บทที่ 10 หนูคะ

4000 Words
                                                                                    บทที่ 10                                                                                       หนูคะ                                                         'ห่วงยางไม่รู้ของใคร แต่ห่วงใยน่ะของพี่'               วันนี้ก็เป็นดังเช่นเดิมของทุกเช้าในฤดูหนาว นั่นก็คือมีหมอกปกคลุมไปทั่ว แม้วันนี้จะไม่มากเหมือนวันก่อน ๆ ที่ผ่านมา แต่ก็ถือว่าอากาศยังหนาวอยู่             เริ่มต้นเช้าวันใหม่มาจนสายแล้ว สายจนตะวันโผล่พ้นม่านหมอกออกมาอวดโฉมให้ได้ยล แสงอาทิตย์ทำลายน้ำหมอกและน้ำค้างที่เกาะอยู่ตามยอดไม้ยอดหญ้าจนหายไปในที่สุด              ดวงอาทิตย์ทำงานอย่างขยันขันแข็ง แต่ดูเหมือนว่าจะมีคนหนึ่งที่เริ่มขี้เกียจจนไม่อยากจะลุกไปไหน หรือความจริงแล้วเจ้าของไร่รอใครอยู่กันแน่นะ             "วันนี้พี่ไรเฟิลไม่เข้าฟาร์มเหรอคะ"             เฟิร์นเอ่ยถามพี่สาวที่กำลังนั่งเขี่ยข้าวในจานไปมาราวกับเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ชอบเขี่ยหาแค่ของที่ตัวเองอยากกินในจาน พี่ไรเฟิลเองก็ทำแบบนั้นไม่มีผิด              อ้อ...ที่ผิดไปจากเด็กเขี่ยข้าวก็คงจะเป็นอาการชะเง้อคอมองไปทางบันไดแหละนะ สงสัยจะรอใครอยู่แน่เลย              และทางนั้นก็เป็นทางที่มีไว้สำหรับเดินขึ้นไปชั้นสอง ชั้นสองคือห้องนอนของเธอ พี่ไรเฟิล แล้วก็...ผู้อาศัยใหม่อย่างแพรไหม              รอเพื่อนเธออยู่แน่เลย             "อ๋อ...ไม่หรอก"             "ทำไมล่ะคะ"             "ก็...ขี้เกียจ...มั้ง"             อะไรนะ ขี้เกียจงั้นหรือ ร้อยวันพันปีพี่ไรเฟิลไม่เคยบ่นว่าขี้เกียจเลยสักครั้ง หรือนี่จะเป็นข้ออ้างกันนะ ความจริงแล้วพี่สาวเธอกำลังรอแพรไหมอยู่ล่ะสิ             เพราะวันนี้เพื่อนสาวเหมือนว่าจะตื่นสายกว่าปกติ ทั้งที่สามวันที่ผ่านมาแพรไหมรีบตื่นแต่เช้าเพื่อมารอติดสอยห้อยตามพี่ไรเฟิลไปทุกที่นี่นา แต่วันนี้กลับแปลกไป             หรือว่า...แพรไหมจะไม่สบายนะ             "รอยัยแพรเหรอคะ"             "เปล่า!"             ไรเฟิลรีบตอบเสียงจริงจัง เขาไม่ได้รอแพรไหมเลยจริง ๆ ก็แค่นึกขี้เกียจขึ้นมาดื้อ ๆ แค่นั้นเอง              ป่านนี้ยัยน้องแพรไหมจอมป่วนยังไม่ตื่นอีก ก็คงจะขี้เกียจตามเขาแล้วล่ะมั้ง คนผู้ดีลูกคุณหนูอย่างนั้นคงเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อล่ะสิท่า             ตามเขาได้สามวันก็คงจะถอดใจอยากวิ่งหนีกลับบ้านแล้วล่ะ              ก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้ไม่ต้องมานั่งรำคาญแล้วก็ปวดหัวกับน้องแพรไหมอีก             ไรเฟิลลุกขึ้นยืนในที่สุด สายตาชำเลืองไปมองทางบันไดอีกครั้ง ป่านนี้ยัยนั่นคงกำลังเก็บกระเป๋าแล้วสินะ             