[ซ่า]
“ซ่า ลุกขึ้นไปอาบน้ำก่อน” เสียงพี่ปราบเรียกให้ผมลุกออกจากที่นอนของเขา แต่ผมไม่มีแรงแม้แต่จะทำอะไร
“อื้อ...” ผมร้องขัดใจในลำคอเมื่อถูกมือใหญ่ดึงให้ลุกขึ้นจากเตียง ผมที่ทรงตัวไม่ได้ก็โอนเอนไปมาเป็นตุ๊กตาล้มลุก
“ถ้าจะไม่อาบน้ำ กูจะให้นอนนอกห้องบนพื้น”
“นอนโซฟาได้ไหม” ผมไม่ไหวแล้ว ผมต้องการหลับและหลับอย่างเดียว ไม่นอนเตียงไม่เป็นไร
“ไม่ได้ กูไม่ชอบคนสกปรก ถ้าไม่อยากนอนพื้นก็ลุกไปอาบน้ำ” พี่ปราบพูดเสียงเขียว ขนาดมองอะไรไม่ค่อยชัดผมยังเห็นว่าเขากำลังทำหน้าโหดอย่างกับยักษ์วัดแจ้ง
เพราะไม่อยากนอนพื้นเย็นๆ แถมที่นี่ก็ไม่ใช่หอตัวเองหรือที่บ้าน ผมก็เลยต้องจำใจลุกขึ้นจากเตียงลากสังขารไปอาบน้ำ แต่ว่า...ห้องน้ำอยู่ไหน
“นี่แปรงสีฟัน ผ้าขนหนูกับชุดนอน ห้องน้ำอยู่นี่ เข้าไปอาบซะ” พี่ปราบส่งของที่ผมจำเป็นต้องใช้มาให้ แล้วจับต้นแขนผมลากพาไปทางห้องน้ำที่อยู่ในห้องนอนนั่นแหละ
ผมทำอะไรด้วยความมึนงง แปรงฟันทั้งที่ตายังหลับไม่กี่ทีแค่พอเป็นพิธี ถอดเสื้อผ้าได้ผมก็พุ่งไปหาฝักบัว เปิดน้ำให้ไหลผ่านร่างกาย คว้าขวดอะไรที่วางไว้ได้ก็เอามาถูตัวลวกๆ แล้วล้างน้ำออกเป็นอันเสร็จ พอร่างกายได้เจอน้ำเย็นๆ ก็รู้สึกสร่างเมาขึ้น ผมเช็ดตัวใส่ชุดนอนของพี่ปราบเสร็จก็เดินออกจากห้องน้ำ
“เสร็จแล้วก็ไปนอนเลย” พี่ปราบบอก ก่อนจะเดินเข้าไปอาบน้ำบ้าง ผมมองเตียงหลังกว้างก่อนจะมองรอบๆ ห้อง อย่างหรู คงจะแพงน่าดู
แต่ถึงแม้ว่าเตียงจะกว้างขนาดไหน แต่ผมก็เบียดตัวเองชิดริมเตียง ไม่ให้เกะกะเจ้าของห้อง จากนั้นก็หลับตานอนอย่างสบายตัวสบายใจ
ตื่นเช้ามาเพราะถูกเจ้าของห้องปลุก ผมจำได้ว่าวันนี้วันเสาร์และผมไม่มีเรียน ไม่มีความจำเป็นต้องตื่นตอนนี้
“พี่ปราบ ผมง่วง” ผมพูด ไม่ยอมลืมตา
“มึงจะนอนกูไม่ว่านะซ่า เอามือกับขาออกไปจากตัวกูก่อน กูจะไปอาบน้ำ”
พี่ปราบพูดจบผมก็ลืมตามองทันที ก่อนจะรีบเก็บขาเก็บแข้งของตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง ผมว่าเมื่อคืนผมก็นอนชิดริมเตียงแล้วนะ แต่ตอนนี้ผมวาดตัวเองกินพื้นที่เตียงเกินครึ่ง หนำซ้ำยังเกยขึ้นไปอยู่บนตัวพี่ปราบอีกด้วย
“โทษทีพี่ ผมเป็นคนนอนดิ้นอะ” ผมพูดเสียงเบาด้วยความรู้สึกผิด
“เออ ไม่บอกก็รู้ มาหมดทั้งศอกทั้งขา” พี่ปราบบ่น ก่อนจะลุกไปเข้าห้องน้ำ
ผมอยากจะนอนต่อแต่ก็คงนอนไม่หลับแล้ว เลยคิดว่ากลับบ้านเลยดีกว่า รอจนพี่ปราบอาบน้ำเสร็จ ผมก็เข้าไปล้างหน้าล้างตาแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับเป็นชุดเดิม
“พี่ปราบ ผมกลับก่อนนะ แล้วก็ขอบคุณมากที่ให้ผมนอนค้างด้วยเมื่อคืน” ผมยกมือไหว้ขอบคุณ
“รอกินข้าวก่อนสิ เดี๋ยวไปส่ง” พี่ปราบพูด ผมที่เริ่มหิวแล้วก็เลยไม่ขัด ไม่ค่อยมีเท่าไหร่ความเกรงใจ ยังไงก็คิดว่าเริ่มสนิทกันแล้ว
ผมเดินตามหลังพี่ปราบเข้าไปในพื้นที่สำหรับทำครัว ผมทำกับข้าวไม่เป็น ทำได้แค่ทอดไข่ต้มมาม่า ทอดไก่และไส้กรอกพอได้ แต่อะไรที่ยุ่งยากมากกว่านี้ผมไม่สามารถ
แต่ดูเหมือนว่าผู้ชายร่างสูงตรงหน้าจะมีฝีมือในการทำกับข้าวเข้าขั้นเป็นพ่อครัวได้ พี่ปราบดูคล่องแคล่วยามหยิบจับหั่นของ ทำทุกอย่างด้วยความว่องไวมาก ผมมองตามเพลินๆ รู้ตัวอีกทีข้าวผัดกุ้งสีเหลืองหอมฉุยกับต้มจืดเต้าหู้ง่ายๆ ก็เสร็จพร้อมกิน
“มานั่งสิ” พี่ปราบพยักหน้าให้ผมนั่งลงที่โต๊ะกินข้าว
ผมนั่งลงฝั่งตรงข้าม ก้มลงดมกลิ่นข้าวผัด แค่กลิ่นยังรู้สึกได้เลยว่าต้องอร่อยมากแน่ๆ ผมไม่รอช้าตักข้าวคำใหญ่เข้าปากทันที
“อืม อร่อยอะพี่” ผมชมทั้งที่ข้าวยังเต็มปาก
“อร่อยก็กินเยอะๆ” พี่ปราบพูดยิ้มๆ ผมยิ้มกว้างตอบแล้วก้มลงกินข้าวและต้มจืดจนหมด จากนั้นก็อาสาล้างจานให้เป็นการตอบแทน
“เดี๋ยวกูไปส่งแล้วกัน” พี่ปราบพูดขณะเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์มือถือ และกุญแจรถ
“ไม่เป็นไรพี่ ผมกลับเองได้” ผมรีบปฏิเสธ แค่นี้ก็รบกวนเขามากแล้ว และผมก็ไม่ใช่เด็กๆ หรือผู้หญิง ไม่จำเป็นต้องให้ผู้ใหญ่ไปส่งหรอก
“กูจะออกไปทำธุระพอดี ไปด้วยกันน่ะดีแล้ว”
ในเมื่อพี่เขาว่ามาแบบนั้นผมก็เลิกปฏิเสธแล้วเดินตามพี่ปราบไปที่ลานจอดรถ มองรถพี่ปราบทีไรก็ขนลุกทุกที ไม่ใช่อะไร คือรถสวยหรูดูเท่ พูดได้เลยว่าผมโคตรชอบ ได้นั่งอีกครั้งถือเป็นบุญตูดมาก
พอเข้ามานั่งในรถผมก็บอกพิกัดบ้านของตัวเองทันที พี่ปราบพยักหน้าเข้าใจแล้วก็เริ่มขับรถออกจากคอนโด ในรถมีเพลงสากลคลอเบาๆ ผมฟังไม่เข้าใจ ได้แต่เคาะนิ้วตามจังหวะเพลง
“เมื่อคืนมึงบอกว่าเพื่อนให้ออกจากหอ” พี่ปราบเริ่มชวนคุย และเป็นเรื่องที่ผมลืมไปชั่วขณะ โดนสะกิดอีกทีก็เริ่มรู้สึกเครียดขึ้นมา
“อืม ครับ” ผมตอบเบาๆ ในลำคอ
“แล้วจะเอายังไง” พี่ปราบถามต่อ ผมหันไปมองหน้าพี่เขาก่อนจะตอบ
“ก็คงหาหอใหม่”
“บ้านมึงก็อยู่ไม่ไกลจากวิทยาลัยไม่ใช่เหรอซ่า ทำไมมึงไม่กลับไปอยู่บ้าน” พี่ปราบขมวดคิ้วถาม
“ผมอยากอยู่ข้างนอก” นี่คือเหตุผลของผม
“แล้วมึงมีเงินไปเช่าหอใหม่อยู่คนเดียวหรือไง”
บอกตามตรงเลยนะว่าผมรู้สึกว่าเสียงของพี่ปราบดุตลอดเวลา มันทำให้ผมรู้สึกเกรงและกลัว ดูมีอำนาจให้ต้องทำตามแบบบอกไม่ถูก
“ไม่มี” เงินจะกินผมยังไม่มีเลยตอนนี้ จะไปหาเงินจากไหนมาจ่ายค่ามัดจำหอใหม่
“...” พี่ปราบเงียบไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่เขาละสายตาจากถนนมองหน้าผมเป็นระยะ
“ผมคงกลับไปอยู่บ้านสักพักจนกว่าจะหาหอใหม่และคนมาแชร์ได้” ผมพูดต่อ
“ไม่อยากอยู่บ้านเหรอ” พี่ปราบหันมาถามแทบทั้งตัวเมื่อรถติดไฟแดง
ผมหลุบตาต่ำ ไม่กล้าสบตาดวงตาคมๆ ก่อนจะหันออกไปนอกกระจก กลืนน้ำลายลงคอก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงขึ้นเล็กน้อย
“ผมเป็นเด็กวัยรุ่นนี่พี่ ก็อยากอยู่ข้างนอกเป็นธรรมดา แบบว่ามันมีอิสระดีไง พี่ไม่ชอบเหรอ พี่ยังออกมาอยู่คอนโดเลย”
“เมื่อคืนกูนอนคอนโดเป็นครั้งที่สามในรอบเดือนนี้” พี่ปราบพูด
ผมหันไปมองหน้าเขางงๆ งั้นก็หมายความว่าพี่ปราบไม่ได้นอนคอนโดถาวรเหรอ
“ในเมื่อมึงก็ไม่ได้อยู่กินกับแฟน กลับไปอยู่บ้านเถอะ ไม่เปลืองเงินด้วย ข้าวก็มีให้กินฟรี นี่คือสิ่งที่กูจะแนะนำได้นะ”
“...”
“มึงโตแล้วซ่า กูเชื่อว่ามึงเข้าใจที่กูพูด”
“ผม...” ‘ผมไม่อยากกลับไปอยู่ที่บ้าน’ นี่คือสิ่งที่อยู่ในใจ แต่ไม่คิดจะพูดออกไป
ผมให้พี่ปราบส่งผมที่ปากซอยบ้าน ไม่ลืมขอบคุณพี่ปราบอีกครั้ง ก่อนจากพี่ปราบขอเบอร์ผมไว้แล้วก็โทรเข้าโทรศัพท์ผมเป็นการแลกเบอร์กัน เขาบอกว่าหากมีปัญหาอะไรก็โทรหาได้ทุกเมื่อ แต่ผมไม่รู้ว่าผมจะได้โทรหาเขาหรือเปล่า
ผมเดินเข้าซอยไปเรื่อยๆ แดดช่วงเที่ยงร้อนได้ใจ ไม่ถึงสิบนาทีเหงื่อก็ออกท่วมตัว กลับมาถึงบ้านยังไม่ทันได้กินน้ำหรือเข้าบ้าน พ่อก็เรียกให้ผมไปช่วยงาน
“ซ่า มาช่วยพ่อยกกระสอบนี่ขึ้นรถสิ” พ่อพูด พ่อแก่มากแล้วแต่ยังคงต้องทำงานเพราะคนอื่นๆ ในบ้านไม่คิดจะทำ
ผมหยุดเท้าที่กำลังจะเดินเข้าบ้านไปที่โกดังเก็บของแทน บ้านผมเปิดกิจการรับซื้อของเก่า นอกจากรับซื้อแล้วยังไปประมูลสินค้าจากโรงงานที่ต้องการทำลายทิ้ง หากประมูลชนะก็ได้งานมาทำ เอาของมาชำแหละขายแยกประเภท กระดาษ พลาสติก เหล็ก ทองแดง อะไรพวกนี้
ผมช่วยพ่อยกกระสอบกระดาษทั้งหมดยี่สิบกว่ากระสอบขึ้นรถ พ่อกับน้าตั้มก็ขับรถเอาของไปขายที่โรงงาน ผมยืนมองตามหลังรถหกล้อก่อนจะถอนหายใจด้วยความเหนื่อย ตอนขนของขึ้นรถเหนื่อยแทบตาย แต่น้าตั้มไม่โผล่หัวมาช่วยสักนิด แต่ตอนจะเอาไปขายนี่รีบกระโดดขึ้นรถเชียว เชื่อได้เลยว่างานไม่ทำแต่ได้เงินส่วนแบ่งเต็มๆ
น้าตั้มคือน้องชายพี่แนน แม่มีลูกสี่คน คนโตผู้หญิงชื่อพี่หญิง คนที่สองก็คือพี่แนนเป็นแม่แท้ๆ ของผม คนที่สามก็น้าตั้ม คนสุดท้ายก็ไอ้มิว
ใครๆ ก็บอกว่าแม่รักลูกผู้ชาย ดูได้จากที่น้าตั้มไม่ต้องทำงานแต่ได้ส่วนแบ่งทุกครั้ง หรือทำงานแค่นิดเดียวก็ได้เงินแล้ว ส่วนไอ้มิวไม่ต้องพูดถึง เคยทำห่าอะไรบ้าง แค่ว่ามันดูรักเรียนมากกว่าใครในครอบครัวหน่อย แม่ก็ปล่อยให้มันใช้ชีวิตอย่างสบาย งานบ้านแทบไม่เคยแตะ ถ้าผมกลับบ้านผมก็ทำทุกครั้ง แต่ถ้าผมไม่อยู่แม่กับพ่อก็ต้องทำกันเอง
ทำงานเสร็จผมก็เดินก้มหน้ากลับบ้าน รีบอาบน้ำแล้วขึ้นห้องไปนอนพักเอาแรง แต่นอนได้ไม่เท่าไหร่แม่ก็ตะโกนเรียกให้ผมลงไปช่วยงาน
“ซ่าไปดูดิว่าเขาเอาอะไรมาขาย” แม่บอก คนที่เอาของมาขายคือคนที่มาขายของเก่านั่นแหละ
“ทำไมแม่ไม่ใช้ไอ้มิวล่ะ” ผมถาม ไอ้มิวก็นอนดูโทรทัศน์ไม่ได้ทำอะไร แต่มาเรียกผมที่นอนอยู่บนห้องแทน
“แม่ใช้มึงไม่ได้ใช้กู อย่ามาโยน” ไอ้มิวเถียงกลับมาไม่ยอมทำ แม่งไม่เคยทำอะไรสักอย่างทั้งๆ ที่ก็โตเป็นควาย อายุน้อยกว่าผมแค่สองปี
“มึงจะตีกันทำไม กูบอกให้ไปทำก็ไปทำสิไอ้ซ่า” แม่ว่า ผมเลยส่ายหัวเดินออกจากบ้านไปที่โกดังอีกครั้ง หยิบของขึ้นตาชั่งด้วยความเซ็งสุดขีด พอจัดการงานตรงนี้เสร็จแม่ก็ใช้ให้ผมซักผ้าต่อ ผมด่าไอ้มิวจากนั้นแม่ก็ด่าผมต่อ
ดีอะไรอย่างนี้
ผมมองหน้าไอ้มิวที่ทำลอยหน้าลอยตา ก่อนจะไปซักผ้าตามที่แม่สั่ง ไม่เท่านั้นผมยังต้องกรอกน้ำ ล้างจานอีก เรียกได้ว่าไม่ได้พักเลยจนกระทั่งเย็น
หน้าที่ของไอ้มิวเท่าที่ผมเห็นคือไปซื้อกับข้าว แม่ควักเงินให้มันไปสองร้อย เชื่อไหมว่าเงินนั้นไม่เคยเหลือกลับมาคืนแม่ เพราะมันงุบงิบเงินที่เหลือตลอด
“ไอ้มิว ซื้อขนมจีบมาให้กูด้วย” ผมตะโกนบอกตอนที่มันกำลังสตาร์ตรถมอเตอร์ไซค์
“เรื่อง!”
ผมกัดฟัน “กูอยากกินไอ้สัด ซื้อมาให้กูด้วย”
“กูไม่ซื้อ อยากกินไปซื้อเอง”
“แม่ ดูมันดิ” ผมหันไปฟ้องแม่
“อย่ามายุ่งกับกู กูยิ่งหงุดหงิดอยู่” แม่ด่าเสียงดัง ผมหน้าบึ้งใส่
“ถ้ามึงไม่ซื้อมาให้กูนะ มึงเจอดี” ผมชี้หน้าไอ้มิว
“แม่ให้เงินมาไม่พอ”
“พอ!”
“เฮ้ย พวกมึงเลิกตีกันได้ไหม ไอ้มิวไปซื้อกับข้าว ส่วนมึงไอ้ซ่า หุบปากบ้างเหอะ กลับมาทีไรต้องตีกับไอ้มิวให้กูปวดหัวทุกที”
ศึกระหว่างผมกับไอ้มิวหยุดลงทันที ไอ้มิวขับรถไปตลาดนัด ผมยืนนิ่งอยู่กับที่ ก่อนจะเดินออกไปหาเพื่อนที่อยู่ในซอยเดียวกัน
“มึง ขอบุหรี่ตัวดิ” ผมบอกไอ้เกมส์ มันล้วงในกระเป๋าส่งให้ผม
“คราวหน้าใช้คืนกูด้วย” มันบอก
“เออ รู้แล้วหน้า กูมีเงินเดี๋ยวกูซื้อมาคืนทั้งซองเลยแม่ง” ผมบ่น นั่งยองๆ ลงข้างมันแล้วเริ่มอัดบุหรี่เข้าปอด
“คืนนี้พวกกูจะไปเดินตลาดนัดรถไฟ ไปด้วยกันไหม” ไอ้เกมส์ชวน
“ไม่มีเงินว่ะ” ทั้งเนื้อทั้งตัวผมเหลืออยู่สามร้อยบาท กว่าเงินเดือนจะออกก็อีกหลายวัน ช่วงนี้เป็นไปได้ไม่อยากใช้เงิน
“มึงก็ขอแม่มึงสิไอ้นี่”
“กูขี้เกียจฟังเขาบ่น”
“เขาก็บ่นอยู่แล้วเปล่าวะแม่มึงอะ บ่นได้ทุกอย่าง เมื่อวานกูขี่รถผ่านหน้าบ้านมึงเข้าไปบ้านไอ้เอ็มเขายังด่ากูเลย หาว่ากูขี่รถเพ่นพ่านสร้างความรำคาญ เชื่อเขาเลย คนแก่นี่ขี้บ่นเนอะมึงว่าไหม”
“เออ”
แม่ผมแก่แล้ว อารมณ์คนวัยทอง สามนาทีดีหลังจากนั้นก็ด่าเรียบ โดนกันถ้วนหน้าตั้งแต่คนในบ้านรวมไปถึงคนในซอย บางครั้งแม่ก็พูดดี แต่บางครั้งก็ด่าซะใครเข้าหน้าไม่ติด
“สรุปไปไม่ไป”
“กูดูก่อน ขอเงินได้ก็ไป ขอไม่ได้ก็ไม่ไป”
ผมนั่งดูดบุหรี่จนหมดมวน เห็นไอ้มิวขี่รถกลับเข้ามาในซอยก็ตะโกนถามหาขนมจีบที่ผมฝากมันซื้อ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กินเพราะมันไม่ซื้อให้ผมจริงๆ ขัดใจฉิบหาย ผมนั่งสงบจิตสงบใจอยู่ครู่ใหญ่ ขืนกลับบ้านไปตีกับไอ้มิวผมก็ได้โดนด่าอีก แถมขอเงินก็คงจะไม่ได้
ทำไงได้ ผมมันไม่ใช่ลูกรักลูกชายคนโปรดนี่
หลังกินข้าวเย็นเสร็จ ผมก็นั่งดูทีวีอยู่ข้างๆ แม่ มีไอ้มิวบีบนวดขาให้แม่อยู่ สักพักก็มีเสียงคนมาเรียก ไม่ใช่ใครที่ไหน ไอ้เกมส์นั่นเอง
“พวกกูจะไปแล้วนะมึง” มันคงมาตามให้ผมออกไปตลาดนัดรถไฟด้วยกัน
“แป๊บหนึ่ง” ผมบอก เดินเข้าไปหาแม่
“แม่ ขอตังค์หน่อยดิ ไม่มีตังค์เลยอะ”
“จะไปไหน” แม่ถาม ตาดูทีวีไม่ขยับ
“ไปตลาดนัดรถไฟ”
“กูไม่มีหรอก มึงทำงานแล้วไม่มีเงินเลยเหรอไงไอ้ซ่า” แม่หันมามองหน้าผม
“มันไม่พอนี่แม่” ผมเข้าไปอ้อนบีบๆ นวดๆ”
“เอาไปกินเหล้าซื้อบุหรี่หมดนะสิมึงน่ะ” แม่ตวัดตามองค้อนผม ก่อนจะใช้ให้ไอ้มิวไปหยิบกระเป๋าเงินในห้องนอนที่อยู่ชั้นล่างมาให้
“จะเอาเท่าไหร่”
“ร้อยหนึ่งก็ได้” ผมบอก พอโดนด่าก็ไม่อยากขอเยอะให้โดนด่ามากไปกว่านี้ แค่ค่ารถก็พอ คงไม่ซื้ออะไรอยู่แล้ว
“ไม่พ้นกูเลยสักคน เอาไป” แม่หยิบเงินมาให้ผมร้อยหนึ่ง ผมรับมาแล้วยกมือไหว้ แล้วก็ออกจากบ้าน ระหว่างเดินไปขึ้นรถ ผมก้มมองเงินในมือที่ถูกกำจนยับย่นด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
ผมเกลียดอะไรบางอย่างที่กำลังถ่วงอยู่ในอกจนหายใจไม่ออก
ผ่านมาสองสามวัน ในที่สุดผมก็ต้องย้ายของออกจากหอ ไอ้กฤษช่วยผมเก็บของและขนกระเป๋าที่มีแค่สองใบลงมาข้างล่าง ข้าวของผมมีไม่เยอะ ใบหนึ่งเสื้อผ้า อีกใบเป็นหนังสือเรียน
“ขอบใจนะมึงที่เข้าใจกู เดี๋ยววันนี้ตอนเย็นแฟนกูก็คงขนของเข้ามาเลย” ไอ้กฤษพูด ใบหน้าไม่ปกปิดความดีใจ
ผมโคลงหัวเบาๆ “ไม่เป็นไร กูไปละ”
“อืม เจอกันที่วิทยาลัยพรุ่งนี้นะมึง”
“เออ”
