สายวันรุ่งขึ้น
เอื้อมดาวลงมาข้างล่างด้วยสภาพเดิมตอนที่เข้านอน ล้างหน้าล้างตาแล้ว ตั้งใจว่าจะลงมาหาอะไรรองท้องก่อนแล้วค่อยกลับขึ้นไปอาบน้ำ เดินหายเข้าไปในครัว เลือกหยิบนมในตู้เย็น กับขนมไทยสองกล่องติดมือออกมา กำลังจะก้าวขาขึ้นบ้าน ก็ต้องหยุดชะงักเท้าค้างอยู่แบบนั้น
“ทำไมยังใส่ชุดนอน?”
“ก็หนูเพิ่งตื่น”
เอื้อมดาวขยับตัวอย่างเก้อเขิน หนีสายตาแขกของบ้านที่ยืนอยู่ข้างหลังแม่ของเธอ ผู้ชายคนเมื่อคืนมาจริงๆ มาแบบถูกต้องด้วย เข้าทางแม่เธออีกต่างหาก เหมือนรู้ว่าบ้านนี้อำนาจทุกอย่างอยู่ในมือแม่ของเธอ
“ไม่อายพี่เขาเหรอ รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเลย เป็นสาวเป็นนางริอ่านตื่นสาย”
เอื้อมดาวหันหลังเดินหนีขึ้นบ้าน เบะปากนิดๆเมื่อการมาของคนที่ชื่อปีขาล ทำให้เธอถูกแม่เล่นงาน ร้อยวันพันปีแม่ไม่เคยบ่นเรื่องการใช้ชีวิตของเธอเลยสักครั้ง นอนตื่นค่ำก็เคย ไม่ยักถูกบ่นขนาดนี้ พอไอ้นี่มา เธอถูกด่าเฉยเลย
เอื้อมดาวรีบอาบน้ำแต่งตัว ไม่ได้กลัวเขารอนาน แต่อยากรู้ว่าเขามาทำอะไร เอื้อมดาวเลือกใส่เสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนส์ทรงบอย สวมทับด้วยเสื้อหนังสีดำอีกที เผื่อต้องออกไปข้างนอกกับเพื่อนๆ เธอชอบขับรถมอเตอร์ไซค์มากกว่ารถยนต์ นั่นเพราะมันสามารถซอกแซกไปไหนก็ได้เวลารถติดๆ แม้ที่นี่จะไม่มีรถติดเหมือนอยู่กรุงเทพ แต่มันชินกับการเดินทางแบบนั้นไปแล้ว
เอื้อมดาวเดินตามเสียงพูดคุย ไปจนเจอแม่กับผู้ชายที่ชื่อปีขาลนั่งอยู่ในสวนหลังบ้าน ท่าทางเขากับแม่เธอดูสนิทสนมกันมาก จนเธอสงสัยว่าไปสนิทกันตอนไหน บ้านเธอเพิ่งย้ายกลับมาอยู่ที่นี่ พ่อก็เพิ่งจะลงสมัครนายกเทศมนตรีเมื่อสองปีก่อน ไม่น่าจะสนิทสนมกันได้ขนาดนี้
“คุยอะไรกันอยู่คะ”
เอื้อมดาวเลือกถามแม่ตัวเองมากกว่าผู้ชายที่เพิ่งเจอหน้า ผู้ชายคนนี้ดูตอนกลางวัน น่ากลัวน้อยกว่ากลางคืนเยอะทีเดียว แต่สำหรับเธอยังคงรู้สึกเหมือนเดิม เธอไม่สนิทใจที่จะทำความรู้จักกับผู้ชาย โดยเฉพาะผู้ชายที่นี่
“คุยเรื่องหนูนั่นแหละ”
“แม่อย่าเผาลูกตัวเองเชียว คุณมานี่มีธุระอะไร?”