จะอยู่ทำไมเล่าไรเฟิล หนีดีกว่า ถ้าน้องแพรไหมลงมาก็คงมิวายวานให้เขาไปส่งเป็นแน่             และเขาจะไม่มีทางไปส่งเธอเด็ดขาด มาเองได้ก็ต้องกลับเองได้สิ             "จะไปไหนคะ"             "ไร่"             คนที่คิดเองเออเองเป็นตุเป็นตะเดินออกไปจากห้องรับประทานด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่าน เขาจะไปคิดเรื่องยัยนั่นทำไมกันนะ จะไปไหนก็แล้วแต่เธอสิ ไม่เกี่ยวกับเขาสักหน่อย ไปไกล ๆ ได้ยิ่งดีเขาจะได้มีอิสระสักที             แค่นี้ก็รำคาญจะแย่ แถมยังปวดหัวอีก               คล้อยหลังพี่สาว เฟิร์นก็เดินขึ้นมาชั้นสองของบ้าน เมื่อเช้าเธอยุ่ง ๆ เลยไม่ได้มาปลุกเพื่อน และคิดว่าแพรไหมตื่นแล้วคงออกไปเดินเล่นที่ไหนสักที่ แต่จวบจนเวลาสายก็ยังไม่เห็นเพื่อนสาว เธอเลยสรุปเอาเองว่าแพรไหมยังไม่ตื่น             และถ้าให้เดา เฟิร์นขอเดาว่าเพื่อนสาวอาจหมดฤทธิ์เพราะพิษของความไม่สบายเข้าเล่นงานเป็นแน่             ก๊อกๆๆๆ             เฟิร์นเคาะประตูสองสามครั้ง หากตื่นแล้วแพรไหมก็คงจะได้ยินและมาเปิดให้ แต่นี่เพื่อนสาวกลับเงียบ ไม่มีแม้แต่เสียงพูดจา             "แพรไหม"             "..."             เงียบ ไร้เสียงตอบรับจากคนด้านใน และเฟิร์นก็เริ่มมั่นใจแล้วว่า เหตุที่แพรไหมเงียบฉี่ขนาดนี้ คงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากแพรไหมกำลังไม่สบาย             เท้าเล็ก  ๆ รีบวิ่งลงชั้นล่างทันที เฟิร์นฉวยเอาพวงกุญแจห้องที่ห้อยอยู่ข้างตู้เย็นติดมือขึ้นมาโดยทันที เมื่อมาถึงก็ลงมือไขกุญแจและเปิดประตูออก และทันทีที่ประตูอ้ากว้าง ภาพที่เฟิร์นเห็นก็คือไม่มีแพรไหมในห้อง             "ยัยแพร"             สองเท้ารีบก้าวเข้ามาใกล้เตียงมากขึ้น และได้เห็นว่าความจริงแล้วแพรไหมกำลังซุกตัวอยู่ใต้ผ้านวมต่างหาก นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอมองไม่เห็นเพื่อนสาวในคราแรก             "แพร"             เฟิร์นเลิกผ้าห่มออก และได้เห็นว่าแพรไหมกำลังนอนตัวสั่นงันงกอยู่ในนั้น มือบางยกมาอังหน้าผากของเพื่อนสาวและไอร้อนก็แผ่ขึ้นมาปะทะทันที             "ไม่สบายจริงด้วย"             เพื่อนสาวรีบกุลีกุจอหาอุปกรณ์สำหรับเช็ดตัวเพื่อลดความร้อนในร่างกายมาเช็ดตัวให้แพรไหมทันที             มิน่าล่ะแพรไหมถึงไม่ลงไปข้างล่างสักที มันผิดวิสัยของเพื่อนสนิทมาก ๆ ปกติหากตื่นแล้วแพรไหมจะรีบลงไปรอพี่ไรเฟิลทันที แต่วันนี้กลับไม่เป็นอย่างนั้น              ความจริงเธอก็อยากขึ้นมาเรียกเพื่อนสาวอยู่หรอกนะ แต่ในหัวกลับคิดว่าวันนี้แพรไหมอยากนอนพักผ่อนเสียมากกว่า เฟิร์นจึงได้ปล่อยเลยตามเลย             เมื่อได้อุปกรณ์มาครบครันเฟิร์นก็ลงมือเช็ดตัวให้เพื่อนสาวทันที และระหว่างนั้นแพรไหมก็รู้สึกตัวตื่น แต่ก็ยังทำอะไรไม่ได้ตามที่ใจต้องการ              