ครั้นเห็นเธอไม่พูดอะไร วรฤทธิ์จึงลุกขึ้นทำท่าจะเดินมาหา อาทิตยาเห็นดังนั้นจึงหันหลังวิ่งหนี และด้วยความที่ไม่ระวัง ตอนที่เธอหันหลังวิ่งนั้นมีคนเดินเดินสวนมา เธอไม่ทันเห็นจึงชนผู้ชายคนนั้นเข้าเต็มเปา ถุงกล่องข้าวที่เธอถือมาจึงหล่น โชคดีที่กล่องข้าวไม่เสียหาย แต่มันก็กระเด็นออกมาจากถุง
อาทิตยาไม่สนใจ คว้าได้แค่กระเป๋าใส่เอกสารการเรียนของตัวเองแล้วก็รีบวิ่งหนีมาจากตรงนั้น พร้อมกับที่น้ำตาไหลออกมา นานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ได้ร้องไห้แบบนี้ ร้องแบบไม่มีสาระแก่นสาร ไม่มีเหตุผล ไม่มีความจำเป็นที่ต้องร้องสักนิด แต่เธอเสียใจ เธอเจ็บกับการที่ต้องโดดเดี่ยว เจ็บกับการที่สุดท้ายแล้วต้องกลายเป็นคนที่ไม่มีใครต้องการ
ห้าหนุ่มที่เห็นอาทิตยาวิ่งหนีจากไปต่างหันมองหน้ากันด้วยความงุนงงไม่เข้าใจ ขุนพลเป็นคนแรกที่ลุกเดินมาเก็บถุงที่อาทิตยาทำหล่นทิ้งไว้ ครั้นเมื่อเห็นขุนพลลุกมา สี่หนุ่มที่เหลือก็ลุกเดินตามมาด้วย และเมื่อทั้งหมดเห็นสิ่งที่อยู่ในถุง ต่างก็ชะงักและมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
กล่องข้าวสีฟ้า มีชื่อเขียนติดว่า “พี่คิง”
กล่องข้าวสีเหลือง มีชื่อเขียนติดว่า “เล็ก”
กล่องข้าวสีม่วง มีชื่อเขียนติดว่า “เอส”
กล่องข้าวสีขาว มีชื่อเขียนติดว่า “บาส”
และกล่องข้าวสีเขียว มีชื่อเขียนติดว่า “ม่อน”
และเมื่อทั้งห้าหนุ่มเปิดดู ก็เห็นว่าเป็นข้าวสวยและกับข้าวสองอย่างที่เหมือนและแตกต่างกันไป มีทั้งไข่พะโล้ ผัดเผ็ดปลาดุก แกงเขียวหวานไก่ ผัดกะเพรา ไข่ดาว และอีกหลายๆ อย่าง มีช้อนให้เรียบร้อยพร้อมกับถุงพริกน้ำปลาเล็กๆ เตรียมมาด้วย
ทุกคนต่างอึ้งและพูดไม่ออก ได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น จากที่ไม่เคยสนใจสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ไม่เคยแคร์อะไรนอกจากความสนุกสนานและชีวิตของตนเอง ตอนนี้กลับรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้...
