เที่ยวลั้นลากับเพื่อนมาทั้งวันได้รูปมาลงเพจเพียบ! ขวัญเปิดเพจรีวิวที่รีวิวทุกสิ่งอย่าง ของใช้ของกินสถานที่เที่ยว แล้วแต่ว่าช่วงนั้นมีอะไรที่ถูกใจเป็นพิเศษหรือเปล่า เธอไม่ได้แบกกล้องไปถ่ายแบบนักรีวิวคนอื่น เธอใช้เพียงสมาร์ตโฟนเครื่องเดียวในการถ่าย ปัจจุบันมีคนติดตามแตะหนึ่งแสนราย รายได้ของเธอมาจากการที่เจ้าของกิจการต่าง ๆ ให้เธอไปรีวิวให้ เธอไม่ได้รับบ่อยนักเดือนหนึ่งจะรับแค่สองสามงานให้พอมีรายได้มาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
กลับถึงคอนโดที่แม่ซื้อไว้ให้ตั้งแต่สมัยเรียน รีบเปิดโน้ตบุ๊กและจัดการแต่งภาพที่ได้ถ่ายมา ชื่อคอนเทนต์อะไรดีน้า…หญิงสาวเคาะคีย์บอร์ดแล้วลบวนไปวนมาอยู่อย่างนั้น กระทั่งมีผู้มาเยือน
ออด ออด
ขวัญลุกไปส่องดูพบว่าคนที่มาหาคือคนที่ซื้อห้องนี้ เธอเปิดประตูออกกว้างแล้วมองมารดาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม แต่ปากดันไม่กล้าที่จะเอื้อนเอ่ยอะไรออกมาเสียดื้อ ๆ ก็ดูหน้าแม่สิ ตึงขนาดนั้นไม่รู้ว่าไม่พอใจหรือเป็นเพราะเพิ่งฉีดโบท็อกซ์มา
ดวงตาเรียวย้ายไปมองยังพี่สาวพี่ชายที่ทำหน้ากระอักกระอ่วนอย่างกับปวดอึแต่ไม่กล้าขอเข้าห้องน้ำ เธอเลยชี้ไปยังสถานที่ระบายทุกข์ พวกเขาสองคนจะได้เลิกทำหน้าอย่างนี้สักที ทว่า…กลับโดนถลึงตาใส่เสียงั้น
“ตอนนี้ทำงานที่ไหน” แม่แขตั้งคำถาม สายตาจับจ้องมายังใบหน้าของลูกสาวคนเล็ก
“ทำงานอิสระอะแม่”
“อิสระขนาดไหน ขนาดที่ไม่มีใครจ้างเลยหรือเปล่า”
“แม่ก็พูดไป…คนอยากจ้างขวัญเยอะแยะ แต่ขวัญไม่รับ” ขวัญทิ้งสะโพกลงที่โซฟาแล้วคว้าหมอนอิงมาวางที่ตัก เท้าคางดูโทรทัศน์แล้วกดหาช่องที่ถูกใจ
“มีแฟนหรือยัง”
“ยังเลยแม่”
“เสาร์นี้ไปกินข้าวกับเพื่อนแม่นะ”
จากที่ไม่ได้ใส่ใจกับคำถามของแม่นักก็ต้องหันขวับมาเบิกตาโตเท่าไข่ห่าน ก่อนจะส่ายศีรษะรัว ๆ ปฏิเสธว่าไม่ไป…ไม่ไปเด็ดขาด!
“อะไรนักหนาเนี่ยขวัญ ไม่มีปัญญาหาแฟนเอง แม่ก็หาให้นี่ไง”
จี๊ดเลย คำพูดของแม่ไม่ต่างอะไรกับการเอาหอกแหลม ๆ มาจี้ใจเธอ ถ้านางขวัญคนนี้ไม่เล่นตัว บอกเลยว่าหัวกระไดไม่แห้งแน่นอน!
“ไม่เอา เพื่อนแม่มีแต่แก่ ๆ แม่จะหาเพื่อนตำหมากก็บอกมาเหอะ”
“ยายขวัญ!” แม่แขแผดเสียงหลง ไม่รู้นางลูกคนนี้มันคิดอะไรอยู่ “แม่ไม่ได้ให้ขวัญไปดูตัวเพื่อนแม่ แม่ให้ขวัญไปดูตัวลูกชายเขา”
“ก็แม่ไม่พูดให้ครบ” ขวัญเหลือบตามองไปทางพี่สาวพี่ชายที่นั่งหัวเราะอยู่ที่โต๊ะอาหาร “มาทำไมอะ มาแล้วก็ไม่ได้ช่วยน้องเลย”
“พี่มาช่วยแม่” ขิมไหวไหล่อย่างกวน ๆ คนเป็นน้องเลยยู่หน้าใส่
“สรุปว่าเย็นวันเสาร์แม่จะเข้ามารับไปกินข้าวนะ ถ้าขวัญเบี้ยวนัด ขวัญก็เตรียมไปขอข้าววัดกินได้เลย”
คุณพระ! ถึงกับจะตัดหางลูกเลยหรือ ขวัญยกมือทาบอกแสร้งทำหน้าเศร้า ขู่กันขนาดนี้จะกล้าเบี้ยวได้ไงกัน ถึงแม้เธอจะไม่ได้ขอเงินทางบ้าน และพอจะมีหนทางเอาตัวรอดอยู่บ้าง เธอก็ไม่กล้าขัดใจแม่ เกรงว่าจะโกรธจนง้อยาก
เอ…หรือว่าที่ขอพรไปวันนี้จะเห็นผลทันตา ก็หวังว่าลูกชายของเพื่อนแม่จะมีความละม้ายคล้ายคลึงกับคนคนนั้น
“กรุณาแต่งหน้าแต่งตัวสวย ๆ ด้วย ถ้าไม่อย่างนั้น…”
“ค่าแม่” ขวัญส่งเสียงแหลมขัดขึ้น แม่ไม่ต้องขู่แล้ว ขวัญรู้แล้วน่า เดี๋ยวจะแต่งให้สวยเช้งเลยคอยดู
บ้านหลังใหญ่ของอดีตนักการเมืองท้องถิ่นช่างเงียบเชียบราวกับไม่มีคนอยู่ อุตส่าห์มาวันเสาร์คิดว่าจะเจอใครสักคนแต่ก็ไม่พบแม้แต่เงา
เจ้าของบ้านที่ไม่ค่อยมีอำนาจในบ้านนักก็ออกไปที่โชว์รูมรถของตนเองเขาบอกเธอเอาไว้แล้วแหละว่ามีเอกสารต้องเซ็นเห็นว่าอีกสักพักจะกลับมา ลูกชายคนเล็กก็คงไปอยู่บ้านเพื่อน รายนั้นโทรตามเดี๋ยวเดียวก็มาถึง ส่วนลูกชายคนโต…มันคงยังไม่ตื่นอีกเช่นเคย
คนที่มีอำนาจสูงสุดของบ้านแม้ตนจะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วก็ตามเคาะประตูสองสามทีแต่ไม่มีเสียงขานรับจากด้านใน จึงเปิดเข้าไปเองเสียเลย
แผ่นหลังกว้างบนเตียงขนาดคิงไซซ์ถูกฟาดลงไม่แรงนัก แต่ก็สามารถทำให้เจ้าของร่างสะดุ้งตื่นขึ้นมาได้
“แม่…มาทำไมแต่เช้าเนี่ย” เขาพลิกตัวนอนหงาย ปรับสายตารับกับแสงแดดที่คุณนายพรแกล้งเปิดม่านออกกว้าง ๆ รับความสว่างจ้า
“เช้าอะไรกันภูมินี่บ่ายสองแล้ว”
บ่ายสอง! ทำไมรู้สึกเหมือนเพิ่งนอนไปได้นิดเดียว แขนแกร่งเหยียดออกทั้งสองข้างยืดไปมา แล้วอ้าปากกว้างหาวหวอด ๆ
“นอนเช้าอีกล่ะสิ” แม่พรถามอย่างรู้ทัน ภูมิเป็นแบบนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนมหา’ลัย ไม่มีความรับผิดชอบ ใช้ชีวิตลอยไปลอยมาราวกับหาจุดหมายปลายทางของชีวิตไม่เจอ แม่พรกลุ้มใจไม่น้อยที่ลูกเป็นแบบนี้ ลูกชายของเพื่อน ๆ ต่างพากันมีธุรกิจ พากันสร้างเนื้อสร้างตัว และพากันสร้างครอบครัวแล้วทั้งนั้น แต่ดูลูกชายของเธอสิ…
“ไม่ถึงกับเช้า แค่เกือบ ๆ” เขานอนตีห้า แต่พระอาทิตย์ยังไม่มาแทนที่พระจันทร์ก็ยังไม่ถือว่าเช้า เรียกว่าเกือบก็พอ