แพรไหมทำเพียงนอนนิ่ง ๆ หลับตาพริ้มให้เพื่อนสาวเช็ดตัวให้เท่านั้น และอาการปวดหัวก็ยังเล่นงานตลอดเวลา             "เสร็จแล้ว"             เฟิร์นลูบหัวเพื่อนสาวอย่างเอ็นดูทันทีที่เช็ดตัวและใส่เสื้อผ้าให้เสร็จสรรพ เวลาไม่สบายน่ะ แพรไหมชอบหมดฤทธิ์เหมือนคนไม่มีพิษมีภัย ไม่เหมือนตอนที่ร่างกายปกติสักนิดเดียว สาเหตุที่รู้ก็เพราะในสมัยที่เรียนอยู่และเป็นรูมเมทกันแพรไหมเคยป่วยและเธอก็รับหน้าที่เป็นพยาบาลส่วนตัวให้เพื่อนสาวยังไงล่ะ             บอกเลยว่าถ้าได้ป่วยแล้วแพรไหมก็หงอเหมือนลูกแมวน้อยตัวเล็ก ๆ ดี ๆ นี่เอง             "หิวหรือเปล่า"             แพรไหมส่ายหน้า เธอหนาวและอยากนอนมากกว่า             "แต่ยังไงก็ต้องกิน นอนรอก่อนนะ เดี๋ยวชั้นจะไปอุ่นโจ๊กให้"             พูดเสร็จเฟิร์นก็ลุกขึ้น เก็บของทุกอย่างแล้วเดินลงชั้นล่างทันที              ในสถานการณ์แบบนี้คงทำอาหารอย่างอื่นไม่ทันแล้วล่ะนะ โจ๊กซองคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนไข้แล้วล่ะ               "ทำอะไรยัยเฟิร์น"             ในขณะที่เฟิร์นกำลังง่วนอยู่กับการทำอาหาร จู่ ๆ พี่สาวก็เดินเข้ามาในครัวด้วยใบหน้าซังกะตาย             "อุ่นโจ๊กค่ะ"             "เมื่อเช้ากินข้าวไม่อิ่มเหรอ"             "อิ่มค่ะ"             "แล้วยังจะกินโจ๊กอีกเนี่ยนะ"             "เฟิร์นทำให้ยัยแพรค่ะ"             "อ่าว ยังไม่กลับอีกเหรอ"             "หืม จะกลับได้ไงคะ พี่ไรเฟิลก็รู้ว่ายัยแพรมาที่นี่ทำไม"             ไรเฟิลส่ายหน้าช้า ๆ เขารู้ดีว่าแพรไหมมาที่นี่ทำไม แพรไหมพูดกรอกหูทุกวันว่ามาที่นี่เพราะอยากได้เขาเป็นแฟน แต่ที่เขาสงสัยก็คือ ถ้าหากว่าแพรไหมได้เขาเป็นแฟนแล้วเธอจะกลับบ้านและทิ้งเขาอยู่ที่นี่งั้นหรือ             "แล้วพี่ไรเฟิลกลับมาทำไมคะ"             "..."             "ลืมอะไรรึเปล่า"             เฟิร์นถามด้วยความสงสัย ปกติพี่สาวไม่เคยกลับบ้านเวลานี้เลยสักครั้ง เพราะโดยนิสัยแล้วพี่ไรเฟิลจะออกไปฟาร์มตั้งแต่เช้าตรู่ และกลับมาในเวลาที่พระอาทิตย์เกือบจะตกดินทุกวัน              "หิว"             ไรเฟิลตอบสั้น ๆ วันนี้เขาไปทำงานในไร่สาย เพราะมัวแต่ใจเย็นนั่งจิบชาอยู่ที่บ้าน และคงเป็นเพราะอากาศหนาวที่ทำให้เขากินข้าวได้น้อย ส่งผลให้ไม่อยากทำงาน และเขาก็สรุปเอาเองว่าเป็นเพราะหิวข้าวทำให้เขาไม่อยากทำงาน             มันเป็นอาการที่เขาไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งที่เมื่อเช้าเขาก็ไปที่ฟาร์มตามปกติ รีดนมวัวดังเช่นที่เคยทำเป็นประจำทุกวัน แต่มันกลับรู้สึกราวกับว่าขาดอะไรไปสักอย่างหนึ่ง ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าคืออะไร             "เพิ่งจะสี่โมงเช้าเองนะคะ"             "ก็พี่หิว ทำอาหารให้กินหน่อยสิ"             "ทำเองได้ไหมคะ"             "..."             "คือเฟิร์นต้องเอาโจ๊กไปป้อนยัยแพรก่อนค่ะ"             ไรเฟิลขมวดคิ้วด้วยความฉงน ทำไมต้องป้อนด้วยล่ะ             "หัดเป็นสาวชาวไร่ได้สามวัน เป็นง่อยไปแล้วเหรอ"             เฟิร์นหันมามองพี่สาวด้วยความไม่พอใจ ปากคอเราะรายเหลือเกินนะ และนิสัยของพี่ไรเฟิลก็ไม่น่ารักเอาซะเลย             "ไม่น่ารักเลยนะคะ"             "อ่า...พี่ขอโทษ"             ไรเฟิลยอมรับผิดในที่สุด เขาผิดเองที่ปากไม่ดี ไม่ว่าจะพูดกับใครก็ไม่สมควรพูดแบบนี้ทั้งนั้น และเมื่อครู่เขาก็ไม่ได้คิดให้ดีก่อนพูด เลยพลั้งปากไปแบบนั้น             "ยัยแพรไม่สบายค่ะ นอนซมอยู่บนห้องตั้งแต่เช้าแล้ว"             เฟิร์นตักโจ๊กใส่ในถ้วยพร้อมกับเอ่ยตอบพี่สาว จากนั้นก็ยกถาดที่มีแก้วน้ำเปล่า ยา และถ้วยโจ๊กมาถือไว้ น้องสาวเดินกระแทกไหล่พี่สาวออกไปจากห้องครัวด้วยความไม่พอใจ             "เดี๋ยว!"             ไรเฟิลรีบรั้งน้องสาวไว้ทันที เขาไม่รู้ว่าเรียกเฟิร์นทำไม รู้แค่ว่าต้องทำให้น้องสาวหยุดเดินเสียก่อน             "มีอะไรคะ"             นั่นน่ะสิ เขามีอะไร             "คือ..."             "คืออะไรคะ"             ไรเฟิลถอนหายใจในที่สุด โอเคยอมรับก็ได้ว่าเขาเป็นห่วงแพรไหม             "น้องแพร..."             "..."             "เป็นยังไงบ้าง"             "ก็เป็นไข้ค่ะ สงสัยตากหมอกนานเกินไป"             ไรเฟิลพยักหน้าเข้าใจ เขาคงเป็นต้นเหตุให้น้องแพรไหมไม่สบายสินะ ก็นึกว่ากลับไปแล้วเสียอีก ที่แท้ก็ยังอยู่หรือนี่ โล่งใจไปหน่อย             เดี๋ยวนะไรเฟิล แกจะโล่งใจทำไมเนี่ย             "เดี๋ยวพี่...เอาขึ้นไปเอง"             "..."             "เฟิร์นทำกับข้าวให้พี่เถอะ"             น้องสาวยื่นของที่อยู่ในมือเมื่อครู่ให้พี่สาวทันที             พี่ไรเฟิลเป็นห่วงยัยแพรเธอดูออก เพราะงั้นจะขัดศรัทธาคนปากแข็งไปทำไมกัน             "ฝากด้วยนะคะ"             "อื้ม"             เมื่อกล่าวจบประโยคไรเฟิลรีบสาวเท้าอย่างมั่นคงขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านทันที เป้าหมายของเขาก็คือห้องนอนของแพรไหมนั่นเอง               ทันทีที่เปิดประตูเข้ามาเขาก็เห็นว่ามีร่างเล็ก ๆ ซุกตัวอยู่ในผ้านวมผืนหนา น้องแพรไหมคงหมดฤทธิ์แล้วล่ะสิวันนี้             "น้องแพรคะ"             "..."             "น้องแพรไหมคะ"             ไรเฟิลวางอาหารและยาของคนป่วยไว้ปลายเตียง เขาเอ่ยเรียกแพรไหมด้วยน้ำเสียงอบอุ่น เป็นน้ำเสียงที่แพรไหมไม่เคยได้ยินมาก่อน และคงจะจับใจความไม่ได้เพราะพิษไข้กำลังเล่นงาน             "ตื่นมากินข้าวก่อนเร็ว"             "ไม่หิว"             แพรไหมเอ่ยเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง             "ไม่หิวก็ต้องกินนะคะ กินข้าวแล้วจะได้กินยา"             "..."             "ไม่งั้นไม่หายนะคะ"             "หายแล้วจะรักน้องแพรหรือเปล่าคะ"             ขอถอนคำพูดได้หรือไม่ แพรไหมไม่ได้หมดฤทธิ์สักหน่อย ยังต่อปากต่อคำกับเขาด้วยน้ำเสียงติดจะแหบนิด ๆ ได้อยู่เลย             "ต้องหายก่อน พี่ถึงจะพิจารณา"             "..."             "กินข้าวนะคะเด็กดี"             ในท้ายที่สุดแพรไหมก็พยักหน้าหงึกหงัก เธอรู้สึกว่าพี่ไรเฟิลเอาใจเธอโดยไม่ต้องร้องขอ แบบนี้ขอป่วยตลอดไปได้หรือเปล่านะ             ไรเฟิลประคองร่างเล็กให้ลุกขึ้นนั่งโดยให้แพรไหมพิงหลังไว้กับพนักหัวเตียง ขืนให้นั่งตัวตรงเขาเกรงว่าแพรไหมจะหน้าคะมำเอาได้             "ไม่หิว"             เมื่อนั่งได้สำเร็จแพรไหมก็รีบบอกเขาทันที เธอไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น อยากนอนเฉย ๆ มากกว่า บอกเลยว่าตอนนี้เธอเหนื่อยมาก ๆ เหมือนกับว่าเรี่ยวแรงที่มีมันหายไปหมดเลย             "ขอสิบคำก็ได้ค่ะ"             "น้อง แพร ไม่ อยาก กิน ค่ะ พี่ ไร เฟิล ขา"             แพรไหมตอบช้า ๆ ชัด ๆ พร้อมกับนับนิ้วมือตัวเองไปด้วย และมันก็ครบสิบคำพอดี             "ไม่ใช่สิบคำแบบนั้นค่ะ พี่หมายถึงกินข้าวสิบคำต่างหาก"             ไรเฟิลหัวเราะน้อย ๆ ขนาดป่วยอยู่แพรไหมก็ยังขยันเล่นมุกอีกนะ             "ถ้ากินสิบคำแล้ว พี่ไรเฟิลจะชอบน้องแพรหรือเปล่าคะ"             "ต้อง...รอพิจารณาก่อน"             "..."             "อาจจะมีรางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้"             แพรไหมพยักหน้าช้า ๆ รอพิจารณางั้นหรือ จากที่อยู่กับเขามาเป็นเวลาถึงสามวัน แพรไหมก็พอจะรู้ว่าโดยนิสัยพื้นฐานแล้วพี่ไรเฟิลเป็นคนใจดี เพราะงั้นเธอจะลองทำตามที่เขาเกลี้ยกล่อมดูสักครั้ง             แค่สิบคำเองแพรไหม แกทำได้อยู่แล้ว             ไรเฟิลนั่งลงบนเตียง ยกสำรับอาหารและยามาวางไว้บนตัก ตักโจ๊กที่น้องสาวเป็นคนทำขึ้นมาเป่าสองสามครั้งแล้วยื่นไปจ่อที่ปากของน้องแพรไหม             และก็เป็นไปตามคาด คนป่วยยอมกินข้าวตามที่เขาร้องขอทันที ไรเฟิลส่งยิ้มให้หลังจากที่แพรไหมกลืนอาหารลงท้องแล้ว             "เก่งมากค่ะ"             "คำชมเหรอคะ"             ไรเฟิลพยักหน้า             "ถ้าน้องแพรกินครบสิบคำแล้ว เปลี่ยนจากคำชมเป็นคำชอบได้มั้ยคะ"             ร่างสูงหัวเราะ ดูยัยคนป่วยสิ ได้ทีก็อ้อนใหญ่เลยนะ แบบนี้ถ้าเขาอยากลองแกล้งคนป่วยดูบ้างจะเป็นยังไงกันนะ             "รอพิจารณา"             ไรเฟิลยังยืนยันคำเดิมก็คือรอพิจารณา ซึ่งความจริงแล้วมันเป็นข้ออ้างที่นำมาใช้หลอกล่อเธอให้กินข้าวแพรไหมรู้ดี แม้จะกลืนอาหารอย่างยากลำบากแต่แพรไหมก็กลืนลงท้องจนมาถึงคำที่สิบ และทันทีที่กลืนได้สำเร็จไรเฟิลก็ยิ้มร่าอย่างอารมณ์ดี             "เก่งมากค่ะ"             "อยู่แล้ว"             คนป่วยเค้าเป็นแบบนี้กันทุกคนหรือเปล่านะ ขิงตัวเองเก่งที่สุดเลย             "คราวนี้กินยานะคะ"             "ต้องกินแบบในนิยายหรือเปล่าคะ"             แพรไหมหมายถึงวิธีการป้อนยาของพระเอกในนิยาย หากนางเอกไม่ยอมกินยา พระเอกจะให้กินโดยการนำยาทั้งหมดเข้าปากตัวเอง จากนั้นก็ป้อนโดยการจูบ แต่เธอไม่ใช่คนที่กินยายากสักหน่อย เพราะงั้นก็ตัดซีนน้ำเน่าแบบนี้ทิ้งไปได้เลย             "พี่ก็อยากลองเหมือนกัน"             ไรเฟิลยกยิ้มมุมปาก เขาไม่ได้คิดจะรังแกคนป่วยนะแค่อยากแกล้งเล่นเท่านั้นเอง แพรไหมยังต่อปากต่อคำกับเขาได้ก็แสดงว่าคงไม่ได้ป่วยหนักสักเท่าไหร่ เขานึกว่าแพรไหมจะนอนซมเพราะพิษไข้หนักกว่านี้เสียอีก แต่ก็ดีแล้วล่ะ             "บ้า"             แพรไหมตอบด้วยใบหน้างอง้ำ ก็อยากลองงั้นหรือ พี่ไรเฟิลบ้าไปแล้วหรือไง นี่เธอป่วยอยู่นะ ถ้าเขาจูบเธอขึ้นมาจริง ๆ ก็คงจะน่าเสียดายน่าดู เพราะตอนนี้ปากเธอไม่ค่อยจะรู้รสชาติสักเท่าไหร่ยังไงล่ะ ถ้าพี่ไรเฟิลจูบเธอก็ซึมซับความหวานละมุนไม่หมดน่ะสิ             "น้องแพรไม่ใช่คนดื้อที่กินยายากแบบนั้นนะคะ"             "งั้นแสดงว่ากินยาง่ายใช่ไหมคะ"             คนป่วยพยักหน้าเบา ๆ และไรเฟิลก็นำยาที่วางอยู่ในถาดมาให้น้องแพรทันที             เมื่อกินยาและดื่มน้ำตามมาก ๆ ตามคำแนะนำของเจ้าของไร่เสร็จ แพรไหมก็นอนลงบนเตียงอีกครั้ง เธออยากพักผ่อนมาก ๆ เนื่องจากในตอนนี้รู้สึกเพลีย             "เช็ดตัวแล้วใช่ไหมคะ"             แพรไหมพยักหน้าอีกครั้ง เพื่อนสาวเช็ดให้เรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าพี่ไรเฟิลอยากทำอีกเธอก็ไม่ขัดขืนแต่อาจจะขัดเขิน เพราะเขาต้องเห็นและได้สัมผัสเนื้อหนังมังสาของเธอแน่             "พี่ยังไม่เช็คดูเลยว่าเราตัวร้อนหรือเปล่า"             "..."             "ปวดหัวหรือเปล่าคะ"             ร่างเล็กส่ายหน้าอีกครั้ง เธอจะปวดเพราะส่ายหน้าบ่อย ๆ นี่แหละ             "พี่ขอวัดอุณหภูมิหน่อยนะคะ"             แพรไหมนอนนิ่ง ๆ รอให้เขาวัดอุณหภูมิ แต่สิ่งที่พี่ไรเฟิลทำไม่ใช่การนำมือมาอังหน้าผากเหมือนดังเช่นคนปกติทั่วไปเขาทำกัน แต่คุณเจ้าของไร่กลับเคลื่อนหน้าลงมาหาอย่างช้า ๆ เขาจะทำอะไรกันแน่นะ             ไรเฟิลพาใบหน้าเคลื่อนลงต่ำ เขาต้องการวัดอุณหภูมิของคนป่วยว่ายังตัวร้อนอยู่หรือไม่ ทั้งที่รู้คำตอบดีอยู่แล้วว่าแพรไหมต้องตัวร้อนเพราะเป็นไข้อยู่ แต่เขาก็ยังอยากรู้อยู่ดีว่าจะร้อนแค่ไหน             ริมฝีปากบางเฉียบกดลงตรงหน้าผากมน แพรไหมหลับตาพริ้ม อย่าบอกนะว่านี่คือการวัดอุณหภูมิร่างกายของเขา เป็นวิธีที่แปลกแต่ทำให้ใจเต้นแรงน่าดู             "หลอกจุ๊บหน้าผากน้องแพร"             "..."             "รู้ทันนะคะ"             คนถูกจับได้อมยิ้มแก้มปริ แต่แพรไหมไม่มีทางเห็นมันหรอกนะ เพราะปากของไรเฟิลอยู่ในระดับเดียวกันกับหน้าผากเธอ นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมแพรไหมจึงไม่มีทางเห็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของเขา             "พี่วัดอุณหภูมิต่างหาก"             "เขาเอามือมาแตะหน้าผากต่างหาก"             "นี่เป็นวิธีของพี่"             คิดว่าเธอหลอกง่ายหรือยังไงกันนะพี่ไรเฟิล             "ริมฝีปากคือส่วนที่อ่อนไหวมากที่สุด เหมาะแก่การนำมาวัดอุณหภูมิตอนเป็นไข้"             "เหรอคะ น้องแพรเรียนจนจบดอกเตอร์ก็ยังไม่เคยได้ยินเลยสักครั้ง"             "เป็นวิจัยของท่านศาสตราจารย์ไรเฟิลน่ะ"             "มั่ว"             คนป่วยกล่าวหาเบา ๆ แหมท่านศาสตราจารย์ไรเฟิล รู้หรอกน่าว่าเอ็นดูน้องแพรไหม จากนั้นคนป่วยก็นอนหลับตาต่อ เขาเองก็อยากให้แพรไหมพักผ่อน แต่การแกล้งคนป่วยก็สนุกดีเหมือนกันนะ              ปกติแพรไหมจะจ้อไม่หยุด เจื้อยแจ้วอยู่ทั้งวัน แต่วันนี้กลับพูดน้อย แถมยังมีท่าทีอ่อนเพลียให้เห็นอีกต่างหาก              ผิดที่เขาเองนี่แหละที่ดูแลน้องแพรไหมไม่ดี พาไปตากลมตากหมอกทำให้ไม่สบายจนได้             "พี่ขอโทษนะคะ"             "เรื่องอะไรคะ"             คนป่วยลืมตาขึ้นมาถาม              "พี่เป็นต้นเหตุทำให้น้องแพรป่วย"             "ไม่ใช่สักหน่อย อย่าโทษตัวเองสิคะ"             "พี่เป็นคนพาน้องแพรไปตากหมอกเองนะคะ"             "น้องแพรอยากตามไปเองต่างหาก"             "..."             โอเคยอมแพ้ก็ได้ แต่เป็นเพราะเขาไม่อยากจะเถียงกับแพรไหมให้มากความหรอกนะถึงได้ยอม             "วันนี้ที่ไร่เป็นยังไงบ้างคะ"             แพรไหมนึกยังไงถึงถามคำถามนี้ขึ้นมากันนะ วันนี้ที่ไร่เป็นยังไงบ้างงั้นหรือ เขาจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ เมื่อเช้าออกไปแป๊บเดียวเอง ยังไม่ทันได้รู้ความเป็นมาเป็นไปของไร่ด้วยซ้ำ              เหตุผลน่ะหรือ ก็เพราะว่าวันนี้เขาขี้เกียจยังไงล่ะ เอ๊ะ ขี้เกียจงั้นหรือ นั่นก็ไม่ใช่นิสัยของเขาสักหน่อย หรือเหตุผลจะเป็นอย่างอื่นกันนะ แล้วเหตุผลอะไรที่ทำให้เขาไม่อยากไปที่ไร่กัน             "หน้าน้องแพรมีอะไรติดหรือเปล่าคะ"             เพราะเขาเอาแต่จ้องหน้าเธอคล้ายกับว่าสงสัยนักหนาแพรไหมจึงเอ่ยถามทันที              จ้องขนาดนี้ยังไม่ตกหลุมรักอีกงั้นหรือ              "เปล่า"             ไรเฟิลรู้แล้ว รู้แล้วว่าเหตุผลที่เขาขี้เกียจในวันนี้เป็นเพราะอะไร เพราะไม่มีแพรไหมคอยเจื้อยแจ้ว คอยตามติดให้รำคาญยังไงล่ะ             แต่เขาไม่มีทางบอกให้คนอื่นรู้หรอกนะ เรื่องนี้ต้องเก็บเป็นความลับ             "น้องแพรนอนพักผ่อนนะคะ จะได้หายเร็ว ๆ "             แพรไหมหลับตาลงอย่างว่าง่าย