วันนี้เป็นวันจันทร์
ตั้งแต่วันนั้นที่อาทิตยาวิ่งหนีมาจากห้าหนุ่ม เธอก็ไม่ได้เจอหน้าพวกเขาอีกเลย ช่วงบ่ายอาจารย์ยกคลาสพอดี จากนั้นก็ติดวันหยุดเสาร์อาทิตย์ แต่วันนี้มีเรียนตอนเช้ายังไงเธอก็ต้องมาเรียน ซึ่งนั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับอาทิตยา ก็เธอมาเรียนนี่นะ ไม่ได้มาสนใจอย่างอื่น
เมื่อเปิดประตูเดินเข้ามาในห้อง ทุกสายตาหันมามองเธอเป็นตาเดียว ขุนพลที่กำลังก้มๆ เขียนอะไรไม่รู้สักอย่าง ก็ยังชะงักและเงยหน้าขึ้นมามองเธอแทบจะทันทีเช่นเดียวกัน
อาทิตยาเดินขาสั่นแทบจะพันกันตรงมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมข้างเขา สี่หนุ่มข้างหลังก็พยักพเยิดกัน ทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรกับเธอ แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา แม้แต่ขุนพลเองก็เงียบทั้งที่จ้องเธอตาแทบไม่กะพริบ
อาทิตยาไม่แม้แต่จะหันไปมองพวกเขา เธอรู้สึกอายที่วันนั้นวิ่งหนีไปแล้วก็ร้องไห้เป็นเด็กๆ ทั้งที่พวกเขาไม่ได้ทำอะไรให้เธอสักหน่อย แต่เธอก็ไม่รู้จะคุยอะไรกับพวกเขาจริงๆ
ในเมื่อไม่มีใครเริ่มต้นบทสนทนา เลยกลายเป็นว่าไม่มีใครพูดอะไรกัน และครั้นทนความอึดอัดใจไม่ไหว อาทิตยาเลยลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปที่ห้องน้ำ
“พี่คิง ทำไงอะพี่”
วรฤทธิ์ว่าพร้อมกับเขย่าแขนหนาของขุนพลเป็นเชิงปรึกษา
เห็นว่าพวกเขาไม่เป็นโล้เป็นพาย ไม่เอาอ่าวเอาทะเลอะไรกับชีวิต แต่ก็แคร์เพื่อนนะเว้ย ถ้าพวกเขาไม่จริงใจกับเพื่อน ไม่คบหากันมานานขนาดนี้หรอกบอกเลย
“ไม่รู้” ขุนพลตอบสั้นๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือก ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้อง...แคร์ ขนาดนี้
เพราะมัวแต่สนใจความรู้สึกของอาทิตยา เลยไม่มีใครสนใจสามสาวที่เดินตามอาทิตยาออกไปจากห้องเรียนแทบจะทันทีที่เธอเดินพ้นประตูไป
ทั้งห้าหนุ่มไม่มีโอกาสรู้เลยว่า ทันทีที่อาทิตยาทำธุระในห้องน้ำเสร็จ ยังไม่ทันที่เธอจะเปิดประตูออกมา อยู่ๆ ด้านบนประตูก็มีน้ำสาดลงมารดเนื้อตัวของอาทิตยาจนชุดนักศึกษาที่เธอใส่มาเปียกปอนตั้งแต่หัวจรดเท้า
เสียงหัวเราะคิกคักที่ดังอยู่ข้างนอก อาทิตยาจำได้ดีว่าเป็นเสียงหัวเราะของใครบ้าง ความอึดอัดคับข้องใจที่เผชิญมาหลายอย่าง ทำให้สาวอวบอดกลั้นไม่อยู่จนต้องร้องไห้ออกมาและทรุดนั่งลงที่พื้นห้องน้ำ
จวบจนกระทั่งเสียงหัวเราะอย่างเย้นหยันแกมสะใจที่ดังอยู่ข้างนอกเงียบหายไปแล้ว จึงค่อยๆ ลุกขึ้นมาพร้อมกับเช็ดน้ำตา แล้วเดินออกจากห้องน้ำทั้งที่ตัวเปียกโชก
ทุกคนที่ได้เห็นสภาพของเธอต่างพากันหันมองพร้อมกับซุบซิบด้วยความไม่เข้าใจ แต่อาทิตยาไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เธอรีบวิ่งดุ่มๆ ไปที่ร้านขายชุดนักศึกษาที่อยู่ใต้อาคารห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ซึ่งโชคดีที่วันนี้ร้านเปิดขายตามปกติ
แม่ค้าที่เคยเห็นหน้ากันบ่อยและคุ้นเคยกันดีด้วยเธอซื้อชุดจากร้านนี้เป็นประจำ มองสภาพเธอด้วยความเวทนา
อาทิตยาไม่ได้เอากระเป๋าสตางค์ติดตัวมาด้วย ความที่เธอเดินออกมาเข้าห้องน้ำก็เลยวางกระเป๋าไว้ที่เก้าอี้ในห้อง แต่แม่ค้าก็ใจดีให้ชุดเธอมาเปลี่ยนก่อน แล้วค่อยมาจ่ายเงินทีหลังได้