ปราบครั้งที่ 7

3865 Words
[ซ่า] เลิกเรียนเสร็จผมก็บอกลากับเพื่อนๆก่อนจะแยกตัวจากกลุ่มเพื่อนไปทำงานพิเศษ ช่วงนี้การเงินไม่ค่อยคล่อง เลยต้องขอเงินแม่ใช้ก่อน โดนบ่นโดนด่าบ้างก็ว่ากันไป ผมเปลี่ยนชุดในห้องน้ำของร้าน อีกยี่สิบนาทีก็ถึงเวลาเข้างาน ผมหยิบโทรศัพท์มากดโทรหาพลอยก่อน เพราะตอนทำงานจะโทรหาไม่ได้ “ซ่า ว่าจะโทรหาพอดี” พลอยรับสายด้วยความร่าเริง ผมเผลอยิ้มไม่รู้ตัว “มีอะไรเหรอ” ผมถาม รู้สึกมีความสุขเมื่อรู้ว่าพลอยอยากคุยกับผม แทบลืมไปหมดว่าช่วงนี้เราบึ้งตึงใส่กันบ่อยแค่ไหน “ว่างไหม ว่าจะชวนไปเดินซื้อของแล้วก็ดูหนังอะ ครั้งที่แล้วก็ไม่ได้ดู” ครั้งที่แล้วก็ตอนที่ผมไปตีกับเด็กต่างสถาบันแล้วโดนพลอยเมินใส่นั่นแหละ ผมรู้สึกดีนะที่พลอยโทรมาชวนผม แต่ว่าวันนี้ผมกลับไม่ว่าง “วันนี้เหรอ ไม่ได้อะ ทำงาน” “ลางานไม่ได้เหรอ ช่วงนี้ไม่ได้เจอกันเลยนะ” พลอยทำเสียงงอแง ผมเหลือบตามองดูนาฬิกาก่อนจะมองหัวหน้างานที่เดินเข้ามาหยิบของหลังร้าน “ไงมึง กว่าจะโผล่หน้ามาทำงานได้ ตัวแดงแล้วนะซ่า” เจอหน้าผมแกก็สวดเลย “ค้าบๆ ขอโทษค้าบ” ผมพูดติดตลก แต่ในใจไม่ตลกด้วย ปลายสายคงได้ยินสิ่งที่หัวหน้าผมบ่น พลอยเงียบไปเลย “ไว้วันหลังแล้วกันนะพลอย” ผมบอก วันนี้ผมลางานไม่ได้จริงๆ ยังไงก็ต้องทำงานถ้ายังไม่อยากหางานใหม่ นี่แย่กกว่าการหางานใหม่คือการสัมภาษณ์งาน “น่าเบื่อ” “...” “ไม่ไปวันนี้ วันหลังก็ไม่ต้องไปแล้ว ไม่ได้เรื่อง” กระแทกเสียงใส่ผมจบก็ตัดสายไปเลย ผมได้แต่มองโทรศัพท์ก่อนจะถอนหายใจ พยายามไม่คิดอะไรมากแล้วเริ่มทำงาน วันนี้ลูกค้าเยอะและผมทำหน้าที่เป็นแคชเชียร์ เป็นงานที่ยุ่งตลอดเวลา ผมทำงานเพลินจนกระทั่งใกล้จะได้เวลาเลิกงาน ลูกค้าก็เริ่มลดน้อยลงมาหน่อย ตื้อดึง ~ “เซเว่นสวัสดีค่ะ/ครับ” เมื่อมีลูกค้าเข้ามา ทุกคนก็พูดประโยคเดียวกันอย่างพร้อมเพรียง เพราะเป็นสิ่งที่พนักงานทุกคนจำเป็นต้องพูด จนบางครั้งผมยังรู้สึกว่ามันตลกเลย “แกๆ ผู้ชายคนนั้นอย่างหล่ออะ สูง หุ่นดี กล้ามแขนเป็นมัดๆเลย” พี่พนักงานสาวในร้าสองคนที่ยืนอยู่ใกล้ผม เริ่มกระซิบกระซาบพูดถึงลูกค้าที่เข้ามา “ไหน จะมีใครหล่อกว่าผมอีก” ผมหันไปพูดเบ่งใส่ “มีแน่ หันไปดูนู่น” พี่แก้มดันหน้าผมให้หันไปทางบุคคลที่กำลังถูกพูดถึง ผมมองเขาพร้อมกับที่เขาก็หันมาสบตาผมพอดี ...