เธอเองก็อยากหลับมาก ๆ เหมือนกัน แต่ในใจก็เกรงว่าถ้าหากหลับแล้วพี่ไรเฟิลจะหายตัวไปจากตรงนี้             แต่ไม่เป็นไรหรอก เธอไม่ใช่คนงี่เง่าสักหน่อย ปล่อยให้เขาได้ไปทำงาน ทำหน้าที่ของเขาเถอะ เมื่อเธอหายแล้วก็ค่อยไปตามติดเขา แบบนั้นจะดีกว่า             "พี่จะอยู่ด้วย จนน้องแพรตื่นเลย"             ในขณะที่กำลังหลับใหล จู่ ๆ ประโยคที่ไม่คาดฝันก็ดังขึ้น พี่ไรเฟิลจะอยู่กับเธอจนตื่น อย่างนี้ก็นอนหลับได้สนิทสักทีสินะ              ไรเฟิลลูบหัวคนป่วยเบา ๆ เขาแค่รู้สึกว่าแพรไหมอยู่ในความดูแลของเขา เขาต้องเป็นคนดูแลเธอตราบใดที่แพรไหมยังอยู่ที่นี่             และที่เธอไม่สบายก็เป็นเพราะเขา ไรเฟิลคิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุ เพราะฉะนั้นเขาก็ต้องเป็นคนดูแลเธอตลอดเวลา             เหตุผลนี้ฟังดูเข้าท่าที่สุดแล้วล่ะ             "แบบนี้เรียกหมดฤทธิ์หรือเปล่านะ"             ไรเฟิลยิ้มเอ็นดูคนป่วย แม้ใบหน้าจะซีด แต่ริมฝีปากกลับอมชมพูอวบอิ่ม น่าสัมผัส             "บ้าน่า"             จะไปน่าสัมผัสได้อย่างไร แพรไหมป่วยอยู่นะ แต่จากที่เคยได้สัมผัส บอกเลยว่าติดใจ             "ติดใจอะไรของแกไรเฟิล เพ้อเจ้อใหญ่แล้วนะ"             คนเฝ้าไข้นั่งตีกับความคิดของตัวเองจนยุ่งเหยิงไปหมด ยิ่งมองใบหน้าหวาน ๆ นั่นความคิดเขาก็ยิ่งเตลิด มันคอยแต่จะคิดไปถึงตอนที่ได้สัมผัสแพรไหมตลอดเลย             "ดูเหมือนจะลืมอะไรบางอย่างไปนะน้องแพรไหม"             ไรเฟิลเองก็เพิ่งนึกขึ้นได้ แพรไหมลืมอะไรบางอย่างไป บางอย่างที่เขาบอกว่าจะพิจารณาหากแพรไหมกินข้าวครบสิบคำ              โอเคตอนนี้เขาคิดออกแล้วว่าจะพิจารณารางวัลให้น้องแพรไหมเป็นอะไรดี              "เอาเป็นว่า..."             คนที่นั่งคุยกับตัวเองอมยิ้ม ไรเฟิลกดริมฝีปากลงกับหน้าผากคนป่วยอีกครั้ง แต่นี่ไม่ใช่รางวัลของการกินข้าวครบสิบคำหรอกนะ             "พี่จะเรียกน้องแพรไหมว่าหนูคะก็แล้วกัน"             "หนูคะของพี่ไรเฟิล"             พี่ไรเฟิลหยิกแก้มหนูคะของตัวเองไปหนึ่งทีอย่างมันเขี้ยว เขารู้ดีว่าแพรไหมไม่สบายและหลับไปแล้วถึงได้กล้าทำอะไรแบบนี้โดยไม่มีท่าทีว่าฝืนใจทำเลยสักนิดเดียว             "พี่ให้รางวัลน้องแพรไหมแล้วนะคะ"             เขาให้รางวัลของการกินข้าวครบสิบคำไปแล้วนะ ถ้าหากว่าแพรไหมตื่นขึ้นมาแล้วมาทวงกับเขา เขาก็จะตอบว่าให้ไปแล้ว ให้ไปทั้งที่น้องแพรไหมไม่รู้ตัว และจะให้เพียงแค่ครั้งเดียวด้วย             ก็แหงสิ ไรเฟิลตั้งใจไม่ให้แพรไหมรู้ตัวอยู่แล้ว เขาน่ะเก่งแค่ตอนนี้แหละ ถ้าให้ทำตอนแพรไหมรู้สึกตัวเขาก็คงไม่ทำ เพราะกลัวว่าถ้าทำแล้วแพรไหมจะเข้าใจผิดว่าเขาชอบเธอยังไงล่ะ เขายังไม่ได้ชอบน้องแพรไหมสักหน่อย สักนิดเดียวก็ยังไม่ชอบ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD