ตอนที่ 3 คือแคร์หรือแค่สงสาร (1)
สี่หนุ่มหล่อและหนึ่งสาวอวบที่ยังคงดูมอมแมมยืนรอขุนพลไม่นาน สักพักเขาก็เดินกลับมายังจุดเดิมที่เพื่อนๆ รออยู่ด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลงมาบ้างแล้ว ส่วนอาทิตยานั้นก็ไม่ร้องไห้แล้วเช่นกัน
“พวกมึงแยกย้ายกันไปเรียนต่อเถอะ”
ขุนพลเอ่ยขึ้นโดยไม่นำพาว่าทุกคนต่างเก็บของออกมาหมดแล้ว เตรียมโดดเป็นเพื่อนอวบได้เต็มที่
“อ้าวแล้วพี่...” วรฤทธิ์ตั้งท่าจะถาม แต่ก็ชะงักเมื่ออีกฝ่ายชิงเอ่ยบอกเสียก่อน
“เดี๋ยวกูพาอวบไปส่งเอง”
“แล้วไม่เรียนก่อนเหรอพี่” ศุภณัฐพูดขึ้นบ้าง
“สภาพอย่างงี้มึงจะให้ไอ้อวบมันเรียนยังไงไอ้เอส มันไม่มีกะจิตกะใจจะเรียนแล้ว”
สี่หนุ่มได้ยินแล้วก็เงียบ ต่างคนต่างเหลือบมองกันไปมา แม้แต่อาทิตยาเองก็ปิดปากเงียบ ไม่สนใจจะรับรู้อะไรมากมาย ดูลอยๆ ชอบกล ก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมาอาบแก้มอีกแล้ว
“ไป เดี๋ยวไปส่ง ไม่ร้องๆ” ขุนพลบอกพร้อมกับยกมือยีหัวเธอแรงๆ
การปลอบโยนประสาคนเถื่อนหรือไง?
อาทิตยายกมือขึ้นเช็ดน้ำตา ก่อนจะเอ่ยกับเขา
“เดี๋ยวอุ๊บกลับเองก็ได้ค่ะ ไม่ต้องไปส่งหรอก”
“บอกว่าไปส่งก็ไปส่งสิ จะดื้อทำไม”
ว่าแค่นั้นแล้วก็พยักพเยิดเป็นเชิงส่งซิกให้ทั้งสี่กลับไปเข้าห้องเรียนเหมือนเดิม ส่วนตัวเองนั้นคว้าข้อมือของอาทิตยาได้ก็พาเดินลิ่วๆ ไปที่รถ...
“เดี๋ยวเย็นๆ ค่อยกลับก็แล้วกัน เอาเสื้อผ้ามาซักให้แห้ง แล้วก็เปลี่ยนชุดเดิมแล้วค่อยกลับบ้าน ไปชุดนี้เดี๋ยวแม่จะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น”
เขาให้เหตุผลอย่างนี้ ตอนที่ขึ้นรถมาด้วยกันและบอกกับอาทิตยาว่าจะยังไม่พาเธอไปส่งบ้าน แต่จะพาไปพักที่คอนโดของเขาก่อน
ตอนแรกอาทิตยาตกใจ แต่ฟังจากที่เขาพูดแล้วก็เห็นด้วย เลยเดินตามเขาต้อยๆ จนมาอยู่ในห้องของผู้ชายสองต่อสองในตอนนี้
“อะ เปลี่ยนใส่เสื้อกับบ๊อกเซอร์ไปก่อน เครื่องซักผ้าอยู่ด้านหลัง ใช้ได้ตามสบายเลย”
สาวอวบรีบเอื้อมมือไปรับ แล้วเดินเข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำอย่างเร็วไว ไม่ใช่เธอไม่กระดากที่ต้องมารบกวนเขานะ แต่เธอก็หลวมตัวเข้ามาแล้ว สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดตอนนี้คือไม่ควรขัดใจเขา ในเมื่อเขามีน้ำใจด้วย เขาสั่งอะไรก็ทำตามไปเหอะ
ขุนพลที่กำลังเก็บเตียงและผ้าห่มให้เรียบร้อยหันไปมองเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูห้องน้ำ ด้วยห้องน้ำของคอนโดเขามีเพียงห้องเดียวในห้องนอน อาทิตยาเลยจำต้องเข้ามาใช้ในห้องนี้
“เสร็จแล้วเหรอ”
“ค่ะ” อ้อมแอ้มบอกเขาพร้อมกับกอดชุดนักศึกษาที่ซื้อมาใหม่ที่ถอดออกแล้วไว้แน่น ชุดเก่านั้นอยู่ในถุงพลาสติกซึ่งวางไว้ข้างนอก เดี๋ยวเธอจะเอาไปซักพร้อมกันนั่นล่ะ
“เอาชุดมา เดี๋ยวไปปั่นให้” ขุนพลเอ่ยพร้อมกับยื่นมือมาทำท่าจะเอื้อมดึงชุดที่อาทิตยากอดไว้ แต่เธอที่ตาโตอ้าปากค้างถอยห่างพลางรีบละล่ำละลักบอกเขา
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวอุ๊บซักเอง”
“ตามใจ” ว่าแค่นั้นก็เดินนำเธอออกไปจากห้อง อาทิตยาถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะรีบเดินตามเขาออกไปที่ระเบียง
เมื่อเอาชุดนักศึกษาเข้าเครื่องซักผ้าเรียบร้อย ทั้งคู่ก็มานั่งที่โซฟาเบดตัวใหญ่หน้าโต๊ะทีวีและเครื่องเล่นทันสมัย ขุนพลยังคงทำตัวตามสบายไม่มีเคอะเขิน เปิดทีวีเลื่อนหาโปรแกรมช่องนั้นช่องนี้
ต่างจากอาทิตยาที่เกร็งแทบบ้า นี่มันครั้งแรกเลยนะที่เธอตามผู้ชายมาอยู่กับเขาที่ห้อง แม้จะไม่ได้ทำอะไรน่าเกลียดเสียหาย แต่ก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ ถ้าแม่รู้ต้องโดนตีตัวลายแน่ๆ
แต่ลึกๆ ในใจก็มีเสียงแทรกบอกเธอว่า...ถ้าเป็นขุนพล เธอจะปลอดภัยในทุกๆ สถานการณ์
มันล่วงเลยไปนานกี่ชั่วโมงก็ไม่แน่ใจ แต่อาทิตยาที่เผลอนั่งสัปหงกก่อนหน้านี้ ตอนนี้คงลืมไปแล้วว่าเธออยู่ในห้องของคนอื่น
อาจเพราะแอร์เย็นฉ่ำและอากาศสดชื่นในห้องของขุนพล ที่ขับกล่อมให้เธอหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว
มีบ้างที่พลิกกายกระสับกระส่ายหาท่าที่สบาย และครั้นดิ้นๆ จนไปเจออะไรแข็งๆ อุ่นๆ ก็นอนนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่กระดุกกระดิกอีกเลย
อาทิตยานอนยิ้มหวานสบายใจเฉิบ จนเมื่อรู้สึกว่านอนเต็มอิ่มแล้วจึงได้บิดกายไปมา พร้อมกับปรือตาขึ้นมองอย่างคนขี้เกียจตื่น
แต่แล้วข้อเท็จจริงบางอย่างก็ทำให้เธอสร่างง่วงไปโดยฉับพลัน จำได้ว่าตอนที่เอนกายลงนอนนั้น เธอนั่งห่างจากขุนพลเป็นโยชน์ ด้วยโซฟาเบดมันกว้าง แต่แล้วทำไมอยู่ๆ เธอถึงขึ้นมานอนทับบนตัวเขาได้ ดูจากรูปการณ์แล้ว เขาเหมือนนอนเอนตรงนี้ตั้งแต่แรกและไม่ได้ขยับเขยื้อนตัวไปไหน แต่น่าจะเป็นเธอเต็มๆ ที่ดิ้นๆ มานอนทับเขา
“ขอโทษค่ะ”
ว่าพลางหุนหันจะลงจากกายอุ่น แต่ขุนพลคว้ากอดเอวคอดและรัดไว้แน่น
“เดี๋ยว! มานอนทับตั้งเป็นชั่วโมง คิดว่าขอโทษแล้วจบเหรอ”
“งื้อ แล้วจะให้อุ๊บทำยังไง อุ๊บไม่ได้ตั้งใจ”
บอกเขาเสียงอ่อย พร้อมกับมองเขาตาละห้อย
“ต้องทับคืน” ว่าพร้อมกับพลิกกายให้เธอนอนอยู่ใต้ร่างอย่างรวดเร็วจนอาทิตยาตั้งตัวไม่ทัน
“อื้อ พี่คิง...” เผลอหลุดปากเรียกเขาพี่เพราะความตกใจ