บเป็นความลับเนี่ย
สามทุ่มครึ่งเวลาเดิมพวกเขาก็มากัน
“ลืมไปทำงานหรือเปล่า?”
“เปล่าค่ะ”
“ได้ข่าวว่าวันนี้มึงไม่ได้ไปเรียนนะ”
“บางทีเฮียก็รู้เรื่องของหนูเยอะไปนะ” ฉันว่ายิ้ม ๆ จะว่ากวนประสาทก็ใช่แหละ
“เดี๋ยวนะไอ้ไกด์ มึงเป็นคนพูดมากตั้งแต่เมื่อไหร่ เท่าที่กูจำได้มึงไม่สนทนากับใครด้วยซ้ำ”
“เออ ขนาดกับพวกกูมึงยังไม่อยากจะโต้ตอบเลย” เพื่อนเขาเอ่ยแซวเมื่อสังเกตเห็นว่าเราสองคนถกเถียงกันบ่อยครั้ง
“เด็กที่ร้านกูเอง ทำไมจะพูดคุยไม่ได้?”
“ห๊ะ? น้องแนนไปทำงานที่ร้านมันด้วยเหรอ” ประโยคนี้เพื่อนเขาหันมาถามฉันค่ะ ถ้าจำไม่ผิดคนนี้ชื่อพี่คิว อีกคนชื่อพี่นาย
“ค่ะ พอดีแนนมีความจำเป็นนิดหน่อย”
“อ๋อ...อย่างนี้นี่เอง ไอ้คนโลกมืดมนมันถึงได้เปลี่ยนไป”
“ขี้เสือกฉิบหาย”
“...”
เลิกสนใจพวกเขาแล้วหันมาทำหน้าที่ของตัวเองต่อ ระหว่างนี้ก็จะมีสาวสวยแวะเวียนมาขอชนแก้วพวกเขาตลอดเลยค่ะ
“พี่ส้ม มาแทนหนูสักสิบห้านาทีสิ ขอไปห้องน้ำหน่อย” ฉันหันไปบอกพี่ส้มที่อยู่โต๊ะข้าง ๆ
“โอเคเดี๋ยวพี่ดูให้ เมาไหมเนี่ย?”
“ไม่ ๆ หนูโอเค” จบประโยคก็แยกตัวมาเข้าห้องน้ำทันที ทำธุระส่วนตัวเสร็จออกมาเฮียไกด์ก็รออยู่ก่อนแล้วค่ะ
“หลงเสน่ห์หนูหรือไงตามมาอยู่ได้”
“หลงนมมึงต่างหาก”
“ทะลึ่ง!” ฉันว่าพลางถลึงตาใส่เขา
“เป็นอะไร? ทำไมไม่ไปเรียน”
“ขี้เกียจ”
“ตอบเหมือนเด็กเอาแต่ใจ”
“แล้วเฮียยุ่งอะไรด้วย?”
“มีความสุขไหมล่ะกับทางเลือกของตัวเอง”
“...”
“โตซะเปล่ายังไม่มีหัวคิดเลย แถมยังไม่ยอมรับฟังใครอีก”
“แล้วทางที่ดีมันเป็นยังไงเหรอคะไหนพูดมาให้ฟังหน่อย... แล้วความจริงหนูจะเป็นยังไงเฮียก็ไม่ควรยุ่งเลยด้วยซ้ำ!” ฉันไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรหรือรู้สึกยังไงถึงได้พยายามเข้าหาฉันอยู่ตลอด
“พูดแบบนี้แสดงว่าจำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้จริง ๆ สินะ” เขาว่าพลางเหยียดยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
“มีอะไรก็ว่ามาเถอะ หนูเบื่อจะเถียงแล้ว”
เฮียไกด์ไม่ตอบอะไรแต่กลับเปิดคลิปวีดิโอหนึ่งให้ฉันดู
(ถ้ายังไม่หยุดกูจะถือว่ามึงยอมจริง ๆ แล้วนะ)
“หนูเลือกแล้ว...หนูจะเป็นเด็กดี จะเชื่อฟังทุกอย่างเลย”
(อย่าเสียใจทีหลังแล้วกัน)
“เฮียไม่ทำให้หนูเสียใจหรอก คิกคิก”
แล้วคลิปมันก็ตัดไป เป็นฉันจริง ๆ ค่ะ สาบานเลยว่าจำไม่ได้ แต่ในเมื่อคนตรงหน้ามีหลักฐานชัดเจนขนาดนี้ฉันจะดิ้นยังไงไหว ดันไปรับปากว่าจะเป็นเด็กดีอีกต่างหาก! แนนเอ้ย...ทำอะไรลงไปวะ
“คราวนี้ยังจะปากดีอยู่ไหม?”
“ไม่รู้แหละ ก็หนูเมาเฮียอย่าทำเหมือนตัวเองเป็นฝ่ายเสียหายนักเลย ขนาดหนูเป็นผู้หญิงหนูยังไม่เรียกร้องอะไรสักอย่าง”
“พูดอย่างกับตัวเองถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียวเลยเนอะ มึงดูนี่!” เขาว่าก่อนจะเปิดเสื้อตัวเองขึ้น มีแต่รอยคริสมาร์กทั้งนั้นเลยค่ะ
“โอ๊ยเฮีย!! เลิกพูดเรื่องน่าอายได้แล้วค่ะ มันผ่านไปแล้วมันจบไปแล้ว” ฉันโวยวายใส่คนตรงหน้าที่เอาแต่พูดย้ำอยู่กับเรื่องเดิม ๆ
“ก็มึงเลือกเองไง แล้วทีนี้รู้หรือยังว่าทำอะไรโดยไม่มีสติผลเสียมันเป็นยังไง แล้วอีกอย่างนะเลิกพยศใส่กูได้แล้ว ไหนรับปากว่าจะเป็นเด็กดี?” ไม่พูดเปล่าเขายังเล่นหูเล่นตาใส่ฉันอีกด้วย
“พูดอย่างกับเป็นพ่อไปได้”
“ไม่ได้เป็นพ่อ แต่เป็นผัว!”
“...”