พี่ปราบ… “เห้ย ยิ้มมาทางนี้ด้วย เขาต้องยิ้มให้ฉันแน่ๆเลยแก” พี่แก้มยังคงเพ้อไม่เลิก ยิ่งพี่ปราบเดินเข้ามาใกล้เธอสองคนยิ่งยิ้มหวาน “ไง เลิกงานยัง” พี่ปราบถามผม ทำให้พี่แก้มและพี่แจนตวัดหน้ามองผมด้วยความสงสัย ผมกระแอมไอในลำคอนิดนึง จะว่าไปสองสาวก็พูดไม่ผิดหรอก ไอ้พี่ปราบมันหล่อจริงๆ หุ่นดีน่าตาดี พูดได้คำเดียวว่ากูอิจฉา “ใกล้แล้วพี่ อีกครึ่งชั่วโมง” “อืม กูไปรอที่รถนะ” พี่ปราบว่า แล้วก็ส่งขวดน้ำให้ผมคิดเงิน จากนั้นก็เดินออกไป “ทำไมแกรู้จักกับเขา บอกมาเดี๋ยวนี้” พี่แจนซักถามผมทันที มีการมาจับแขนผมเขย่าด้วยนะ ส่วนพี่แก้มก็คงอยากจะเข้ามาถามเหมือนกันแต่ดันติดลูกค้า “เขาเป็นรุ่นพี่ผม” “รุ่นพี่ที่โรงเรียนช่าง!?” พี่แจนถามเสียงหลง ทำไมอะ ถ้าเป็นเด็กช่างแล้วผิดตรงไหน “ไม่ใช่ พี่แจนทำเสียงงี้หมายความว่าไง หาเรื่องเหรอ” ผมขยับเก้าเดินเข้าไปใกล้ แกล้งทำหน้าเหี้ยม “ไอ้นี่นิ ถอยไปห่างๆเลย” พี่แจนผลักผมออกห่าง ผมหลุดขำแก “พี่เขาไม่ได้เรียนช่างหรอก แต่ก็เป็นรุ่นพี่อะ รู้แค่นี้พอล่ะ” ผมยักคิ้วกวนๆให้สองสาวที่ยืนเท้าเอวใส่ผม “โหย อย่ามากั๊กได้ป่ะ” สาวๆโอดครวญกันใหญ่ ผมส่ายหน้ายิ้มๆ ยักคิ้วให้อีกทีก่อนจะหันไปคิดเงินลูกค้าและทำงานต่อจนกระทั่งเลิก ที่ผมไม่บอกข้อมูลพี่ปราบมากกว่านี้ไม่ใช่อยากจะกั๊กอะไร คือความจริงแล้วกูไม่รู้ครับ จำได้แค่พี่ปราบเป็นลูกเจ้าของโรงฝึกสอนการต่อสู้ที่ไอ้หวายเคยบอกไว้ นอกจากนั้นผมก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพี่ปราบเลย ผมเดินมาถึงรถยนต์คันหรู ที่ถ้ามีโอกาสก็อยากจะลองขับสักครั้ง แต่คิดว่าคงไม่มีวันนั้น ผมเข้าไปนั่งในรถ พี่ปราบที่นอนเอนตัวหลับอยู่ก็ลืมตาขึ้น มองสำรวจผมทั่วทั้งตัว คือผมเปลี่ยนชุดแล้วนะ ตอนนี้กลับมาอยู่ในชุดนักเรียนช่างตามเดิม “ถ้ากูไปไหนมาไหนกับมึงในชุดนี้ กูจะโดนตีนไปกับมึงไหม” อ้าปากถามเหมือนจะล้อ แต่ผมก็หลุดขำนะ “ผมว่ามันเห็นหน้าพี่ก็ไม่กล้าแล้วมั้ง” ผมแซวกลับ ไม่โกงครับ “ฮะๆๆ คิดไว้ยังมึงว่าจะกินอะไร” พี่ปราบถามพร้อมกับออกรถ “ไม่รู้วะพี่ กินไรก็ได้” ผมคิดไม่ออกว่าจะกินอะไรดี ที่เมื่อคืนบอกไว้ว่าอยากกินของแพง