“เมื่อไหร่แกจะเลิกเป็นแบบนี้ เรียนจบมาเกือบสี่ปี ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย”
“ทำไมจะไม่มีล่ะแม่ บ้านก็มีให้อยู่ รถก็มีให้ขับ ตังค์ก็มีให้ใช้ งานก็มีให้ทำ” ที่เขาว่ามานั้นมาจากพ่อล้วน ๆ พ่อของเขาหลังจากที่ไม่ได้เล่นการเมืองก็หันมาเปิดโชว์รูมขายรถแบรนด์ดังที่นนทบุรี บ้านหลังนี้ก็บ้านพ่อ เงินที่ใช้ก็เงินพ่อ รถที่ขับก็พ่อให้อีกนั่นแหละ
“งานมีให้ทำแล้วแกทำหรือเปล่า” แม่พรย้อนถาม ภูมิขมวดคิ้วราวกับใช้ความคิดที่มันซับซ้อน ทั้งที่เขาสามารถตอบได้ในทันทีว่าไม่! แต่คนที่เพิ่งสร่างเมาดันมัวแต่คิด เพราะในบางครั้งนึกสนุกก็โพสต์ขายรถจากเต็นท์เพื่อนสนิท แล้วดันขายได้ก็ได้เงินค่าตอบแทน แบบนั้นไม่รู้ว่าแม่พรจะนับเป็นงานหรือเปล่า
“แกไม่ได้ทำ!” คนเป็นแม่ตอบให้เอง แล้วพูดต่อ “เย็นนี้ออกไปกินข้าวกับพวกเพื่อนพ่อนะ แม่จะไปด้วย”
ภูมิส่ายหน้ารัว ๆ ว่าไม่ไป ไปกินข้าวกับเพื่อนพ่อนั่งกินไข่ต้มอยู่บ้านยังดีกว่า ไปนั่งฟังผู้ใหญ่คุยกัน…เบื่อตายชัก เพราะหัวข้อการคุยก็มีแต่เรื่องเงินเรื่องงาน
“ต้องไป! แกจะได้เลิกใช้ชีวิตโหล่ยโท่ยแบบนี้”
“ไปกินข้าวกับเพื่อนพ่อแล้วผมจะดีขึ้นยังไงอะ ให้ผมซึบซับเรื่องงานงี้เหรอ”
“เปล่า…แม่จะให้แกไปดูตัว ถ้าถูกใจก็จะได้สร้างครอบครัวกับน้องเขาเลย” ให้ภูมิสร้างครอบครัวไปเสียจะได้มีความรับผิดชอบและเป็นผู้เป็นคนเสียที
“แล้วถ้าไม่ถูกใจล่ะ” อันที่จริงภูมิสามารถบอกได้ทันทีว่าไม่ถูกใจ หากไม่ได้หาเองอย่างไรก็ไม่มีทางถูกใจเขาหรอก
“ก็ต้องแต่ง”
ฮะ! แล้วมันต่างกันอย่างไรเนี่ย ภูมิเกาหัวตัวเองแกรก ๆ เขาพยายามคิดหาทางหนีทีไล่แต่ก็ไร้หนทาง เพราะแม่ขังเขาไว้ในห้องไม่ให้ออกไปไหน ทางเดียวที่จะหนีได้คงต้องปีนฝ้าออกไป ทว่า…กลัวความสูง! อีกอย่างคือกลัวแม่ด่ายับหากเขารื้อฝ้าขนาดนั้น
เมื่อสมาชิกในบ้านพร้อมหน้าพร้อมตา ภีมก็ขึ้นมาตามให้เขาลงไปข้างล่าง ไอ้น้องชายคนนี้มันอมยิ้มตลอดเวลาคงจะสะใจที่เห็นพี่มันโดนคลุมถุงชน แต่ฝันไปเหอะว่าจะคลุมได้ เดี๋ยวจะถอดหัวหนีให้ดู!
“แกจะบ้าเหรอภูมิ แต่งตัวอะไรเนี่ย”
“ทำไมอะ ไม่หล่อเหรอแม่”
“แกแหกตาดูคนอื่นซิเขาแต่งตัวกันยังไง”
ภูมิกวาดตามองตามที่แม่บอก แต่ละคนแต่งตัวเนี้ยบมาก พ่อและภีมใส่ชุดที่โคตรสุภาพสวมสูทแต่ไม่ผูกเนกไท แม่ก็ใส่ชุดผ้าไหมสีน้ำผึ้ง ส่วนภูมินั้นเสื้อยืดสีดำกางเกงยีนสีซีดขาเดฟที่ขาดเป็นริ้ว ๆ เซ็ตผมให้ตั้งแหลม
ไปงานเดียวกันจริงเหรอวะ?
ภูมิรีบขึ้นไปเปลี่ยนใส่ให้เหมือนคนอื่น เอ…ถ้าเหมือนมันก็ไม่เด่นดิวะ เนกไทสักเส้นก็แล้วกัน เขากระตุกยิ้มแล้วหาเนกไทแต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ จำได้ว่าเก็บไว้กับกางเกงใน แล้วตอนนี้มันไปอยู่ที่ซอกไหนวะ
กว่าจะหาเจอก็ใช้เวลาพอสมควร เกือบโดนแม่ด่าก่อนออกจากบ้านเสียแล้ว…