ผมสะพายกระเป๋าเป้ไว้ข้างหลัง ส่วนกระเป๋าอีกใบก็รัดเชือกไว้กับเบาะรถมอเตอร์ไซค์ ผมขี่รถตรงกลับบ้าน มาถึงก็เจอพี่แนนนั่งคุยกับแม่อยู่หน้าบ้าน ผมยังไม่ได้บอกใครเรื่องที่ผมจะย้ายกลับมาอยู่บ้าน กะว่าจะมาบอกวันนี้ทีเดียว
“ไปไหนมาซ่า” พี่แนนถาม “แล้วนั่นขนอะไรมา”
ผมยกมือไหว้ทั้งๆ ที่ยังหิ้วของอยู่ในมือ “ของของผมอะ เอากลับมาจากหอ”
“ไม่อยู่หอแล้วเหรอ” แม่ถาม
“เพื่อนมันจะพาแฟนมาอยู่ด้วยน่ะ ผมเลยต้องย้ายออก”
“อ้าว ทำไมงั้นอะ” พี่แนนอุทาน ผมเกิดความสงสัยว่าทำไมจะต้องทำท่าแบบนี้ เหมือนไม่ดีใจที่ผมกลับมาอยู่บ้าน
“มึงไม่พามันไปอยู่ที่บ้านด้วยล่ะ ห้องเหลือไม่ใช่เหรอไง” แม่หันไปพูดกับพี่แนน
“ไม่เอาอะ จะอยู่บ้าน” ผมรีบปฏิเสธทันควัน ขนาดบ้านหลังนี้ผมยังไม่อยากอยู่ นับประสาอะไรกับบ้านพี่แนน เขาอยู่กับแฟนใหม่เขาซึ่งไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของผม พ่อที่ทำให้ผมเกิดมาตายไปนานแล้วตั้งแต่ผมยังจำความไม่ได้
“รีบปฏิเสธเลยนะ ไหนๆ เพื่อนก็ไม่ให้อยู่หอแล้ว ของไม่ต้องเอาไปเก็บ เดี๋ยวไปอยู่กับแม่เลย” พี่แนนว่า ผมส่ายหน้าหวือ
“ไม่เอาพี่แนน จะอยู่ที่นี่”
“ไม่ต้องเลย อยู่ที่นี่เอ็งก็ดีแต่ทำให้แม่ปวดหัวเพราะออกไปกับไอ้พวกเด็กแถวนี้ ขี้ยาทั้งนั้น ไหนเอ็งยังชอบตีกับไอ้มิวให้แม่เครียดอีก” พี่แนนบ่นยกใหญ่พร้อมกับเอ่ยปากบังคับ
“ความผิดผมคนเดียวที่ไหนล่ะ” ผมย้อน
“เอ็งไม่ต้องเถียงได้ไหม”
“ไม่เอาอะ ผมไม่ไป” ผมเริ่มรู้สึกแย่ที่พี่แนนพยายามจะให้ผมไปอยู่ที่บ้านด้วย แถมยังพูดเหมือนผมเป็นตัวปัญหาของบ้านนี้งั้นแหละ ทั้งๆ ที่งานผมก็ทำ อะไรๆ ผมก็ทำ แต่แม่งไม่มีดี
นอกจากนั้นผมไม่ชอบไปอยู่กับคนที่ไม่สนิทใจ ผมไม่ใช่คนสันดานดี จะให้ผมไปอยู่กับพี่แนนที่จุกจิกจู้จี้ อยู่กับพี่เบิร์ดแฟนของพี่แนนน่ะ ไม่เอาด้วยหรอก เขาอารมณ์ร้อนและบ้าบอจนผมไม่อยากไปอยู่ร่วมชายคาบ้าน คิดว่าผมไปอยู่แล้วเขาจะไม่ไล่ผมกลับมาเหรอ
“ใจเย็นๆ ให้มันอยู่ที่นี่ก่อนสักสองสามวันแล้วค่อยให้ย้ายไป”
“แม่!” ผมเรียกแม่เสียงดังที่แม่เห็นดีเห็นงามกับพี่แนน ถึงจะไม่ได้ไล่ให้ไปปุบปับก็เถอะ
“เอางั้นก็ได้แม่ ไปๆ เอาของไปเก็บได้แล้วไป”
ผมคว้ากระเป๋าสองใบได้ก็กระแทกเท้าเข้าบ้านด้วยความหงุดหงิด ได้ยินเสียงแม่กับพี่แนนบ่นตามหลังมา ถ้ามือทั้งสองข้างว่างผมจะยกขึ้นมาอุดหูให้รู้แล้วรู้รอด ตอนขอไปอยู่หอก็ค้านไม่ให้ไป พอกลับมาอยู่บ้านก็ไล่ให้ไปอยู่ที่อื่น ชีวิตกูนี่ดีอะไรอย่างนี้
ผมโยนกระเป๋าสองใบลงบนเตียง ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนตามไปติดๆ หลับตาแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลช้าๆ
ครืดๆๆ
โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงยีนส์สั่นแจ้งเตือนว่ามีคนโทรเข้า ผมปาดน้ำตาออกจากแก้มก่อนจะล้วงโทรศัพท์ออกมาดูว่าใครโทรมา
‘พี่ปราบ’
ผมชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่ สายเกือบจะตัดไปแล้วแต่ผมกดรับเสียก่อน
“รับช้านะมึง ทำอะไรอยู่” พี่ปราบถามเสียงนิ่งๆ ไม่บ่งบอกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน ตั้งแต่วันที่เขามาส่งที่บ้าน นี่เพิ่งจะได้ติดต่อกัน
“นอน” ผมตอบสั้นๆ เพราะรู้ว่าเสียงตัวเองไม่ปกตินัก ปลายสายเงียบไปแป๊บหนึ่ง
“เป็นอะไรหรือเปล่า เสียงมึงฟังดูแย่ๆ”
ผมอึ้ง ทำไมพี่ปราบถึงรู้ ผมพูดแค่คำว่านอนคำเดียว ไม่คิดว่าเสียงแค่นั้นจะทำให้เขาจับความผิดปกติได้
“เปล่า” ผมเลือกจะตอบสั้นๆ อีกครั้ง แสร้งพูดให้ปกติที่สุด
“แน่ใจ”
“อืม”
“แต่กูไม่เชื่อว่ะ”
“...” แล้วทำไงถึงจะเชื่อ
“แต่กูว่ามึงมีเรื่องไม่สบายใจแน่ๆ”
“...” ผมยังคงเงียบ
พี่ปราบอาจพูดถูกอยู่หน่อยว่าผมมีเรื่องไม่สบายใจ เพราะที่มากกว่านั้นคือผมทั้งเสียใจ น้อยใจ และโมโห โกรธจนอยากจะอาละวาดให้บ้านพัง ผมถึงไม่อยากไปอยู่กับพี่แนนไง ผมอยู่นี่เวลาผมหงุดหงิด ผมโวยวาย ผมระบาย แต่ถ้าต้องไปอยู่ที่นั่นผมคงเก็บกดจนอกแตกตาย
ผมเสียใจที่ตัวเองกำลังถูกโยนไปโยนมาเพราะไม่มีใครต้องการ
ผมได้ยินเสียงถอนหายใจจากปลายสาย
“ซ่า มีอะไรเล่าให้พี่ฟังได้นะ”
“...” ผมไม่ได้พูด เพราะไม่รู้ว่าควรพูดอะไร มันพูดไม่ออก แต่จะเปล่งเสียงยังยาก
“อยากให้พี่ไปรับที่บ้านไหม” พี่ปราบถาม น้ำเสียงของเขาไม่ดุเหมือนทุกครั้ง มันเบาลงจากปกติ ทั้งทุ้มและนุ่มนวล
“พี่...” ผมเรียกเขาเสียงเริ่มสั่น
“ว่าไง”
ผมกลืนก้อนสะอื้นลงคอก่อนจะพูด “มารับผมหน่อย”
“อืม รอนะ เดี๋ยวไปรับ”