เอาเข้าจริงก็ไม่รู้ว่าของแพงแม่งมีอะไรบ้าง ถ้าไม่ใช่อะไรที่ขายข้างทางผมว่ามันก็แพงหมดแหละ พี่ปราบเหลือบมองผมแล้วก็เงียบไปสักพักใหญ่ “ครั้งนี้กูจะเป็นคนคิดให้นะ แต่ครั้งหน้าถ้ากูให้มึงเลือก มึงต้องเลือก” น้ำเสียงที่พี่ปราบใช้มันก็ปกตินะ แต่ในความรู้สึกมันเหมือนกำลังถูกดุไงไม่รู้ “จำเป็นต้องเครียดขนาดนี้ไหมพี่” ผมตอบกลับติดหัวเราะเบาๆ “แล้วปกติเวลาไปกินข้าวกับแฟนมึง ใครเป็นคนเลือก แล้วเคยเจอไหมที่บอกว่ากินอะไรก็ได้อะ มันลำบากคนตามใจเปล่าวะ” พี่ปราบบ่น และผมก็คิดตาม ซึ่งปกติถ้าผมพาพลอยไปกินข้าว ถ้านับในสิบครั้งก็มีสักแปดครั้งแหละที่พลอยจะพูดว่าอะไรก็ได้ แต่พอชวนกินนั่นกินนี่แม่งก็ไม่เอา โคตรน่าหงุดหงิด เอาเป็นว่าผมเริ่มเข้าใจความรู้สึกพี่ปราบล่ะ “โอเค งั้นคราวหน้าผมจะไม่ตอบว่าอะไรก็ได้หรือยังคิดไม่ออกแล้วกัน” “ดีมาก” “แล้ววันนี้พี่จะพาผมไปกินที่ไหนล่ะ” “ร้านอากูล่ะกัน ง่ายดี กูแปะโป้งไว้ให้พ่อกูจ่ายได้” “โหย หัวหมอนี่หว่า” “ก็ถ้ากูจ่ายเอง อากูไม่เคยเอาเงินกูอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นเงินพ่อกู อาเก็บทุกเม็ด เดี๋ยวกูโทรไปจองโต๊ะก่อน ป่านนี้คนน่าจะแน่นแล้ว” ระหว่างทางไปร้านอาหารที่ว่า พี่ปราบก็ถามถึงงานและเรื่องเรียนบ้างเล็กน้อย แต่ส่วนมากจะเงียบมากกว่า ผมอยากจะถามเรื่องพี่ปราบนะ แค่ไม่กล้าเอ่ยปากถามสักที ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง ร้านอาหารที่พี่ปราบพามา เป็นร้านที่ขายทั้งเหล้าเบียร์และอาหาร ที่สำคัญมีดนตรีสดด้วย คนมานั่งกินกันจนแน่นร้านแทบมองไม่เห็นโต๊ะว่าง “หวัดดีครับเฮียปราบ” พนักงานในร้านพอเห็นพี่ปราบก็ยกมือไหว้ เอ่ยทักทายกันเป็นแถว “อืม ได้โต๊ะไหม” พี่ปราบถาม “ได้สิเฮีย ที่นั่งมุมในที่ประจำ ผมเคลียร์ให้แล้ว” “ดีมาก” “ผมทำดีใช่ไหม งั้นคืนนี้ขอทิปหนักๆนะเฮีย แล้วพาเด็กที่ไหนมาเนี่ย เด็กช่างซะด้วย เล่นของเถื่อนเหรอเฮีย” “กวนตีนละไอ้นี่ ไปๆ อย่าพูดมาก ไปทำงาน” พี่ปราบไล่ ก่อนจะเดินนำไปที่โต๊ะ แต่ทำไมต้องจับมือผมเดินด้วยวะ ไม่ถึงสิบก้าวก็ถึงโต๊ะละ “ผมเดินเองได้น่า โตแล้ว ไม่ต้องจูงหรอก” ผมดึงมือกลับ มันแปลกๆนะเว้ย ผู้ชายมาจับมือจูงกันเดิน “ทำไม กูจับไม่ได้เหรอน้องซ่า” “พี่อย่ากวนตีนดิ” สุดท้ายพี่ปราบก็จับข้อมือผมมาที่โต๊ะถึงได้ปล่อย ผมนั่งลงฝั่งตรงข้ามคนพามา ยังคงตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศในร้าน ดูเป็นอิฐๆปูนๆแบบสร้างไม่เสร็จ ตกแต่งด้วยโครงเหล็กสีน้ำตาลและหลอดไฟสีส้มสลับขาว “ชอบวะพี่ ร้านสวยดี” ผมชม กลุ่มนักดนตรีที่เล่นอยู่เอ่ยลาแล้วก็เดินลงจากเวที เสียงเพลงที่เคยดังก้องร้านก็เหลือเพียงเสียงเพลงเบาๆสบายๆ “อาหารก็อร่อย อะ มึงเลือกดูว่าอยากกินอะไร คราวนี้มึงต้องเลือกนะ ห้ามบอกว่าอะไรก็ได้” พี่ปราบส่งเล่มเมนูมาให้ผมพร้อมพูดกำชับ “รู้แล้วน่า ฮู้ว” ผมรับมาเปิดดู อย่างแรกที่ดูคือราคาอาหาร แต่ในเมื่อไม่ใช่คนจ่ายก็เลยเลิกสนใจ เบนสายตามองภาพอาหารที่ตกแต่งอยู่ตรงขอบๆเมนูเอา อาหารมีเยอะมากถึงมากที่สุด ทั้งอาหารไทยและอาหารต่างชาติ ผมเปิดพลิกหน้าเมนูอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังเลือกไม่ได้ เงยหน้ามองพี่ปราบก็เจอสายตาคมๆดุๆจ้องอยู่ กูห้ามพูดว่าอะไรก็ได้ หรือไม่รู้สินะ งั้นกูสั่งของง่ายๆแล้วกัน ผมเปิดเมนูกลับไปหน้าแรกที่เป็นของทอด “ผมเอาปลาทอดนิลทอดน้ำปลา” “เอาเป็นปลากะพงแทนไหม” พี่ปราบเสนอ ดูท่าพี่ปราบคงอยากกิน ผมเลยพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ก็แน่ละ กูไม่ใช่คนจ่ายเงิน “ปลาอะไรก็ได้ ผมกินได้ไหม” “แล้วอะไรอีก” “แกงส้มชะอมไข่ใส่กุ้ง แล้วก็ ไข่เจียวหมูสับ” “กูเลี้ยงทั้งที มึงสั่งไข่เจียวหมูสับเนี่ยนะ” “เอ้า แล้วพี่จะเอาอะไรอะ ไหนบอกให้ผมเลือกไง” “เออๆ ไข่เจียวหมูสับก็ไข่เจียวหมูสับ” “แค่นี่แหละ” ผมปิดเมนูแล้วส่งคืนให้พนักงาน พี่ปราบนั่งกอดเอาลิ้นเดาะกระพุ้งแก้มเล่น ก่อนจะหันไปสั่งอาหารเพิ่ม “เอาผัดบล็อกโคลี่กุ้ง ใส่กุ้งเยอะๆมาอีกจาน แล้วก็พล่าทะเล ส่วนข้าวเอาเป็นข้าวผัดปู” “เยอะไปเปล่าพี่” ผมท้วง แต่อีกใจหนึ่งก็แอบสนใจกับเมนูอาหารที่พี่ปราบเพิ่งพูดไป ท่าทางจะอร่อย ท้องผมก็เริ่มร้องแล้วด้วย “เออน่า มึงจะเอาน้ำอะไร หรือจะเอาเบียร์” “เอาเบียร์ดิพี่” แหม บรรยากาศแบบนี้ มันต้องกินข้าวเคล้าเบียร์และฟังดนตรีสด เป็นบุญกูจริงๆที่ได้รู้จักพี่ปราบ หรือผมต้องขอบคุณไอ้หวายด้วยที่ทำให้ผมเจอพี่เขา ไม่ใช่ว่าเพราะเขาจ่ายเงินค่าข้าวให้หรอกนะ อันที่จริงก็ส่วนหนึ่ง แต่นอกจากนั้นแล้ว ผมรู้สึกว่าอยู่กับเขาแล้วผมสบายใจอย่างบอกไม่ถูก หรือเพราะเขาดูใจเย็นและพึ่งพาได้ ผมรู้สึกแบบนั้น ผมโครงหัวตามจังหวะเพลง กวาดสายตามองคนในร้านไปเรื่อยจนมาจบอยู่ที่พี่ปราบ พี่เขามองจ้องหน้าผมอยู่ นั่นทำให้ผมเกิดข้อสงสัยเล็กน้อย “มองอะไรพี่” “เปล่า” อืม เปล่าก็เปล่า ผมคิดว่า ผมควรทำความรู้จักกับพี่เขาสักหน่อย “พี่ปราบ ถามอะไรหน่อยสิ” ผมเริ่มต้นง่ายๆ คือผมคิดอะไรที่ดูดีกว่านี้ไม่เป็น “จะถามอะไร” “คือผมไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับพี่เลยวะ” หรือแทบจะไม่รู้อะไรเลย ผมท้าวแขนลงกับโต๊ะ โน้มตัวเข้าไปใกล้มองสำรวจใบหน้าคนตรงข้าม ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันจนถึงตอนนี้ผมยังคงรู้สึกหมั่นไส้ในความหล่อไม่เกรงใจใคร “ทำไม อยากรู้จักกูเหรอ” พี่ปราบแม่งดันยื่นหน้าเขามาใกล้อย่างเร็ว ผมตกใจคิดว่าหน้าเขาจะชนหน้าผมเข้าให้เลยผงะเอนหลังพิงเก้าอี้ “อะไรของพี่เนี่ย ตกใจหมด มันก็ควรต้องรู้บ้างหรือเปล่าวะพี่” ผมโวยกลับเบาๆ รู้สึกตกใจมากกว่าที่จะไม่ชอบใจ “ฮ่าๆๆ แค่นี้ทำมาเป็นตกใจ ที่จริงกูก็ไม่ค่อยรู้เรื่องของมึงเหมือนกัน” หลังจากหัวเราะขำผมเสร็จพี่ปราบก็กลับเข้าสู่โหมดจริงจัง แต่ที่พี่เขาพูดมันก็จริง “ถ้าอยากรู้จักกูมากขึ้น กูมีข้อเสนอให้ไหมล่ะ” “อะไร” พี่ปราบมันทำหน้าเจ้าเล่ห์พิกล ดูไม่น่าไว้ใจยังไงไม่รู้ “กูจะบอกเรื่องของกู และมึงก็บอกเรื่องของมึง แลกกัน ห้ามปกปิด ห้ามโกหก โอเคไหม” ผมนิ่งเงียบไปกับข้อเสนอ มันไม่ใช่สิ่งที่ทำยากแต่อย่างได้ แต่ทำไมผมกลับรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เวลาที่เราต้องเปิดเผยตัวตนหรือเรื่องราวอะไรก็ตามที่ไม่อยากพูดถึงหรืออยากเล่า มันก็เหมือนการแก้ผ้าให้คนอื่นดู และผมรู้สึกไม่โอเค “มึงไม่กล้าเหรอซ่า ไม่เห็นมีอะไรยากสักนิด” พี่ปราบยักคิ้วข้างเดียวอย่างคนเป็นต่อ ผมกลั้นใจก่อนจะตอบตกลง พอโดนท้าหัวสมองก็ไม่คิดห่าอะไรทั้งนั้น “ก็เอาดิพี่ คิดว่ากลัวหรือไง” ถึงเวลาที่ผมต้องย้ายที่อยู่ และเป็นการย้ายที่ไม่ได้เต็มใจหรือรู้สึกดี ผมใช้ความพยายามและความอดทนขั้นสูงแบบที่ไม่เคยมีตามคำแนะนำของพี่ปราบ เมื่อคืนพี่แกยังส่งข้อความมาปลอบขวัญผมอีกด้วย ฮ่าๆๆ อย่างตลกอะ แต่ผมก็รู้สึกดีมากๆ ‘มึงทำได้ซ่า กูเชื่อว่ามึงจะต้องเข้ากับที่บ้านใหม่ได้ มึงอยู่กับแม่กับพ่อใหม่ได้อยู่แล้ว’ ตอนเห็นประโยคนี้ ผมเผลอหลุดยิ้มออกมาด้วย โคตรบ้าเลย แต่โคตรรู้สึกดีเช่นกัน แม้จะหวั่นๆในใจก็เถอะว่าผลลัพธ์มันจะออกมาตรงกันข้าม ระหว่างผมและพี่ปราบมีเงื่อนไขหนึ่งที่ตกลงกันไว้วันก่อนที่เขาพาผมไปกินข้าว นั่นคือการทำความรู้จักกันและกัน ทีแรกผมก็คิดว่าจะแค่ถามตอบในสิ่งที่สงสัย แต่ไม่ใช่ คืนนั้นผมถามพี่ปราบได้แค่คำถามเดียว ผมมีสิทธิถามได้วันละหนึ่งคำถาม แรกเริ่มผมรู้สึกสงสัย แต่ผ่านมาสามวันแล้วผมรู้สึกสนุก ผมจะเป็นคนถามก่อน และพี่ปราบจะถามผมกลับบ้าง แต่สามวันแล้วพี่ปราบถามผมแค่คำถามเดียว สิ่งที่ผมถามก็คือ พี่ปราบทำงานอะไร คำตอบที่ผมได้กลับมาคือโคตรของโคตรทึ่ง พี่ปราบทำงานกลับครอบครัว แต่งานแต่ละอย่างนั้นไม่ธรรมดา พี่ปราบเป็นครูฝึกศิลปะห้องกันตัว และยังทำงานที่อู่ซ่อมรถชื่อดัง เป็นรองประธานของกิจการโรงแรมหลายแห่งในประเทศไทย ผมไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมพี่ปราบแม่งรวย ทำงานเยอะขนาดนี้แต่ทำไมดูพี่ปราบมันว่างชอบกล คำถามที่สองที่ผมถามคืออายุ ตอนนี้พี่ปราบอายุยี่สิบเจ็ดปีแล้ว ห่างกับผมแปดปี คำถามที่สามที่ผมอยากรู้ก็คือ พี่ปราบมีเมียหรือยัง คืออายุเขาก็ไม่ใช่น้อยๆ แถมหน้าที่การงานดี ผมเลยคิดว่าเขาน่าจะมีครอบครัวมีลูกแล้วหรือเปล่า แต่ปรากฏว่า... ‘กูยังโสด ไม่มีเมียมีลูกอะไรทั้งนั้น’ บอกเลยว่าผมไม่เชื่อ แต่พอพี่ปราบย้ำและผมแอบไปถามเอากับไอ้หวายอีกครั้ง ก็ได้รับการยืนยันกลับมาว่าพี่ปราบแม่งโสดจริงๆ ไม่น่าเป็นไปได้ แต่เป็นไปแล้ว ส่วนคำถามที่พี่ปราบถามผมกลับมานั้น ทำผมแปลกใจเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าเขาจะถามว่าผมอยากเป็นอะไร อยากทำงานอะไร คำถามนี้ผมตอบโดยไม่ต้องคิดเลยว่า ผมอยากทำงานเป็นช่างซ่อมรถ เพราะผมชอบรถ และผมก็กำลังเรื่องสาขาช่างกลอยู่ ความฝันของผมไม่ได้ยิ่งใหญ่หรอก แต่มันเป็นสิ่งที่ผมชอบ “ซ่า ลงไปเปิดประตู แม่จะเอารถเข้าบ้าน” พี่แนนบอกเมื่อมาถึงบ้านทาวน์เฮ้าส์ของเขา ผมลงไปเปิดรั้วบ้าน แล้วโบกรถให้พี่แนนถอยรถเข้าจอดในที่จอด ของที่ผมเอามาก็มีแค่เสื้อผ้า หนังสือเรียน และหมอนผ้าห่มที่ผมติดก็ไม่มีอะไรแล้ว พี่แนนพาผมขึ้นไปที่ห้องนอนเล็ก ที่บ้านมีทั้งหมดสามห้อง ห้องนอนใหญ่ที่พี่แนนกับพี่เบิร์ดนอนด้วยกัน อีกห้องเป็นห้องพระ และห้องนี้ที่ไม่ได้ใช้งานอะไร เอาของเข้าไปเก็บแล้วกัน เดี๋ยวลงมาช่วยแม่ทำกับข้าวเย็นด้วย “อืม” ผมหันไปพยักหน้าให้พี่แนน ก่อนจะหันกลับมามองสำรวจห้อง มีเตียงนอนกับตู้เสื้อผ้าแค่นั้น แต่เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว เพราะไม่รู้ว่าผมจะทนอยู่ได้นานแค่ไหน แต่...จะพยายามให้มากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ ค่อนข้างประหลาดใจที่ภาพหน้าพี่ปราบลอยขึ้นมาในหัว ผมใช้เวลาเก็บของไม่นาน นอนเล่นคุยโทรศัพท์กับพลอยอีกครึ่งชั่วโมง ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพลอยยังไม่ลุ่มๆดอนๆ ดีบ้างแย่ๆบ้าง แต่วันนี้คุยกันไม่ค่อยถูกคอเท่าไหร่ เพราะอีกฝ่ายคอยแต่จะตัดสายทิ้ง สุดท้ายผมก็เลยกดวางให้มันสมใจ ผมลงมาช่วยพี่แนนทำกับข้าวเย็น พูดง่ายๆคือมาช่วยหยิบของเท่านั้น ผมทำอะไรเป็นที่ไหน ตอนที่กับข้าวอย่างสุดท้ายใกล้จะเสร็จ พี่เบิร์ดก็กลับมา ผมหันไปเจอก็เลยยกมือไหว้ ผมกับพี่เบิร์ดเจอกันไม่ค่อยบ่อย และไม่ค่อยได้คุยกันด้วย บรรยากาศระหว่างผมกับเขาในตอนนี้ก็เลยน่าอึดอัด “กลับมาแล้วเหรอ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมากินข้าวเย็น” พี่แนนยกจานยำไข่ดาวออกมาวางบนโต๊ะกินข้าว “อืม ทำตัวตามสบายนะ แต่อย่าทำบ้านลง ฉันไม่ชอบ” พี่เบิร์ดพูดแล้วก็เดินขึ้นห้องไป ผมหันไปมองหน้าพี่แนนที่ไม่ได้ใส่ใจอะไร อยู่ที่นี่ก็จะต้องเจออะไรบ้างวะ วันนี้ผมกินข้าวไปแค่จานเดียวเพราะรู้สึกกินอะไรไม่ลงแม้จะหิวมากก็ตาม เพราะพี่เบิร์ดกับพี่แนนเอาแต่เถียงกัน “พี่เบิร์ด ค่าไฟยังไม่ได้ไปจ่ายไม่ใช่เหรอ มันจะเลยกำหมดแล้วนะ” พี่แนนบ่นขึ้นมาอีก “เออน่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ไปจ่ายเองอะ นี่ไง ซ่าทำงานอยู่เซเว่นไม่ใช่เหรอ พรุ่งนี้ก็เอาไปจ่ายด้วยแล้วกัน” พี่เบิร์ดหันมาสั่งผม “ครับ” ไม่อยากมีปัญหาตั้งแต่วันแรก ผมก็เลยตกลงที่จะทำให้ ไม่ได้หนักหนาอะไรอยู่แล้ว “เอาเงินไว้ให้ผมด้วยแล้วกัน” ผมบอก “เงินพี่หมดแล้ว แนนก็เอาเงินแนนออกไปก่อนแล้วกัน” “เอ้า