“คุณครูนีขา... นี่บ้านของหนูนากับคุณพ่อค่ะ”
นนท์ขับรถผ่านหน้าบ้านของตัวเอง นรีรัตน์จึงรีบชี้ชวนให้คุณครูสาวดู และพูดอวดๆ ว่าที่นี่น่าอยู่แค่ไหน ภคินีเพียงแต่ยิ้มรับอย่างเอ็นดูในความช่างเจรจาของลูกศิษย์ตัวน้อยเท่านั้น หลังจากนั้นนนท์ก็ขับรถไปส่งคุณครูสาวที่บ้านพักของเธอเอง
“บ้านของคุณครูน่าอยู่จังเลยนะครับ” นนท์จอดรถหน้าบ้านหลังเล็กๆ ของคุณครูสาว ตัวบ้านมีไม้ดอกไม้ประดับมากมายส่งกลิ่นหอมสดชื่นในยามค่ำคืน
“เข้ามาดื่มกาแฟหรือน้ำเย็นๆ ก่อนไหมคะ”
“ไม่รบกวนดีกว่าครับ แค่ส่งคุณครูให้ถึงบ้านผมก็สบายใจ เอาไว้โอกาสหน้านะครับ ผมคงมาดื่มกาแฟของคุณครูแน่นอน” เขาเอ่ยขอตัวเพราะเห็นว่าดึกมากแล้ว ไม่อยากรบกวนต้องมาคอยรับรองแขกอีก เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นไปทำงานแต่เช้า
“ขอบคุณมากนะคะ เดินทางปลอดภัยค่ะ” เธอโบกมือให้สองพ่อลูกขึ้นรถก่อนจะเข้าบ้านของตัวเอง อาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยแล้วเสียงโทรศัพท์เครื่องเล็กบนหัวเตียงก็ดังขึ้น
“หนูนาเองนะคะคุณครูนี” นรีรัตน์พูดเสียงใสมาตามสาย
“ว่ายังไงคะ ลูกศิษย์ตัวน้อยของครู” ภคินีอมยิ้มเมื่อรู้ว่าใครโทร.มา
“คุณครูนอนหรือยังคะ” เอ่ยถามอย่างเกรงใจนิดๆ
“ยังเลยค่ะ เพิ่งอาบน้ำเสร็จเองค่ะ แล้วหนูนาล่ะคะ” ภคินีตอบกลับด้วยน้ำเสียงสดใส เพราะเธอยังไม่ง่วงเลยสักนิด
“หนูนาก็เพิ่งอาบน้ำเสร็จค่ะ” ลูกศิษย์ตัวน้อยชวนคุย รอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าเล็กๆ
“ถึงบ้านนานหรือยังคะ” คุณครูสาวเอ่ยถาม นึกขอบคุณที่สองพ่อลูกพาไปรับประทานอาหารอร่อยแถมยังพามาส่งถึงที่บ้าน
“สักครู่แล้วค่ะ วันนี้หนูนามีความสุขมากๆ ค่ะที่ได้กินข้าวกับคุณครูนี” คนอยากบอกความในใจอดไม่ไหวที่จะเก็บไปบอกพรุ่งนี้เช้า แม้บิดาจะปรามว่าอย่าไปรบกวนเวลาพักผ่อนของคุณครูก็ตามที
“คุณครูก็เหมือนกันค่ะ” เธอตอบเอาใจ เพราะรู้ว่าสองพ่อลูกมีท่าทีเช่นไรกับเธอ การพูดให้คนอื่นรู้สึกดีเป็นสิ่งที่เธอชอบกระทำมากที่สุด คำพูดหวานหูไม่รู้หาย แต่การประหัตประหารด้วยคำพูดนั้นร้ายกาจนัก มันทำให้เจ็บช้ำน้ำใจเป็นเวลานานกว่าจะลืมมันไปได้
“คุณครูขา...”
“ขา...”
“คุณพ่อจะคุยด้วยค่ะ” เด็กน้อยพูดแล้วกระโดดขึ้นบนเตียง นนท์ใบหน้าเหรอหราเพราะไม่คิดว่าจะโดนมัดมือชกแบบนี้ เขายังนึกไม่ออกว่าจะคุยอะไรกับคุณครูสาวยังไงดี
“สวัสดีครับคุณครู” เสียงของนนท์เอ่ยสวัสดีอย่างเกรงใจ
“สวัสดีค่ะคุณนนท์ ทำอะไรอยู่คะ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายถามกลับมา เขาก็เลยมีเรื่องโต้ตอบกับเธอมากขึ้น
“เพิ่งให้ยายหนูอาบน้ำครับ เดี๋ยวจะให้เข้านอนแล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นไปทำงานแต่เช้าอีก”
“แล้วคุณนนท์ล่ะคะ จะนอนเลยเหมือนกันหรือเปล่า”
“ผมคงดึกครับ นอนหัวค่ำไม่หลับ อีกอย่างก็ต้องทำงานต่ออีกนิด”
“อย่านอนดึกมากนะคะ รักษาสุขภาพด้วย เห็นหนูนาว่าคุณนนท์ทำงานหนัก”
“อ้อ... ครับ ขอบคุณครับ ผมชอบเอางานกลับมาทำที่บ้านน่ะครับ แต่ก็แบ่งเวลามาดูแลยายหนูเหมือนกัน ไม่ได้ทำงานจนไม่มีเวลาครับ ไม่งั้นยายหนูงอน” พูดแล้วเหล่ตามองยายลูกสาวตัวน้อยที่แนบหูมากับโทรศัพท์ด้วยเช่นกัน
“ดีแล้วค่ะ” เธอพูดเสียงนุ่มมาตามสาย
“ยายหนูกวนคุณครูหรือเปล่าครับ” นนท์ถามอย่างเกรงใจ เพราะนี่เป็นเวลาพักผ่อน
“เรื่องอะไรคะ” ภคินีถามอย่างงุนงง
“เรื่องที่โทร.ไปน่ะครับ ผมเกรงจะรบกวน”
“ไม่เลยค่ะ เพราะเดี๋ยวนีเองก็ต้องดูแผนการสอนอีกนิดหน่อยค่ะ ยังไม่นอนเหมือนกัน” รีบบอกเขาเพราะเธอเองก็ไม่ได้คิดว่าเป็นการรบกวน
“คุณครูก็นอนดึกนะครับ รักษาสุขภาพเช่นกันนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ” ตอบกลับด้วยหัวใจเต้นแรงแปลกๆ เมื่อได้ยินน้ำเสียงห่วงใยของอีกฝ่าย
“งั้นผมไม่กวนแล้วนะครับ คุณครูจะได้ทำงานต่อ”
“คุณพ่อให้หนูคุยกับคุณครูก่อนค่ะ” เด็กน้อยรีบบอกเมื่อเห็นผู้ใหญ่จะวางสาย
นรีรัตน์รับโทรศัพท์จากบิดาไปพูดสายกับคุณครูประจำชั้นต่อ “คุณครูนอนหลับฝันดีนะคะ”
“ฝันดีเหมือนกันค่ะหนูนา” ภคินีวางสายด้วยรอยยิ้ม สองพ่อลูกน่ารักจนเธอต้องอมยิ้มอยู่แบบนั้นไม่ยอมหุบ คุณครูสาวโทร.ไปหาบุตรชายเพราะยังไม่ดึกมากนัก อีกฝ่ายกำลังเตรียมอ่านหนังสืออยู่เช่นกัน
“คุณแม่ก็อย่านอนดึกนะครับผมเป็นห่วง”
“เราเองก็เหมือนกัน อย่าหักโหมมากนะจ้ะ รักษาสุขภาด้วย”
“ผมรักแม่นะครับ”
“แม่ก็รักคิมนะครับคนดีของแม่” หลังจากนั้นภคินีก็โทร.หาบิดามารดาที่อยู่อีกจังหวัดหนึ่ง พูดคุยกับพวกนั้นอีกสักครู่ก็เริ่มทำงาน ทุกวันต้องโทร.หากันเพราะสายสัมพันธ์ที่มีให้กัน เพียงแค่ได้ยินเสียงบิดามารดา และเสียงของบุตรชายเท่านี้เธอก็สุขใจอย่างประหลาด
“คุณคะ ถ้าฉันจะมีรักครั้งใหม่ คุณคงไม่ว่าอะไรนะคะ” คุณครูสาวหยิบรูปถ่ายของอดีตสามีที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อหลายสิบปีก่อนขึ้นมา เธอยิ้มให้กรอบรูปใบนั้น บิดาของภาคิมเป็นคนดีเสมอต้นเสมอปลาย ที่เธอครองตัวเป็นโสดมาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งๆ ที่มีผู้ชายมากมายมาจีบเธอหลังจากเป็นหม้าย เพราะยังหาใครดีเทียบกับอดีตสามีผู้ล่วงลับไม่ได้
แต่นนท์... พ่อหม้ายขี้อายอบอุ่นอ่อนโยนคนนั้นทำให้เธอหวั่นไหวและอุ่นใจเสมอๆ ความรู้สึกเหมือนตอนที่เธอพบรักกับบิดาของภาคิมใหม่ๆ ถ้าเธอจะมีใครสักคนในตอนอายุสามสิบแปดปลายๆ แบบนี้คงไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรใช่ไหม เพราะบิดามารดาก็ไม่ได้ห้ามปราม และบุตรชายเองก็แฟร์ๆ เขาเคยพูดด้วยซ้ำว่าหากเจอคนที่ดีและดูแลแม่ของเขาได้ เขายินดีและเต็มใจเพราะไม่อยากให้แม่ของตัวเองต้องเหงาตอนแก่ มีคู่ชีวิตที่ดีดูแลกันไปยามแก่เฒ่า จะได้พูดคุยปรึกษาหารือกัน ดีกว่าอยู่คนเดียวเป็นไหนๆ
ความสัมพันธ์ของนนท์กับภคินีเป็นไปอย่างราบรื่นสวยงาม ไม่หวือหวาและค่อยๆ เรียนรู้กันและกัน โดยมีแม่สื่อตัวน้อยอย่างนรีรัตน์เป็นคนทำให้ความรักของทั้งสองเบ่งบานอย่างรวดเร็ว
คุณครูสาวมักมีสารถีหนุ่มไปรับไปส่งทุกวันจนเป็นที่ชินตา ซึ่งเพื่อนรักที่เป็นเจ้าของโรงเรียนเองก็สนับสนุนเต็มที่เพราะเห็นความเป็นคนดีและขยันขันแข็งในการทำงานของนนท์ อีกทั้งยังไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขทั้งหลายทั้งปวง เป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย
ครั้งแรกที่นนท์ขอคบกับภคินีเป็นคนรัก เธอก็ยินยอมตอบตกลงโดยง่าย เพียงไม่นานความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็มาถึงจุดที่อยากใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน นนท์จึงส่งญาติผู้ใหญ่ที่เหลืออยู่ไปทาบทามสู่ขอคุณครูสาวจากบิดามารดาของเธอ และจัดพิธีแต่งงานเล็กๆ เชิญเฉพาะญาติผู้ใหญ่และเพื่อนที่สนิท ทำบุญเลี้ยงพระตามความต้องการของเจ้าสาวที่ขอเพียงพิธีเรียบง่าย ภคินีลาออกจากโรงเรียนย้ายมาอยู่ดูแลบ้านให้สามีเป็นการถาวรตามคำขอของนนท์
“คุณแม่ขา... หนูนาหิวจังเลยค่ะ” เด็กน้อยกลับจากโรงเรียนก็รีบวิ่งเข้าไปหามารดาเลี้ยง ปัญหาระหว่างแม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยงดูจะห่างไกลจากทั้งสองคนที่กำลังกอดกันกลม สลับกันหอมแก้มซ้ายขวาอย่างคิดถึงกันหนักหนา ทั้งๆ ที่ไม่เจอกันไม่กี่ชั่วโมง
“ยายหนูเหงื่อเต็มเลยครับ ไปกอดคุณแม่แบบนั้นได้ยังไง” นนท์ปรามเบาๆ เมื่อวันนี้เขาไปรับที่โรงเรียนก็เห็นเสื้อผ้ายายตัวซนเลอะไปหมด คุณครูประจำชั้นคนใหม่บอกว่าเล่นสีกับเพื่อนรักจนเปรอะเปื้อนไปหมด
“อุ๊ย! ขอโทษค่ะ”
“ไม่เห็นเหม็นเลย ตัวห๊อมหอม คุณแม่ต่างหากยังไม่ได้อาบน้ำเลยค่ะ เพิ่งทำกับข้าวเสร็จ” ภคินีกอดหอมแก้มยุ้ยๆ นั้นอย่างแสนรัก ไม่มีท่าทีรังเกียจแม้แต่น้อย
“คิกๆ” นรีรัตน์หัวเราะคิกเมื่อโดนซุกไซ้ซอกคอเล็กๆ จากมารดาเลี้ยง
“สองพ่อลูกไปอาบน้ำอาบท่าก่อนนะคะ วันนี้นีทำอาหารไว้เยอะแยะเลยค่ะ” เธอบอกเสียงนุ่มตามนิสัย เมื่อหยอกล้อกอับยายตัวยุ่งจนอิ่ม