“มารับไปกินข้าว”
ปีขาลลอบสำรวจคนที่ยืนจังก้าเงียบๆ คิดไว้แล้วว่า ถ้าเห็นตอนกลางวันต้องสวยมากแน่ๆ และเธอก็สวยจริงๆ แม้จะไม่ได้แต่งหน้าก็ยังสวย หรือเขาเป็นพวกชอบอวยคนที่ตัวเองชอบวะ!
“บอกแล้วเหรอว่าจะไป อย่าคิดว่าเข้าทางแม่ฉัน แล้วจะง่ายนะคุณ มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลย ชิ่วๆ”
“เอื้อมดาว!”
คุณนวลจันทร์เรียกลูกสาวเสียงดุ มองคนที่ทำตัวไม่น่ารักกับแขกตาขวาง แต่นอกจากจะไม่ฟัง ลูกสาวยังเดินมาดึงข้อมือคนตัวโตลากออกไปทางหน้าบ้านอีก
ปีขาลไม่ขัดขืน ปล่อยให้เธอลากไปจนถึงรถบีเอ็มรุ่นใหม่ของตัวเอง ที่จอดเลยหน้าบ้านเธอออกไป ก็คิดไว้แล้วว่าจะเป็นแบบนี้
“ไม่ต้องมาอีกเลยนะ ไม่อยากต้อนรับ” เอื้อมดาวทำหน้านิ่งใส่ เขาจะมาอะไรแบบนี้กับเธอทำไมก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจเลยว่าต้องการอะไร
“ไปกินข้าวกัน อย่าให้ต้องลากไป เหมือนที่เธอทำกับฉันนะเตี้ย”
“ไม่ได้ชื่อเตี้ยสักหน่อย”
“เอื้อมดาว”
“คุณจะมาวุ่นวายกับฉันทำไม ฉันไม่อยากรู้จักคุณ”
เอื้อมดาวรู้สึกว่าสมองกำลังจะระเบิด ไม่เข้าใจเจตนาของผู้ชายตรงหน้าเลย เขาไม่ได้พูดว่าชอบด้วยซ้ำ แต่มาทำเหมือนเธอเป็นแฟนงั้นแหละ
“แต่ฉันอยากรู้จัก เลือกเอาว่าจะเป็นแฟนหรือข้ามไปเป็นเมียเลย”
ใบหน้าหล่อเหลาดูไม่สบอารมณ์ พูดดีด้วยแล้วนะ อย่าให้ต้องใจร้าย
“โรคจิตไหมเนี่ย เพิ่งจะเคยเจอกัน ขอคบยังไม่เคยทำเลย ขี่ตู่ว่ะ” เอื้อมดาวเองก็เริ่มหมดวามอดทน หน้าด้านหน้าทนเกินไปไหม
“คบไหมล่ะ”
“หา?”
“ไม่ต้องคบหรอกแม่ง แต่งเลยดีกว่า” ปีขาลดึงข้อมือเล็กๆมากำไว้ สำรวจใบหน้าที่อยู่ใกล้จนทั่วทั้งดวงหน้า
ทำของใส่กูเปล่าวะ ทำไมกูเป็นได้ขนาดนี้
“ไม่แต่ง!”
“ไม่แต่งกูฉุดนะเอื้อม”
“จะบ้าเหรอ!”
เอื้อมดาวดึงมือกลับ แต่สู้แรงคนตัวโตอย่างปีขาลไม่ได้ เจอกันวันเดียวพูดเรื่องแต่งงาน นี่ไม่ใช่นิทานนะเว้ย
“แต่งนะ ไม่แต่งกูฉุด”
“ใครจะฉุดใครเหรอ?”
สองสาวก้าวเข้ามาใกล้ ได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่หน้าบ้านเพื่อน แต่ไม่คิดว่าจะเป็นปีขาลกับเอื้อมดาว ที่กำลังยืนพูดคุยกันด้วยความใกล้ชิด เรื่องที่คุยก็ชวนคิดไปไกลถึงไหนต่อไหน สองคนนี้เอาเวลาไหนไปสนิทกันถึงขั้นนี้?
“มาแล้วเหรอ เมื่อคืนเป็นไง ได้รางวัลอะไรบ้างไหม”
เอื้อมดาวถามเพื่อนทั้งสองอย่างตื่นเต้น ถึงจะไม่ได้รางวัลชนะเลิศ รางวัลอื่นก็มีเหมือนกัน มันต้องได้สักรางวัลสิ เพราะมั่นใจว่าวงตัวเองเล่นได้ดี อาจจะดีกว่าวงที่มีนักร้องนำยืนอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ
แววตาเหล่มองมือของผู้ชายเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่เงียบๆ อิ่มอุ่นเองก็เห็นเหมือนกันแต่ไม่อยากพูดอะไร เรื่องนั้นมันเป็นเรื่องของคนสองคน ไม่อยากยื่นมือเข้าไปยุ่งนัก แต่ถ้าปีขาลจะจริงจังกับเอื้อมดาว พวกเธอคงต้องเตือนเพื่อนสนิทสักหน่อย เพราะผู้ชายอย่างปีขาล ขึ้นชื่อเรื่องผู้หญิง แม้จะไม่ได้อยู่ที่นี่เกือบสามปีแล้ว แต่ชื่อเสียก็ยังเลืองลืมมาถึงนี่ให้ได้ยินอยู่ตลอด
“สรุปว่าไม่ได้รางวัลอะไรเลยเหรอ”
เอื้อมดาวถามย้ำ เมื่อเพื่อนสาวเงียบ มองตามสายตาเพื่อนไป จึงได้แต่บิดข้อมือออกจากมือใหญ่ของผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ไปด้วยกันสิ เดี๋ยวเลี้ยง”
ปีขาลชวนเพื่อนของเธอไปด้วย ถึงเขาไม่ได้รางวัลชนะเลิศก็เลี้ยงไหว และที่ชวนไปเพราะมีธุระอย่างอื่นจะคุยกับเอื้อมดาวด้วย เขากำลังจะทำค่ายเพลง ถ้าได้คนเก่งด้านการร้องเพลงแบบเธอไปอยู่ในค่าย มันต้องดีกับตัวเขาแน่ๆ ดีในหลายๆความหมาย
“เอาไงแวว ไปไหวเปล่า”
อิ่มอุ่นไม่ติดปัญหาอะไร แต่แววตาไม่ใช่ แม้จะไม่รู้ว่าสถานะระหว่างเธอกับปีขาลลึกซึ้งถึงขั้นไหน แต่มันคงลึกลงไปพอสมควร และเพื่อนของเธอยังมูฟออนออกจากความสัมพันธ์นั้นไม่ได้
“อื้ม เอื้อมว่าไง วงชนะเขาคงอยากเลี้ยงปลอบใจเราละมั้ง”
แววตามองเพื่อนสาวเงียบๆ เอื้อมดาวมีแววตาวูบไหวจนสังเกตได้ ไม่รู้โกรธ หรืออะไร แต่คงไม่พอใจที่เขาคว้าชัยชนะที่เธออยากได้ไปครอง
“งั้นจะกินให้หนักเลย”
เอื้อมดาวส่งสายตาไม่พอใจไปให้ เดินกระแทกไหล่ร่างสูงไปยืนอยู่ข้างๆเพื่อนทั้งสอง เพื่อรอว่าจะไปที่ไหนยังไง
“ยินดี”
ปีขาลกระตุกยิ้ม ตัวเล็กแค่นี้จะกินเท่าไหร่เชียว แต่คนอย่างเอื้อมดาว เขาไม่คิดว่าเธอจะกินเฉยๆหรอก คงคิดในใจอยู่ละสิ ว่าจะแกล้งเขายังไงดี แต่ช่างเถอะ เด็กมันอยากแกล้ง เขาก็จะหลับหูหลับตาให้แกล้งแล้วกัน