แต่มันหน้าที่ที่พี่ต้องจ่ายนิ” “ก็มันไม่พอ ออกๆไปก่อนเถอะน่า” “มันจะพอถ้าไม่เลิกซื้อของไร้สาระเข้าบ้าน” “อย่าบ่นได้ไหม มันน่ารำคาญ” “ก็มันจริงไหมล่ะ” “ผมขอตัวก่อนนะ” ผมลุกขึ้นออกจากโต๊ะกินข้าว ไม่อยากฟังคนสองคนที่กำลังทะเลาะกันจนน้ำลายกระเด็นใส่กับข้าว “มึงจะไปไหนซ่า รอล้างจานด้วย” เพราะงั้นแทนที่จะขึ้นห้อง ผมก็เลยเดินไปนั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่นแทน ระหว่างนั้นก็ตอบไลน์เพื่อนไปด้วย มันชวนกันออกไปนั่งชิวๆร้านเหล้าใกล้ๆ ผมที่กำลังเซ็งก็เลยตอบตกลง พอพี่แนนกับพี่เบิร์ดกินข้าวเสร็จผมก็เข้าไปเก็บโต๊ะแล้วก็ล้างจาน จากนั้นก็แยกตัวขึ้นห้องไปอาบน้ำต่างตัวเตรียมออกไปผ่อนคลายอารมณ์ “พี่แนน ผมออกไปข้างนอกนะ” ลงจากบันไดเจอพี่แนนกำลังยกจานแตงโมไปให้พี่เบิร์ดในห้องนั่งเล่น “จะไปไหนอีก ไม่ต้องไป อยู่ให้ติดบ้านบ้างเถอะ อยู่กับแม่มึงก็ออกจากบ้านทุกวันเลยนะซ่า” “โหย ออกไปแป๊บเดียว” คือวันไหนที่ไม่ได้ทำงานผมก็อยากออกไปหาเพื่อนบ้าง “ไม่ต้องเลยมึง เกเรนักอยู่นี่แม่จะดัดสันดานซะให้เข็ด” ผมอ้อนขอออกจากบ้านอีกสองสามประโยค แต่พี่แนนยังคงไม่ให้ออกไป ส่วนพี่เบิร์ดก็นั่งนิ่งดูทีวีไม่สนใจ ผมทำอะไรไม่ได้ก็เลยเดินกลับขึ้นห้องด้วยความเซ็ง ผมโทรไปหาให้กาน บอกมันว่ามันนี้ผมออกไปไม่ได้ แล้วดูสิ่งที่มันตอบกลับมานะ กวนตีนฉิบหาย “น้องพัชก็อย่าดื้อกับคุณแม่สิ” หัวเราะเยาะใส่ผมกันซะงั้น สงสัยแม่งเปิดลำโพงด้วย เพราะผมได้ยินเสียงหัวเราะของพวกมันทุกคน “กูไม่ได้ดื้อ” “ฮ่าๆๆ งั้นก็เป็นเด็กดีดูดนมแม่ก่อนนอนไปแล้วกันมึง” “ไอ้เหี้ย แค่นี้แหละ หงุดหงิดฉิบหาย” ผมโยนโทรศัพท์ไปบนเตียงมั่วซั่ว ถอนหายใจทิ้งเฮือกใหญ่ แล้วหลับตาลง ไม่ได้ทำอะไรแต่ก็รู้สึกเหนื่อย ถ้าเป็นปกติผมคงจะไม่สนใจแล้วก็เดินออกจากบ้านไป แต่ว่านี่ไม่ใช่บ้านผม นี่เพิ่งจะวันแรกที่ผมได้มาอยู่ที่นี่ ครืดๆ เสียงโทรศัพท์สั่น ผมคว้าหยิบขึ้นมาดู คนที่ส่งมาก็เป็นคนที่สนับสนุนให้ผมมาอยู่ที่นี่ MuePrab : เป็นไงบ้าง วันแรกกับบ้านใหม่ ผมอ่านและก็ทำได้แค่จ้องข้อความของพี่ปราบอยู่นานสองนานก่อนจะตอบ Patcharakan :ก็ดีครับ  ซะที่ไหนล่ะ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD