แต่สิ่งที่โชคร้ายก็คือว่า ไซซ์ที่อาทิตยาใส่ซึ่งเป็นไซซ์เอ็มหรือแอล หมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ ตอนนี้มีแต่ไซซ์เอส และกระโปรงพลีทยาวที่เธอชอบใส่เป็นประจำก็หมด มีแต่กระโปรงทรงนักศึกษาที่เป็นแบบเข้ารูปและสั้นเสมอเข่า อาทิตยาไม่มีทางเลือก เธอพอใส่ได้แม้มันจะคับไปนิด และแม่ค้าก็ให้ยืมเข็มกลัดมาด้วย เพราะรู้ว่าเสื้อนักศึกษาไซซ์เอสนั้นน่าจะทำให้ภูเขาไฟฟูจิของเธอทะลัก
อาทิตยารับเสื้อและกระโปรงแล้วรีบไปเปลี่ยนในห้องน้ำ ก่อนจะนำชุดเดิมที่เปียกเก็บใส่ถุงพลาสติกที่แม่ค้าใจดีให้มาด้วย
ครั้นเมื่อสำรวจตัวเองจนเรียบร้อย ก็เห็นว่าไม่ได้น่าเกลียดอะไรแม้ว่าเสื้อจะรัดตรงหน้าอกมากๆ ก็ตาม โชคดีที่เธอแขนเล็ก เอวเล็ก เพียงแค่อกใหญ่และสะโพกใหญ่ แม้จะดูห่างไกลจากคำว่าเพรียวบาง แต่ขาก็ไม่ได้ใหญ่มากสักเท่าไหร่ มันก็เรียวได้รูปในแบบอวบๆ นั่นแหละ
แอบรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง ด้วยไม่เคยแต่งกายแบบนี้ แต่ตอนนี้ชีวิตเธอไม่มีทางเลือกอีกแล้ว
เมื่อจัดการกับตัวเองเรียบร้อยก็เดินดุ่มๆ กลับไปยังห้องเรียน ตอนที่ไปถึงอาจารย์มาถึงแล้วและกำลังจะเริ่มสอน
อาทิตยาขออนุญาตเดินเข้าไป พร้อมกับที่ทุกสายตาต่างตะลึงงันเมื่อเห็นเธอในอีกลุคหนึ่ง ซึ่งไม่เคยมีใครได้เห็น
ใครจะคิดว่าอีอ้วน อีอวบ อีช้างน้ำ ที่ใครตั้งฉายาให้ จะกลายเป็นสาวโอเวอร์ไซซ์เอส ที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งได้ใจขนาดนี้ ขนาดขุนพลยังมองเธอตาไม่กะพริบ
เขาคงสงสัยว่าเพราะเหตุใดสภาพของเธอจึงดูมอมแมมผิดปกติ แล้วไหนจะชุดที่เปลี่ยนมาใส่แบบนี้อีก
แต่ขุนพลก็ไม่คิดถาม จนกระทั่งอาจารย์สอนไปจนถึงช่วงเวลาเบรก เมื่ออาจารย์เดินออกไปจากห้อง เขาจึงคว้าแขนเธอพร้อมกับเก็บของแล้วดึงออกจากห้องทันที อีกสี่หนุ่มก็รีบเก็บข้าวของและวิ่งตามออกมาด้วย
เมื่อมาถึงยังโต๊ะม้าหินอ่อนที่ไกลจากห้องเรียนพอสมควร ขุนพลก็เอ่ย
“เกิดอะไรขึ้น”
อาทิตยาเม้มปากแน่นไม่ตอบ สี่หนุ่มที่ตามมาถึงเห็นเธอนิ่งเงียบพร้อมกับก้มหน้าหลบสายตา ก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับตบไหล่เธอเบาๆ เป็นเชิงปลอบโยน
“โดนแกล้งอีกแล้วใช่ไหม” ศุภณัฐถามขึ้นบ้าง
อาทิตยาสั่นศีรษะ แต่น้ำตากลับไหลออกมาโดยไร้เสียงสะอื้น แค่นั้นขุนพลก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว
เขากอบกุมใบหน้ากลมแป้นที่มีรอยยิ้มเสมอแต่ตอนนี้เปรอะไปด้วยน้ำตาให้เงยหน้าขึ้นมาสบตา ก่อนจะเอ่ยกับเธอเสียงเย็น
“รออยู่ตรงนี้แป๊บนึงนะ”
“พี่คิงจะไปไหนพี่” ศักดิ์ชัยรีบเอ่ยถามเมื่อเห็นขุนพลทำท่าจะหันหลังเดินกลับไปที่ห้องเรียน
“เดี๋ยวกูมา”
ว่าแค่นั้นก็ก้าวยาวๆ กลับไปที่ห้องเรียนอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้สี่หนุ่มดูแลสาวอวบของเขาไปตามลำพังก่อน...
สามสาวที่นั่งหัวเราะคิกคักชะงักเสียงหัวเราะไปชั่วขณะ เมื่อหันไปเห็นขุนพลเดินดุ่มๆ ตรงเข้ามาหา พวกเธอยังไม่ทันจะได้อ้าปากยิ้มหวาน ก็ต้องกระเด้งตัวออกจากเก้าอี้พร้อมกับร้องกรี๊ดกันขึ้นมาเสียก่อน เมื่อขาเรียวยาวถีบเข้าที่เก้าอี้เลกเชอร์ตัวด้านหน้า
แรงถีบทะลุมิติจงใจให้เก้าอี้กระแทกพวกเธอแน่นอน แม่สามสาวแสบทั้งกลัวทั้งตกใจ ด้วยไม่เคยเห็นขุนพลในมุมนี้ ต่างพากันสะดุดล้มหัวคะมำ ดูไม่จืดกันเลยทีเดียว
“เจ็บนะคิง ทำไมทำกับพวกเราแบบนี้”
ชลิตาแว้ดขึ้นอย่างหัวเสีย เมื่อลุกขึ้นมายืนกระทืบเท้าเร่าๆ ได้แล้ว จากที่เมื่อกี้ล้มแหมะก้นกระแทกลงที่พื้น
“ใช่ พวกเราไปทำอะไรให้คิงกัน” วาสนาที่สะโพกกระแทกกับขอบเก้าอี้อีกตัวเอามือลูบสะโพกป้อยๆ ขณะที่ปากก็ถามไปด้วย
ส่วนไมร่านั้นได้แต่ลูบขมับไปมา ด้วยไม่ทันระวังตัวหัวเลยไปกระแทกกับผนังห้อง แม้จะไม่แรงมากแต่ก็ทำเอาเจ็บจนขมับแดงได้เหมือนกัน
“ใช่ ไม่เคยทำอะไรให้ แต่ขอถามหน่อย มีปัญหาอะไรกับอุ๊บนักหนา เขาเคยไปทำอะไรให้พวกเธอ ทำไมจะต้องหาเรื่องแกล้งตลอด”
“นี่คิงปกป้องอีอ้วนนั่นเหรอ” ชลิตาว่าอย่างเดือดดาล
“ใช่”
คำตอบของเขาทำเอาคนทั้งห้องตกตะลึง สามสาวก็เช่นกัน ก่อนที่ชลิตาจะเชิดหน้าหนาๆ พร้อมกับอ้าปากปฏิเสธ
“คิดมากไปเองหรือเปล่า พวกเราไม่เคยแกล้งมัน”
“แล้วหมาที่ไหนมันเอาน้ำไปราดอุ๊บจนตัวเปียก”
“คิงรู้ได้ยังไงว่าเป็นพวกเรา” ชลิตาว่าขึ้น ก่อนที่จะชะงัก
แล้วทั้งสามสาวก็หันมองกันทันใด ทั้งหมดหันกลับไปมองที่หน้าห้อง พร้อมกับที่สาวแว่นเด็กที่เรียนเก่งที่สุดในห้องกำลังจะเดินออกไป ทั้งที่เมื่อกี้เพิ่งเดินตามขุนพลเข้ามาแท้ๆ
“มึงจะไปไหนอีฝน”
ไมร่าตวาดเสียงถามพร้อมกับเดินไปขวาง
ฐิติมาเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่เกรงกลัว ก่อนจะพูดออกมาว่า
“ไปห้องน้ำ”
“มึงเป็นคนบอกคิงใช่ไหม เรื่องที่พวกกูทำในห้องน้ำ”
“ใช่”
“อีฝน อีดอก ร้ายที่สุดก็คือมึงนี่แหละ”
ชลิตาว่าอย่างเข่นเขี้ยวและทำท่าจะเข้าไปตบ แต่ขุนพลกระชากแขน แล้วก็เหวี่ยงเธอกลับมายืนที่เดิม
“เลิกเกะกะเกเรหาเรื่องแกล้งคนอื่นได้แล้วเชอรี่ พวกเธอสองคนก็ด้วย หรือใครก็ช่างในห้องนี้ กูขอพูดครั้งนี้ครั้งเดียวและครั้งสุดท้าย ถ้าใครไม่อยากเรียนมึงก็อย่ามาเรียน มันเสียเวลาเสียเงิน พ่อแม่มึงทำงานเหนื่อยแทบตายเพื่อให้พวกมึงมาตีกันหรือไง แต่ถ้าใครตั้งใจเรียนก็เรียนอย่างเดียว อย่ามาแกล้งกัน แล้วถ้ากูเห็นใครแกล้งกันอีกนะเว้ย ไม่ว่าแม่งจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย พวกมึงเจอดีแน่”
ขุนพลประกาศเสียงกร้าว และเมื่อไม่มีใครกล้าเอ่ยขัด เขาก็พูดต่อ
“อย่าคิดว่ากูไม่กล้าทำผู้หญิงนะ โลกนี้ผู้หญิงผู้ชายเท่าเทียม กูไม่แคร์ว่าใครจะมองว่ากูหน้าตัวเมีย ถ้าพวกมึงทุกตัวเลยนะ ถ้ายังบูลลี่ (Bully) กันอีก มึงได้รู้จักยมบาลอย่างกูแน่”
ว่าจบขุนพลก็เดินออกจากห้อง แล้วปิดประตูดังปัง ทิ้งให้คนในห้องนั้นอยู่กับความเกรงกลัวและหวาดผวา ด้วยหน้าตาของเขาทั้งถมึงทึงและเสียงห้วนเข้มคล้ายยมทูตจริงๆ นั่นแหละ
ส่วนสามสาวนั้นได้แต่หน้าจ๋อย แม้แววตาจะมองฐิติมาอย่างแข็งกร้าว แต่ก็ยังไม่กล้าจัดการอีคนนกสองหัวในตอนนี้...