ตอนที่ 5.2

3208 Words
เขามองน้องสาวด้วยความเวทนา เบื้องลึกรู้สึกผิดต่อเธอทั้งสองภพชาติ แต่ภายใต้เวรกรรมเคราะห์ซ้ำ ก็ยังมีความปรานีโชคดีอยู่บ้าง อลิศไม่ได้จากไปไหน ยังคงมีชีวิตอยู่ให้เขาได้ชดใช้ “พี่ขอโทษนะ” อลิศานิ่งฟัง หากแต่เสี้ยววินาทีก็เลือนสายตามองไปทางหน้าต่าง เนื่องจากถูกเจ้านกกระจิบดึงดูดความสนใจ พลันรอยยิ้มมุมปากก็ถูกจุดประกายขึ้น เธอทิ้งกาลเวลา ถดกายลงจากเตียงฟากที่ใกล้กับหน้าต่างห้อง ยื่นมือเข้าไปทักทายนกน้อยที่เกาะอยู่บนกิ่งต้นลีลาวดี เสียงหวานพูดคุยกับมันเหมือนทักทายเพื่อน เวลานั้นพยาบาลประจำตัวก็เดินเข้ามาพร้อมกับถาดมื้อเที่ยง “กินข้าวเยอะ ๆ นะอลิศ ไว้พี่จะมาหาใหม่” หญิงสาวไม่ได้ขานรับ หรือแม้แต่หันกลับมามอง เพราะกำลังตกอยู่ในห้วงเวลาส่วนตัวอันไกลโพ้น เมื่อออกมาจากห้องนอนของน้องสาว ปราชญ์ก็เดินเข้ามาหา “คุณอัคนีกับคุณดาราลักษณ์มาขอพบครับ” กาลเวลาพยักหน้ารับ ก่อนเดินออกไปต้อนรับสองพี่น้องร่วมตระกูลที่ห้องรับแขก ขายาวก้าวเข้ามาด้านในห้อง ก็พบกับชายหญิงสองคนที่คุ้นเคย ท่าทีชะงักเล็กน้อย เมื่อได้สบตากับหญิงสาวร่างเพรียวบาง หากแต่มีความสูงเกินมาตรฐานหญิงไทยค่อนข้างมาก ใบหน้ารูปไข่ของเธอสวยคมสมหญิงไทย ดวงตาสองชั้นลุ่มลึกตราตรึงสายตา ท่าทางมีมาดผู้ลากมากดี ดาราลักษณ์พนมมือไหว้พี่ชายร่วมตระกูล ก่อนเผยรอยยิ้มสวยให้แก่เขา ส่วนอัคนีผู้เป็นพี่ชาย ทำแค่ทิ้งตัวนั่งลงตรงโซฟา เอนกายเอกเขนกทำราวกับที่นี่คือบ้านของเขา “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะพี่กาล” “นั่นสิ” กาลเวลายิ้มบาง ๆ เป็นมารยาท หัวใจกระหน่ำเต้นขึ้นมา สาเหตุนั้นเกี่ยวเนื่องกับความฝัน ฉากสุดท้ายก่อนเขาจะตื่น แม่ทัพแห่งอังวะไปพบแม่หญิงดวงเดือน หญิงสาวผู้เป็นดั่งดวงใจ ดาราลักษณ์...คือแม่หญิงดวงเดือนคนนั้น และอัคนีก็คือโกสน องครักษ์ติดตามเจ้าพระยาจักรีฯ อัคนีและดาราลักษณ์เป็นสองพี่น้องลูกติดของภรรยาคนที่สองของพ่อ หลังอลิศาเกิดได้ไม่ถึงปี พ่อก็พาภรรยาใหม่พร้อมกับลูกอีกสองคนเข้ามาในบ้าน อัคนีรุ่นราวคราวเดียวกับเขา ส่วนดาราลักษณ์อายุน้อยกว่าสามปี ครั้งแรกที่เจอกัน ยอมรับว่าเขานั้นไม่ชอบหน้า ตามประสาลูกที่ครอบครัวแตกแยกและถูกแบ่ง  ความรัก ทว่าสองพี่น้องและแม่เลี้ยงก็ไม่ได้แสดงท่าทีตั้งตนเป็นศัตรู ต่างคนต่างอยู่ราวกับไม่มีความสัมพันธ์อันใดต่อกัน มิหนำซ้ำยังยอมอยู่ใต้อาณัติ ให้เกียรติทั้งเขาและอลิศาเป็นใหญ่กว่า ยิ่งดาราลักษณ์ เธอยิ่งแสดงออกว่าเทิดทูนเขามากกว่าพี่ชายแท้ ๆ ของเธอเองเสียด้วยซ้ำ เส้นทางชีวิตของอัคนีและดาราลักษณ์คล้าย ๆ กันกับเขาและอลิศา ด้วยธุรกิจที่ทำรายได้มหาศาลจนพ่อกลายเป็นมหาเศรษฐี จึงทำให้พวกเราสี่คนถูกเลี้ยงดูเป็นอย่างดี พวกเขาได้ไปเรียนต่อต่างประเทศจนจบมหาวิทยาลัยเหมือนเขา  ก่อนอัคนีจะกลับมารับหน้าที่เป็นผู้จัดการสาขาเหมืองขุดแร่พลอยที่พม่า ส่วน ดาราลักษณ์กำลังศึกษาต่อปริญญาเอกด้านโบราณคดีมหาวิทยาลัยในไทย พอกาลเวลาทิ้งตัวนั่งตรงข้ามกันกับอัคนี ผู้มาเยือนก็ผลักซองเอกสารสีน้ำตาลให้แก่เขาอย่างไร้มารยาท “หนังสือมอบอำนาจตามที่ได้คุยกันไว้” กาลเวลาเปิดซองดูเนื้อใน มันเป็นหนังสือมอบอำนาจการดูแลเหมืองที่พม่าทั้งหมดที่เขาเป็นเจ้าของ เพราะเรื่องน้องสาวและธุรกิจขายจิวเวลรีหลักในไทยค่อนข้างยุ่งวุ่นวายจนไม่มีเวลาไปตรวจงาน และบางทีเรื่องที่ต้องได้รับการอนุมัติด่วนก็ล่าช้า เนื่องจากคนเซ็นอย่างเขาไม่อยู่ที่นั่นด้วย ปัญหานี้อัคนีเคยเกริ่นเอาไว้เป็นปีมาแล้ว และต้องการให้เขามอบอำนาจเสีย ด้วยเห็นว่าชายหนุ่มมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านคัดแร่มากกว่า จึงทำให้เขาตอบตกลงไปเมื่อนานมาแล้วเช่นกัน แต่แล้วเมื่อหยิบปากกาจรดบนกระดาษ อะไรบางอย่างก็ทำให้เขาเหลือบมองอัคนี ถึงแม้จะเห็นเพียงเสี้ยวในฝันก่อนมันจะดับวูบ แต่เขาก็จำได้แม่นว่าอัคนีคือคนเดียวกับโกสน ทหารองครักษ์คนนั้น ไม่ผิดเพี้ยนเลยสักนิด ความคลางแคลงและลางสังหรณ์บางอย่างทำให้เขาเลือกที่จะไม่เซ็น วางปากกาลง ก่อนเก็บเอกสารเข้าซองดังเดิม แล้วไสมันกลับคืนเจ้าของ อัคนีชะงักทันที “อีกไม่กี่เดือนอลิศก็จะคลอดแล้ว ตอนนั้นฉันคงมีเวลาไปตรวจงานที่เหมืองบ่อยขึ้น อ่อ...แล้วนายอย่าลืมเช็กการเจียระไนทับทิมให้ดีนะ ล็อตนี้ฉันต้องการความสมบูรณ์แบบที่สุด เพราะมิสเตอร์ฟรังโก้ซีเรียสมาก ถ้าพลาดเราเสียชื่อแน่ นายมีเวลาอีกสามเดือนก่อนจะทำการซื้อขาย ถ้าเขาไม่ยอมรับ ฉันคงต้องหักเงินเดือนประมาณพันล้านจากนาย” คนฟังถึงกับชักสีหน้า หัวคิ้วขมวดแน่น มองคนนั่งตรงข้ามอย่าง       เคียดแค้น เพราะคำพูดและท่าทางของอีกฝ่ายกำลังกดเขาให้ดูด้อยกว่า “มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” กาลเวลาถามเมื่อเห็นความไม่พอใจแฝงอยู่บนใบหน้าอัคนี แต่คนที่เข้ามาขวางไว้คือดาราลักษณ์ เธอเห็นว่าพี่ชายกำลังฉุนเฉียว และอีกไม่นานเขาคงระเบิดตามนิสัยโผงผางแน่ จึงรีบหันมาพูดกับกาลเวลาทันที “ดาว่ายังไม่ต้องเซ็นตอนนี้ก็ได้ค่ะ เพราะยังไงพี่กาลก็จะไปพม่าอยู่แล้ว พี่อัคแค่เป็นห่วงเรื่องเครื่องจักรใหม่ที่กำลังจะนำเข้าน่ะค่ะ ต้องไปตรวจเช็กอีกไม่  กี่สัปดาห์นี้แล้ว ถ้าเรียบร้อยดีก็ต้องใช้อำนาจคุยกับด่านชายแดนและกรมศุลกากร เพื่อนำมันเข้ามาอีก บางทีอาจจะต้องจ่ายเพิ่ม...” “ทำไมจะต้องจ่ายเพิ่ม ในเมื่อพี่ให้นำเข้ามาอย่างถูกกฎหมายร้อยเปอร์เซ็นต์ ภาษีนำเข้าเท่าไหร่ก็เท่านั้น ไม่มีนอกไม่มีในไม่ใช่เหรอ” “ฉันแค่อยากลดต้นทุน เดี๋ยวนี้เหมืองขุดแร่หายากขึ้นทุกวัน รายได้ก็ลดลงทุกวัน เพราะนายมัวแต่ยุ่งอย่างนี้ เลยไม่มีเวลามาดูเอกสารบัญชีไง” อัคนีแย้งขึ้นมาด้วยความหงุดหงิดกับคำพูดสวยหรู ผู้บริหารสูงส่งอย่างมันจะไปรู้อะไร ไม่มาลงภาคสนามเหมือนอย่างเขานี่ “อย่างนั้นก็รอหน่อย เคลียร์เรื่องวุ่น ๆ เสร็จ จะหาเวลาบินไปตรวจงานโดยเร็วที่สุด นายเตรียมเอกสารให้ดีก็แล้วกัน” คำสั่งทำให้อัคนียิ่งไม่พอใจ และวันนี้เขาก็ต้องกลับไปมือเปล่าอีกเช่นเคย ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นเมื่อหมดธุระ หันไปพูดกับน้องสาวเสียงแข็ง “จะทำอะไรก็รีบทำ พี่จะไปรอที่รถ” เมื่อพี่ชายหุนหันออกจากห้องไป ดาราลักษณ์จึงได้มีเวลาส่วนตัวกับกาลเวลา เธอรีบนำกล่องสีดำกล่องหนึ่งซึ่งมีขนาดเท่าสองฝ่ามือมาให้เขา ด้วยรู้ดีว่าสิ่งนี้จะต้องทำให้เขาถูกใจแน่ กาลเวลารับมาถือ ก่อนเปิดฝากล่องออกดู ด้านในคือถ้วยเบญจรงค์ลายไทย แม้จะเก่าไปตามกาลเวลา หากแต่ยังคงสีสันและลวดลายอย่างเด่นชัด ทันทีที่ได้เห็น เขาก็ถึงกับนิ่งงัน ตกตะลึงอยู่อย่างนั้น “เพื่อนป.เอกของดาหามาได้ บอกว่าเป็นถ้วยเบญจรงค์สมัยอยุธยาของแท้แน่นอนค่ะ เห็นว่าพี่กาลสะสม ดาเลยขอซื้อต่อจากเขา” “เรียกว่ากระไร” “เห็นว่ามีปลาสังกะวาด เลยนำมาทำแกงเหงาหงอดขอรับ” ทันใดนั้นภาพฝันเมื่อคืนก็ผุดขึ้นมาในความคิด มันต้องเป็นเรื่องบังเอิญแน่ ๆ และถ้วยชามลวดลายเดียวกันก็ไม่คงไม่ได้หมายความว่าจะเป็นใบเดียวกันหรอก “เท่าไหร่ เดี๋ยวพี่จ่ายคืนให้” “ไม่เอาค่ะพี่กาล ดาตั้งใจหามาให้ แค่พี่กาลชอบ ดาก็พอใจแล้วค่ะ” เธอยกมือห้าม เพราะเต็มใจหามาให้ ด้วยรู้ว่ากาลเวลาชอบสะสมของเก่าที่มาจากสมัยอยุธยา ความมีน้ำใจเรียกสายตากาลเวลาให้หันไปสบมองเธอ เขายิ้มให้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบเรือนผมน้องสาวร่วมตระกูล ดาราลักษณ์ดีกับเขามาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยทำให้เขาต้องเหนื่อยใจเลย     สักครั้ง เธอเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง คอยให้กำลังใจเขาตลอดมา เมื่อคืน...พอได้รู้ว่าเธอคือหญิงคนรักในอดีต ยอมรับว่าตกใจจนแทบช็อก แล้วตอนนี้ความรู้สึกที่มีให้เธอนั้นเขายิ่งสับสน ยังแยกไม่ออกว่าเอ็นดูเธอด้วยอยู่บนความสัมพันธ์อันใดกันแน่ แต่เขารู้...รู้ว่าดาราลักษณ์แอบชอบเขา และรู้...ว่าเธอไม่ได้คิดกับเขาเป็นแค่พี่ชายต่างสายเลือด “ขอบใจดามากนะ” “เปลี่ยนจากคำขอบใจ เป็นดินเนอร์ที่พม่าได้ไหมคะ” หญิงสาวออดอ้อนหากแต่ยังไว้มารยาท กิริยาไม่ประเจิดประเจ้อว่าอยากครองผู้ชายคนนี้สุดหัวใจ ทุกอย่างที่เป็นกาลเวลา ทำให้เธอหลงใหลคลั่งไคล้เหลือเกิน “ได้สิ ถ้าไปเมื่อไหร่พี่จะโทรหานะ” ดาราลักษณ์พยักหน้าพลางยิ้มหวาน “ถ้างั้นดาขอกลับก่อนนะคะ พอดีต้องเข้ามหาวิทยาลัยไปคุยงานวิจัยกับอาจารย์ต่อ” “ไม่เข้าไปหาอลิศหน่อยเหรอ?” ดาราลักษณ์กับอลิศาตอนเด็กค่อนข้างสนิทกัน ด้วยเป็นเด็กผู้หญิงเพียงสองคนภายในบ้าน ขนาดช่วงหลังที่ไปเรียนต่อ พวกเธอก็ยังไปมาหาสู่กันบ่อย ๆ เมื่อถูกถาม ดาราลักษณ์ชะงักงัน แต่เป็นเพียงเสี้ยววินาที ก่อนเธอจะยิ้มให้อีกฝ่าย “เอาไว้คราวหน้านะคะ ใกล้ได้เวลานัดเจออาจารย์แล้ว ฝากกอดน้องอลิศด้วยนะคะ ฝากบอกด้วยว่าดาคิดถึงเธอมาก” เธอทำถ้อยทีถ้อยอาศัย ทว่าภายในกลับรู้สึกกลัวอาการบ้าของน้องสาว ครั้งหนึ่งเคยมาเยี่ยม ไม่คิดว่าจะถูกไล่ตะเพิดเหมือนหมูเหมือนหมา ทั้งยังถูกของปาใส่จนหัวโน อลิศาจำใครไม่ได้ เป็นคนบ้าวิปลาสจนเธอแหยง รถตู้สีดำจอดรอเทียบท่าตรงหน้าคุ้ม อัคนีที่นั่งอยู่ภายในพ่นลมหายใจ ฟึดฟัด เบือนหน้าหนีทันทีที่เห็นน้องสาวจูงไอ้เสี้ยนหนามด้านธุรกิจของเขาเดินลงมา ท่าทางกระหนุงกระหนิงเหมือนกับเป็นคู่รักก็ไม่ปาน “ดาคิดถึงพี่กาลนะคะ” หญิงสาวบอกลา สายตาละห้อย กาลเวลายกยิ้มมุมปาก ก่อนจะเอื้อมมือมาลูบศีรษะเธอแผ่วเบา “เอาไว้เจอกันที่พม่า” ดาราลักษณ์พยักหน้า ใจจริงอยากได้มากกว่าการถูกลูบหัว หากแต่ก็พยายามระงับความโลภเอาไว้ เพราะคิดว่าพี่ชายต่างสายเลือดคงไม่ชอบผู้หญิง  ใจง่ายแน่ ก่อนขอตัวขึ้นรถกลับออกไป พอมินิแวนสีดำลับสายตา คนเดินมาส่งก็หมุนกายหมายจะกลับขึ้นไปบนบ้าน ทว่าฝีเท้ากลับต้องหยุดชะงัก เมื่อได้ยินเสียงไอโขลกของใครคนหนึ่งอยู่ตรงสวนด้านข้าง พอเดินเข้าไปดู ก็พบกับจำเลยตัวบางที่เขาลืมไปสนิทว่ามีมันอาศัยอยู่ที่นี่ด้วย มันกำลังใช้ไม้กวาดทางมะพร้าวกวาดดอกลีลาวดีที่ร่วงหล่นเต็มพื้นหญ้า หน้าที่นี้คือหน้าที่หนึ่งในบรรดารายการที่เขามอบหมายไว้ให้ ใบหน้าของมัน       ซีดเซียว เดี๋ยวไอเดี๋ยวยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อที่ผุดเต็มใบหน้า ท่าทางขะมักเขม้นดูพยายามเป็นอย่างมากแต่ก็ยังไม่พ้นอ่อนแอปวกเปียกเพราะพิษไข้ที่รุมเร้า เมื่อเช้ามืด ไม่รู้ทำไมเขาถึงตัดสินใจไปอุ้มมันกลับมา ทั้งที่อยากให้ตายอยู่แล้วแท้ ๆ “ขยันขันแข็งหน่อย กลัวพื้นมันเจ็บหรือไง” เสียงเข้มดังขึ้นทางด้านหลังในระยะประชิด ทำให้นิรันดรสะดุ้งหน้าเหวอ เมื่อหันไปมองก็พบกับแผงอกแกร่งจ่ออยู่ตรงปลายจมูก เป็นเช่นนั้นจึงลนลานถอยห่างราวกับพบเจอมัจจุราช ใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทพปั้นเรียบเฉย จดจ้องเขาไม่วางตา นั่นทำให้ความกลัวยิ่งทวีคูณมากขึ้น ผู้ชายคนนี้จ้องแต่จะฆ่าเขา ไม่กลัวสิแปลก ที่มีชีวิตมายืนเป็นคนสวนเก็บกวาดได้ก็นับว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อแล้ว “อึดใช้ได้นี่ ตายยากชะมัด” กาลเวลาสำรวจคนป่วยที่ยังยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง ไม่รู้ชาติก่อนมันทำบุญหรือทำเรื่องอะไรดี ๆ อะไรไว้ ชาตินี้ถึงได้ดวงแข็ง ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ขนาดนี้ แต่พอยิ่งเห็นมันยังมีชีวิตอยู่ดี เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมต่อน้องสาว    คิดเช่นนั้นจึงหาทางกลั่นแกล้ง ถึงมันไม่ตาย ก็ขอแค่ได้เห็นมันทรมานบ้างก็ยังดี “รอฉันอยู่ตรงนี้” พูดเพียงเท่านั้น ชายหนุ่มก็กลับเข้าไปในบ้าน นิรันดรกังวล แต่ก็ยอมรอแต่โดยดี ทั้งที่รอบด้านเวลานี้ไม่มีใคร จะหนีไปตอนนี้ก็ยังได้ หากแต่อนาคตใครจะรู้ ว่าชายหนุ่มจะไม่ตามไปฆ่าพวกเขายกครัว จากที่ต้องสูญเสียเพียงแค่หนึ่งชีวิต กลับกลายเป็นว่าต้องสูญเสียเพิ่มไปอีกสามคน นิรันดรปาดเหงื่อ ระบายลมหายใจร้อน สมองปวดหนึบด้วยพิษไข้ที่ยังไม่หายดี ไม่นานนักคนที่บอกให้รอก็กลับมา กาลเวลาเดินเข้ามาหานิรันดร ด้วยชุดที่เปลี่ยนใหม่พร้อมออกกำลังกาย รองเท้าผ้าใบราคาแพง ในมือถือเชือกและสายรัดข้อมือหนัง ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับทำกิจกรรมอย่างว่าตามรสนิยมทางเพศเฉพาะตัว แต่เวลานี้นำมาใช้เป็นบ่วงพันธนาการเพื่อแกล้งมัน มือแกร่งกระชากรวบข้อมือบางทั้งสองข้างของเด็กหนุ่ม ก่อนจะรัดสายหนังยึดเอาไว้ เมื่อกลัดเข็มเข้ารูเรียบร้อยแล้ว เขาก็ลองกระตุกเพื่อทดสอบว่ามันจะไม่หลุด “คุณจะทำอะไร?” เด็กหนุ่มถามอย่างงุนงง แต่คำตอบที่ได้คือการกระชากรั้งด้วยแรงมหาศาลของคนตัวโตกว่า ชายหนุ่มร่างสูงเกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตรวิ่งนำหน้า แล้วกระชากเชือกให้อีกคนวิ่งตาม “เจ้านายอยากออกกำลังกาย เลยอยากพาหมาไปวิ่งเล่นด้วยสักหน่อย” นิรันดรหน้าเหวอ ชายหนุ่มเจ้าคิดเจ้าแค้นจะว่าเขาว่าเป็นหมาแมวก็    ไม่เป็นไร แต่นี่มันจะเพิ่งบ่ายโมง ตะวันแสกกลางกบาลอยู่เลย! คนบ้าอะไรวิ่งเวลานี้วะ! แต่ก็ได้แค่บ่นในใจ เพราะหากไม่วิ่งตาม คงถูกถูลู่ถูกังไปตามพื้นจนได้รับบาดเจ็บแน่ ทันทีที่วิ่งตามหัวหกก้นขวิดด้วยรองเท้าแตะแสนเก่าออกจากรั้วบ้าน นิรันดรก็ได้เห็นสภาพแวดล้อมที่แท้จริงของที่นี่ นอกจากบ้านไม้หลังใหญ่โตนี้แล้ว ก็ไม่มีบ้านหลังอื่นอยู่ในละแวกนี้อีก สองข้างทางเป็นป่าชื้น ถนนที่เหยียบย่ำก็เป็นเพียงพื้นดินธรรมชาติ ไม่ได้ปูด้วยคอนกรีตหรือยางมะตอยแต่อย่างใด เหมือนกับสถานที่แห่งนี้ห่างไกลจากความเจริญ และมีความเป็นส่วนตัวอย่างถึงที่สุด กาลเวลาพาเด็กหนุ่มวิ่งไปตามทางเป็นระยะหลายกิโลเมตร จนแทบจะทะลุถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ภายใต้แสงแดดจ้าและอากาศอันร้อนระอุ ตลอดเวลามันอดทนฝืนวิ่งตามเขาโดยไม่บ่นเลยสักคำ เมื่อหันไปมองมันก็ทำเพียงมองกลับมาด้วยสายตาตัดพ้อ พวงแก้มขาวสว่างยามนี้แดงก่ำ ปลายจมูกเองก็ด้วย มันเป็นนักสู้หรืออย่างไร ทำไมยังไม่อ้อนวอนขอให้หยุดพักอีก ไม่ได้ จะแสดงความอ่อนแอให้เขาเห็นไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงสาแก่ใจเขา นิรันดรคิดในใจขณะจ้องตากับอีกฝ่าย เขาจะไม่ยอมให้ไอ้คนบ้าอำนาจหัวเราะเยาะเป็นอันขาด แต่ด้วยสภาพอากาศบวกกับสภาพร่างกายที่อ่อนแอ ก็ไม่อาจทำให้นิรันดรทนฝืนได้อีกต่อไป วิ่งมาหลายกิโลเมตรจนเหงื่อโทรม จึงเกิดอาการขาดน้ำ เวียนหัวคล้ายกับจะหน้ามืด กาลเวลาเหยียดยิ้ม มองคนยืนโงนเงนอยู่ไม่ไกล “ตายไปเลยก็ได้นะ น้องสาวของฉันจะได้มีความสุขสักที” นิรันดรไม่ได้โต้ตอบเพราะสติดับวูบเอาตอนท้ายประโยคพอดี ร่างบางร่วงผล็อยลงสู่พื้น อ่อนปวกเปียกราวกับผักเหี่ยวเฉา กาลเวลานึกสมเพช ก่อนเดินเข้าไปใกล้ ทันทีที่เขายอบกายนั่งยองลดระดับความสูง แล้วใช้มือบีบแก้มแดงจน  ริมฝีปากเผยอออก เสียงปืนปริศนาก็ดังขึ้น วิถีกระสุนเหมือนพาดผ่านตัวเขาอย่างฉิวเฉียด นั่นทำให้เขาสะดุ้งและหมอบตัวแนบกับพื้นเคียงข้างเด็กหนุ่ม              ร่างบางอย่างตื่นตระหนก เส้นทางริมแม่น้ำใกล้ ๆ นี้ เป็นเส้นทางลำเลียงขนของเถื่อน เมื่อนึกขึ้นได้จึงพยายามกวาดตามองสำรวจไปทั่ว เห็นรถกระบะน่าสงสัยสองคันแล่นไล่ตามกันด้วยความเร็วสูง มุ่งหน้าไปทางแม่น้ำซึ่งเป็นทางตรงกันข้ามกับที่เขาอยู่ คันหนึ่งเป็นรถกระบะไม่มีป้ายทะเบียน ส่วนคันที่ตามหลังคือรถตำรวจทะเบียนตราโล่ พอรู้ตัวว่าเกือบโดนลูกหลง ก็รีบตวัดสายตามองใบหน้าคนสลบอย่างฉงนแทบทันที ไอ้คนดวงแข็ง ดวงแข็งคนเดียวยังไม่พอ ยังทำให้เขารอดพ้นอันตรายไปด้วย  ไม่สิ...มันแค่บังเอิญ มันไม่ได้ช่วยเขาสักหน่อย กาลเวลาส่ายหน้า ทั้งที่หัวใจยังกระหน่ำเต้นไม่หาย ฉับพลันภาพเหตุการณ์หนึ่งก็ผุดขึ้นมาในสมอง มันมาจากอดีตชาติอีกแล้ว แต่ครานี้เขาไม่ได้ฝัน ตอนนี้เขายังคงนั่งยองและมีสติครบถ้วนดี ภาพที่ปรากฏคือนักรบอยู่ในอ้อมแขนเขา ใบหน้าซีดเผือดอิดโรย น้ำตาคลอเบ้า ริมฝีปากฝืนยิ้มให้ “...เพราะรักอย่างไรเล่า ท...ท่านรีบหนีไปเถิด” สิ้นเสียงนั้นในความคิด กาลเวลาถึงกับหอบหายใจจนตัวโยน นัยน์ตาสีเทาขยายกว้าง หลุกหลิกจับต้นชนปลายไม่ถูก จากนั้นความเจ็บปวดหน่วงหนึบก็เข้ามาจู่โจมจนหงายหลัง ก้นจ้ำเบ้า มือแกร่งจับขยุ้มเสื้อช่วงกลางอกเพื่อบรรเทาอาการนั้น น้ำตาร้อนพลันไหลรินออกมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ รู้เพียงลึก ๆ ว่ามีความผูกพันบางอย่างระหว่างกัน ก่อเกิดมาเนิ่นนานมากแล้ว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD