บทที่ 5
ถอนหมั้นแล้วจะแต่งกับหลัว
“ในเมื่อตัวข้าไม่ใช่นางเอก ภารกิจแรกคือจับท่านพี่เฉิงอี้แต่งงานเลยแล้วกัน”
แม้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง!
หากไม่ทำเช่นนั้นนางต้องแต่งเข้าตำหนักของไท่จื่อและตายลงอย่างอนาถภายในไม่อีกกี่บทข้างหน้าแน่ ทางเลือกเดียวของนางในตอนนี้คือการถอนหมั้นและมัดใจตัวร้ายอย่างท่านพี่เฉิงอี้ รวมถึงต้องกีดกันแม่นางเอกที่จะเข้ามาทำแต้ม การแต่งงานกับตัวร้ายโดยเร็วจึงเป็นการดีที่สุด
นางจะรอช้าไม่ได้แล้ว คิดได้ดังนั้น สองเท้าเล็กก็รีบจ้ำอ้าวไปยังบานประตูใหญ่สูงชะลูด ต้องแงนหน้ามองจนเกือบสุดคอถึงจะเห็นขอบประตู
"..."
ผู้เฝ้าประตูสองคนประจำตำแหน่งประตูด้านซ้ายและขวา พวกเขาไม่มีทีท่าที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยนางแต่อย่างใด ส่วนป๋ายอวี้ชิงเองก็ไม่ได้คิดร้องขอความช่วยเหลือ ตัวนางเป็นถึงซ่างเซียนแค่ประตูยักษ์สูงเท่าตึกสองชั้นบานเดียวใยจะเปิดไม่ได้!
ใบหน้าสวยอมลมจนแก้มป่อง สองแขนเรียวเกร็งตัวแน่นคิดเอาเองว่านางกำลังรีดกำลังภายในออกมา มือขาวทาบลงที่บานประตู ก่อนจะออกแรงผลักประตูหยกแกะสลักบานใหญ่ให้เปิดออก
ครืด
มันเปิดก็จริง.. แต่เปิดเท่ารูหนูผ่านเท่านั้น
ป๋ายอวี้ชิงยืนค้างอยู่ท่าเปิดประตู เหงื่อเริ่มซึมบนหน้าผากมน รู้สึกถึงอุณหภูมิร้อนภายในร่างกาย แก้มขาวเริ่มผลัดเป็นสีแดงอ่อน
“อะแฮ่ม ฮึ่ม..”
เสียงเล็กกระแอมในลำคอแก้เขิน กดคิ้วลงต่ำหน่อยเพื่อให้ดูน่าเกรงขาม มือละจากประตูลงมาปัดชุดสองสามที สองผู้เฝ้าประตูแอบเหล่มองนางคิดในใจอยู่ว่า องค์หญิงกำลังเล่นตลกอันใด
ป๋ายอวี้ชิงเกร็งจนเส้นเลือดโผล่ลำคอ โก่งคอเล็กน้อย อมลมจนแก้มปูด พยายามเค้นพลังจนหน้าแทบมืด คราวนี้นางเลือกใช้สองมือแทน ตั้งองศาให้มั่นก่อนจะออกแรงสุดตัวไปด้านหน้า เอาสิมันต้องเปิดได้ล่ะวะ
ฮึบ..
ครืด ปัง!
“กรี๊ด!”
อยู่ๆประตูก็ถูกเปิดออกสุดแรง เป็นจังหวะนรก ที่นางกำลังจะผลักมันสุดแรงเกิดเช่นกัน ร่างบางถลาหน้าคว่ำลงไปกับพื้น ป๋ายอวี้ชิงหลับตาปี๋คิดเอาไว้แล้วว่าอย่างน้อยจมูกต้องไม่หัก! เอาหน้าผากรับแทนแล้วกัน แต่ถว่านางกลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย
ดวงตากลมโตปรือขึ้นอย่างช้าๆข้างหนึ่ง ก่อนจะพบว่าหน้าของนางห่างจากดินอ่อนแกะสลักเพียงแค่คืบเดียว! ในขณะตัวของนางถูกยกขึ้นลอยเหนือพื้น โดยชายร่างสูงใหญ่ด้านหลัง เขาทำราวกับว่ายกของแห้งๆชิ้นนึงก็ไม่ปาน
“...” กำลังงุนงง
ทั้งสองคนกลายเป็นจุดสนใจ สตรีมากมายพากันหน้าแดงซ่านเมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดเข้ามา แต่กลับเบะปากกลอกตาเบื่อหน่ายเมื่อเห็นร่างที่ห้อยต่องแต่งอยู่เหนือพื้น
สองมาตรฐานชัดๆ!
“เกะกะ”
เสียงทุ้มมีเสน่ห์กล่าวกับนาง ก่อนจะปล่อยมือออกจากเสื้อนางอย่างไม่ไยดี ร่างเล็กหล่นดังตุ้บ ดีที่ใช้มือยันไว้ได้ทัน ไม่งั้นดั้งโด่งเป็นสันของนางคงหัก
“นี่ท่าน!”
ป๋ายอวี้ชิงดีดตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าควรขอบใจรึโมโหดี แต่การปล่อยหญิงสาวแสนสวยให้หล่นลงพื้นมันน่าด่ามากนะคะ!
คนถูกเรียกหยุดชะงักก่อนจะหันหน้ามาด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่งราวกับไร้วิญญาณ ดวงตาเรียวคมหันกลับมาจ้องมองเขม่งราวกับต้องการให้คนเรียกพูดธุระมาเสียที
อึก..
ทางด้านป๋ายอวี้ชิงตัวแข็งทื่อ ริมฝีปากเล็กเผยอออกอ้าเล็กน้อย จ้องมองคนตรงหน้าตาถลน ร่างกายกำยำขนัดแน่นเห็นชัดไปทุกสัดส่วนแม้จะสวมเสื้อผ้าอยู่ ความสูงนั้นสามารถบังนางทั้งตัวจนมิด เทียบกันแล้วนางคงสูงถึงเพียงอกเขาเท่านั้น
ราวกับมีเอฟเฟคกระจายแสงโผล่จากหลังของจางเฉิงอี้ใบหน้าของเขาจะมองกี่ทีก็สามารถทำให้นางรู้สึกพ่ายแพ้ราบคาบ ความหล่อเหลาที่เห็นเพียงครั้งเดียวก็สามารถพรากลมหายใจคนได้ เป็นความหล่อเหลาที่ร้ายกาจต่อเหล่าชะนีอย่างนางเหลือเกิน!
นางอยากจะคุกเข่าพร้อมบอกกับเขาว่ามาเป็นพ่อของลูกนางเถอะเสียตรงนี้ แต่มันก็ทำไม่ได้ เขาคงปฏิเสธรึไม่ก็ฆ่านางทิ้งเลยมากว่า ฮือ!
จางเฉิงอี้ชะงัก ขมวดคิ้วสับสนกับท่าทางเดี๋ยวดีใจเดี๋ยวเสียใจของนาง
“เจ้ารั้งข้าโดยไม่มีสิ่งใดจะพูดหรือ”
น้ำเสียงทุ้มน่าฟังแต่ไร้อารมณ์อยู่ในที
“คะ คะ คะ คือ” แต่งงานกันเถิดเจ้าค่ะ..!
“อะไรของเจ้า” เสียงทุ้มเข้มกำลังไม่พอใจ ใบหน้าหล่อเหลาหงิกงอส่งสายตากดดันทิ่มแทงจนนางตัวเล็กลีบ
หลัวอย่ากดดันสิคะ!
“ทะ ท่านพี่..”
‘ท่านพี่’ จางเฉิงอี้นิ่งคิดทวนคำที่นางเรียกเขาอีกที
"รักนะคะ! เป็นเอฟซีตัวยงเลยค่ะท่านพี่!"
เสียงเล็กตะโกนดังลั่น นางคิดสิ่งใดไม่ออก อยากจะบอกขอแต่งงานแต่กลายเป็นคำที่ซอฟลงมาหน่อยอย่าง ‘รักนะคะแทน’ ดวงตากลมโตหมุนขว้าง นางเพิ่งรู้ตัวว่าพูดคำน่าอายออกไป!
หัวใจกำลังเต้นราวกับจะหลุดออกมาจากร่าง มือสั่นระริกในขณะที่ใบหน้างดงามเริ่มขึ้นสี ริมฝีปากอวบอิ่มเม้มจนเป็นเส้นตรง หลุบสายตาลงต่ำไม่กล้าสบตากับตัวร้ายสุดหล่อ
“ฮะ” คนเพิ่งถูกสารภาพรักนิ่งค้างเป็นหิน สีหน้าไร้อารมณ์เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เอิ่ม.. เอ่อ.. คือ.. ขะ ข้าขอลาก่อนเจ้าค่ะ!”
ทั่วทั้งใบหน้าขึ้นสีแดงลามไปถึงหู เสียงหวานใสตอบกลับตะกุกตะกัก ใบหน้างดงามค่อยๆหันมาทางเขาพลางฉีกยิ้มแห้ง มันแข็งทื่อจนเขานึกว่าคุยกับหุ่นกระบอก
ป๋ายอวี้ชิงคว้าจับขาที่นิ่งสนิทไม่ไหวติงของตนเองให้เดินไปข้างหน้า ทิ้งจางเฉิงอี้ยืนอึ้งอยู่แบบนั้นหลายนาที กว่าเจ้าตัวจะได้สติ กระแอมไอสองสามทีแล้วเดินไปประจำที่นั่งของตน
กรี๊ด น่าอายที่สุด ก็หลัวเล่นเดินเข้ามาใกล้นางจะไม่สติหลุดได้ยังไงไหว!
ฮู่ว.. ยุบหนอพองหนอ ใจเย็นเข้าไว้ นางจะต้องหน้าด้านไว้ก่อน เคยได้ยินหรือไม่ว่าด้านได้อายอดหน่ะ! หากมีโอกาสครั้งหน้าข้าจะไม่เหนียมอายอีก!
นางกล่าวคำมั่นภายในใจ..
ป๋ายอวี้ชิงเดินสั่นๆเข้ามาถึงภายในห้องโถงใหญ่ ในขณะที่หลายคนกำลังกระซิบกระซาบพูดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่ หูที่ไวต่อการนินทาอย่างมากของป๋ายอวี้ชิงเริ่มทำงาน
“นางคิดจะรวบทั้งไท่จื่อและประมุขพรรคมารเลยรึอย่างไร”
ถ้าทำได้ก็จะทำย้ะ
“น่าสงสารนางนักไม่มีใครยอมติดตามเป็นข้ารับใช้นางสักคน สุดท้ายจึงต้องโดดเดี่ยวเช่นนี้”
โนสนโนแคร์ค่ะ
“นางสวยเพียงแต่รูป สตรีเช่นนางคงเป็นได้แค่ไม้ประดับเท่านั้นแหละ อย่าหวังเรื่องความรักเลย”
เพราะข้าสวยกว่าพวกเจ้าและมีสิทธิ์ครอบครองพวกเขาเลยพากันอิจฉาข้าล่ะสิ หึ
ป๋ายอวี้ชิงหันหน้าไปยังต้นเสียง เชิดริมฝีปาก คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาข้างซ้ายเหลือกโตๆ ก่อนยกนิ้วกลางถวายกล้วยแก่พวกหล่อน
“นั่นนางกำลังเยาะเย้ยพวกเราอยู่งั้นรึ!”
ก็ใช่น่ะสิ!
ป๋ายอวี้ชิงสะบัดหน้าเดินหนีไม่อยากจะฟังเสียงนินทาไร้สาระ พรมสีแดงสดถูกปูตรงไปยังลานกว้างยกสูง บนนั้นประดับด้วยตั้งหยกขาวอันใหญ่ นางเดินมาหยุดอยู่ตรงลานกว้างด้านหน้า ดวงตากลมโตกวาดสายตาสำรวจรอบข้าง ซ้ายขวาเป็นที่นั่งเรียงลำดับยศชั้น ซึ่งทางซ้ายของนางถูกจัดไว้สำหรับไท่จื่อลู่จิ่งเหอ
ห่างไปไม่ไกลประมาณสองช่วงโต๊ะด้านหลังของเขา พบแม่นางเอกนั่งอยู่ถัดกันนั้นก็มีโม่เหยียนและหรางหยานนั่งขนาบข้าง
ใบหน้าน่ารักทว่ามีสีหน้าไม่สู้ดียามสายตาของสตรีชั้นสูงคนอื่นเหยียดมองมา มือเล็กเกาะกุมกันไว้บนหน้าตักและมีหรางหยานคอยส่งสายตาเป็นห่วงไม่ห่าง
เดี๋ยวนี้ตัวเริ่มจะติดกันเป็นปลิงเชียวนะ ปฏิเสธไม่เป็นหรือ แต่ใครจะอยากปฏิเสธกันล่ะ หากเป็นนางเองนางยังไม่คิดจะปฏิเสธเลย แต่เวลานี้นางไม่สนใจหรอกตราบใดที่ท่านพี่เฉิงอี้ของนางอยู่ห่างไกลจากหล่อน
“!”
ดวงตากลมหันมาสบเข้ากับนางพอดี หลินลี่ฟานชะงักแล้วก้มหน้าลงต่ำ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน สีหน้าเริ่มไม่สู้ดีกว่าตอนแรก บุรุษทั้งสามเห็นท่าทีของนางสั่นกลัวกว่าปกติ จึงมองกลับมายังต้นเหตุ เห็นสายตาเรียบเฉยจากสตรีที่เคยทำร้ายนางมองส่งมา สายตาไม่พอใจของพวกเขาจ้องมองมาที่ป๋ายอวี้ชิงทันที คงคิดระแวงว่าตัวนางจะข่มขู่สิ่งใดนางเอกอีก
"ฮึ" ป๋ายอวี้ชิงฉีกยิ้มให้อย่างมีมารยาท ในเสี้ยววิก็หุบยิ้มลงแล้วหันกลับไปราวกับพวกเขาเป็นเพียงอากาศ
ดวงหน้างดงามหันกลับไปมองตรง ไร้ซึ่งความสนใจใดๆแก่คนทั้งสี่ นางตัดสินใจแล้วว่าจะรักและอ้อร้อต่อหลัวฉางอี้ของนางผู้เดียว!
ร่างบอบบางค่อยๆหย่อนตัวลงบนพื้นรอเทียนจวินเสด็จมาถึง ระหว่างนั้นก็มองหาหลัวฆ่าเวลา
ดวงตากลมโตฉายแววขี้เล่น เมื่อพบตัวคนที่มองหากำลังกระดกสุราโดยไม่สนใจสิ่งใด ที่นั่งของจางเฉิงอี้อยู่ทางด้านขวาซึ่งอยู่ในระดับลดถอนลงมาจากที่ประทับเทียนจวินเพียงเท่านั้น ทว่าเขากลับเลือกนั่งด้านหลังสุดห่างไกลผู้คน แต่นางก็หาเขาเจออยู่ดี
แค่มองปราดเดียวนางก็รู้ได้ทันทีว่าสุดที่รักของนางนั่งอยู่ที่ไหน ก็เล่นหล่อไม่เกรงใจใครขนาดนั้น!
คนตัวสูงย้นคิ้วไม่สบายใจอย่างไรชอบกล เขารู้สึกถึงสายตาอันทรงพลังกำลังจ้องมาอยู่สักพักแล้ว ด้วยความสงสัยนัยน์ตาเรียวคมจึงอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง เมื่อหันไปก็พบกับสตรีใบหน้างดงามถลึงตามองเขาอยู่ มือที่ถือจอกสุรากำลังนำเข้าปากหยุดชะงัก
ป๋ายอวี้ชิงที่เห็นหลัวสุดที่รักหันมา ก็ดีอกดีใจและไม่พลาดในการอ่อยเขาหนึ่งกรุบ
ไม่รอช้า นางยกมือโบกบ๊ายบ้ายให้กับหลัวด้วยใบหน้าที่กำลังฉีกยิ้มกว้าง
‘เห็นข้าหรือไม่ท่านพี่!’
“!”
จางเฉิงอี้มองอาการแปลกประหลาดของนางแล้วจึงรีบหันหน้าหนีพลางถอนหายใจ ทำท่าทางอะไรของนาง ตานางเป็นอะไร?
ลู่จิ่งเหอและโม่เหยียนลอบสำรวจนางเป็นระยะ ทั้งคู่มีสีหน้าเคร่งเครียด ตั้งแต่ที่นางก้าวเท้าเข้ามา ล้วนอยู่ในสายตาของพวกเขามาตลอด ภาพที่นางชูนิ้วกลางขึ้นมาส่งให้กับเหล่าขุนนางสวรรค์นั้นพวกเขาก็เห็นเช่นกัน พวกเขาได้แต่ระดมความคิดว่าสิ่งนั้นหมายความว่าเช่นไร..
แปะแปะ
“เทียนจวินเสด็จมาถึงแล้ว”
เสียงปรบมือเรียกจากใครคนหนึ่งบนลานกว้าง เรียกความสนใจของพวกเขา ให้มองตรงมายังตำแหน่งตรงกลางห้องโถง ไม่นานนักก็ปรากฏร่างบุรุษรูปงามผมยาวสีเงินเดินเข้ามา ท่วงท่าและบรรยากาศดูน่าเกรงขามและเงียบสงบ ถึงแม้ใบหน้าจะมีร่องรอยแห่งวัยเล็กน้อยก็ไม่อาจปกปิดความงดงามบนใบหน้านั้นได้
นัยน์ตาอบอุ่นหลุบต่ำมองลงมายังป๋ายอวี้ชิง ในขณะที่นางอยากขอเบิกแว่นตาเพราะตาพร่ากับออร่าจับของเหล่าตัวละครในห้องโถง
ทางโน้นก็จางเฉิงอี้ ทางนี้ก็ลู่จิ่งเหอ และตรงหน้านี้ยังมีเทียนจวินอีก นางเชื่อแล้วว่าเป็นตัวละครหลัก สว่างจ้าราวกับพกสปอตไรท์ติดตัวถึงเพียงนี้
“เป็นเช่นไรบ้างชิงเอ๋อร์ ร่างกายของเจ้าดีขึ้นแล้วหรือไม่”
เสียงอบอุ่นก้องกังวาลกล่าวกับนาง ป๋ายอวี้ชิงโน้มตัวลงทำความเคารพอย่างอ่อนช้อยก่อนจะตอบกลับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม นางรู้สึกราวกับกำลังคุยกับบุพการีอยู่อย่างไรอย่างนั้น
“ดีขึ้นมากแล้วเพคะ แล้วพระองค์เล่าเพคะ”
“ตัวข้านั้นสบายดี ได้เห็นเจ้าเช่นนี้ข้าก็ยิ่งสบายใจ”
‘ลู่เฟยเทียน’ หรือเทียนจวินแห่งเผ่าเทพกล่าวพลางยิ้มแปลกใจ ปกตินางหาใช่คนช่างพูด หรือแม้แต่ยิ้มปริ่มเช่นนี้ย่อมไม่เคย สงสัยเรื่องที่นางเปลี่ยนไปไม่เหมือนก่อนคงจะเป็นเรื่องจริง ถือเป็นเรื่องน่ายินดี แต่การกระทำร้ายแรงของบุตรชายตนเขาก็ไม่อาจมองข้าม
สีหน้าลู่เทียนจวินเปลี่ยนไปเคร่งขรึมยามนึกถึงร่างโชกเลือด ใบหน้าขาวไร้รอยเลือดฟาดนอนกองอยู่บนพื้น ไม่มีผู้ใดสนใจพานางไปยังตำหนักยา ทันทีที่เขาได้รับเรื่องจึงออกคำสั่งให้พานางเข้ารักษาโดยด่วนและเรียกไท่จื่อ บุตรชายตัวดีของเขาเข้าพบโดยไว
ซึ่งก็ได้คำตอบอย่างคนไร้หัวใจว่า..
‘นางทำร้ายเสินหนี่ว์ศิษย์ในสำนักที่ลูกเป็นผู้ดูแลพ่ะย่ะค่ะ’
‘กฎลงโทษมีอยู่มากมายเหตุใดจึงเลือกทางที่เกือบถึงตายกัน!’
เป็นความจริงที่ชิงเอ๋อร์ทำร้ายเสินหนี่ว์ผู้นั้นจักต้องถูกลงโทษ แต่เมื่อส่งนางให้กับหมอหลวงตรวจดูแล้วพบว่ารอยกระบี่มิได้เจาะจงจนถึงแก่ชีวิต อย่างมากคงทำเพื่อให้นางเสียโฉมเท่านั้น
‘...’
‘ชิงเอ๋อร์ควรได้รับโทษตามความผิดที่นางก่อ นางมิได้จงใจทำร้ายถึงแก่ชีวิตแต่เจ้าไม่! เจ้าจงใจปลิดชีพนางโดยการลงทัณฑ์ฟ้าของซ่างเสิน!’
‘...’
‘ข้าหมดคำจะพูดกับเจ้า เพื่อปลอบขวัญนางข้าจะเลื่อนการแต่งตั้งไท่จื่อเฟยให้เร็วขึ้น’
‘เสด็จพ่อ!!’
‘พาข้ากลับเข้าตำหนักที’
นึกถึงบทสนทนาระหว่างเขาและไท่จื่อแล้ว ลู่เทียนจวินได้แต่ถอนหายใจอย่างคนปลงตก เขารู้ว่าบุตรชายของตนหาได้มีความสนใจในตัวชิงเอ๋อร์ไม่ กลับกันชิงเอ๋อร์นั้นปักใจรักมั่นต่อจิ่งเหอตั้งแต่นางยังเด็ก อีกทั้งเขารักนางดั่งบุตรสาวคนหนึ่งจึงไม่อยากขัดใจ รวมถึงต้องทำตามคำมั่นสัญญาต่อสหายรักทั้งสอง จึงอยากให้ทั้งคู่เกี่ยวดองกัน
ลู่เทียนจวินขยับกายนั่งบนเก้าอี้ ก่อนจะกล่าวเริ่มหัวข้อที่ถูกยกขึ้นมาในการร่วมประชุมครั้งนี้
“คำสั่งของข้า การเลื่อนแต่งตั้งตำแหน่งไท่จื่อเฟยจะจัดขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า” ประโยคสั้นและได้ใจความ แต่กลับทำให้ทั้งห้องโถงตกอยู่ในความโกลาหล
“!”
“เสด็จพ่อ ได้โปรดไตร่ตรองดูอีกครั้งเถิด!” ลู่จิ่งเหอชันตัวลุกขึ้นประสานมือวางไว้ตรงหน้า ภาพนั้นทำให้ติ่งอย่างนางใจเจ็บเล็กน้อย แต่แค่เล็กน้อยเท่านั้น
ป๋ายอวี้ชิงแอบเบ้ปาก รับรู้ถึงความเกลียดชังที่ทิ่มจึกๆจากด้านหลังของนาง
“ครั้งนี้แม่ทัพและไท่จื่อจากซีหลิว (เผ่าจิ้งจอกสวรรค์) ก็มาร่วมด้วย อย่าทำให้ข้าต้องขายหน้าและน้องต้องขายหน้า”
ลู่จิ่งเหอตวัดสายตาคมจ้องเขม่งมายังที่นางในทันที แผ่นหลังบางลอบสะดุ้งเล็กน้อย ภายในใจได้แต่คิดว่า มันไม่ใช่ความผิดนางเสียหน่อย!
ใบหน้างดงามเหลียวหลังกลับไปมอง ก็พบกับคำว่าเกลียดเจ้า! แปะหน้าลู่จิ่งเหอเอาไว้ ดวงตาแข็งกร้าวอันวาวโรจน์ด้วยโทสะ หากอยู่ตามลำพังนางคงตายคามือเขาไปแล้ว ป๋ายอวี้ชิงทำสิ่งใดไม่ได้นอกเสียจากยกกำปั้นเล็กๆขึ้นมาพลางทำท่าสู้ๆให้กับลู่จิ่งเหอ
ท่านต้องสู้ต่อไปเพื่ออิสรภาพของท่านนะ สู้ๆ!
“เจ้า!” ลู่จิ่งเหอเม้มริมฝีปากแน่น ขบเคี้ยวฟันจ้องหน้าป๋ายอวี้ชิงอย่างเอาเรื่อง สีหน้าของนางเหลอหลา ในขณะที่อีกคนคิดว่านางล้อเลียน
คนสวยทำอะไรผิด!
“พอได้แล้ว! ชิงเอ๋อร์เจ้ากลับไปพักผ่อนและเตรียมตัวเข้าพิธีเทิด เรื่องตรงนี้อย่าได้กังวลข้าจะดูแลอย่างดี”
หากเป็นในยามปกตินางคงจะซาบซึ้ง แต่ตอนนี้ไม่ นางจะแต่งกับไท่จื่อไม่ได้!
“สะ เสด็จอา”
ร่างสูงที่กำลังลุกขึ้นชะงักฝีเท้าลง เขาหันกลับมามองยังป๋ายอวี่ชิง นัยน์ตากระตุกสั่นไหว ตั้งแต่นางจำความได้ก็ไม่เคยเรียกเขาเช่นนั้นอีกเลย เรียกแต่เพียงยศตำแหน่งอย่างเทียนจวินเท่านั้น ทำให้เขารู้สึกเศร้ายิ่งนักที่เหินห่างกับนาง
ทางด้านป๋ายอวี้ชิงลอบร้องเยสในใจ นางกำลังมาถูกจุดแล้ว ใบหน้างดงามอมลมจนแก้มป่องทำสีหน้าท่าทางออดอ้อนหาได้ยาก
“ตอนนั้นหม่อมฉันยังเด็ก ยังมิรู้ว่าความรักกับความชื่นชมนั้นต่างกันแค่ไหน ในวันนี้หม่อมฉันเข้าใจแล้ว ว่าตัวหม่อมฉันมิได้รักใคร่ต่อไท่จื่อลู่จิ่งเหอ และอีกอย่างหม่อมฉันมิอยากหมั้นหมายหรือตบแต่งกับคนที่รังเกียจหม่อมฉันเพคะ”
“!” แม้แต่ไท่จื่อลู่จิ่งเหอยังนิ่งค้างกับคำบอกกล่าวของนาง
“ชิงเอ๋อร์พี่เขามิได้รังเกียจเจ้าหรอก อย่าน้อยใจไปเลย” ลู่เทียนจวินกล่าวเสียงสลดใจ
“หม่อมฉันไม่น้อยใจเพคะ หม่อมฉันรู้ตัวดีว่าเป็นสตรีร้ายกาจ ใครๆ ต่างก็พากันเรียกหม่อมฉันว่านางมารร้าย” นางกล่าวพลางสะอึกสะอื้นแสร้งยกผ้าขึ้นมาซับน้ำตา ภายหลังผ้าผืนบางปรากฏใบหน้าที่ชั่วร้าย ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว คนที่เคยนินทานางลับหลังก็ซวยไปด้วยเลยแล้วกัน ฮึฮึ
“ใครกัน! ใครมันกล้าว่าร้ายเจ้า”
“มะ หม่อมฉัน..ฮึก” นัยน์ตาเศร้าสร้อยกวาดไปยังตำแหน่งที่นั่งด้านหลัง พวกเขาหลุบสายตาลงต่ำไม่กล้าสบตานาง ก่อนใบหน้างดงามจะหันกลับมายังที่นั่งของไท่จื่อด้านซ้ายมือด้วยแววตาเศร้ามอง คนที่ถูกมองยังคงมีสีหน้าขึงขังไม่สนใจ
"ฮืออ!" ร้องออกมาอีกยก ปั้นหน้าร้องไห้ฟุบลงไปกับมืออีกรอบราวกับเจ็บปวดเหลือทน หลังฝ่ามือนางแอบกลั้นยิ้มชั่วร้าย
รู้สึกภูมิใจกับการแสดงละครของตัวเอง ไม่เสียดายที่ติดดูละครหลังข่าว รางวัลตุ๊กตาทองต้องเข้าแล้วป่ะ
ทางด้านลู่เทียนจวินได้มองตามสายตาของนาง ก็พบว่าพวกเขามีท่าทีกระสับกระส่ายและมีพิรุธ นัยน์ตาหงแข็งกร้าวกดดันพวกเขาเบื้องล่าง ทำเอาพวกเขาอกสั่นขวัญหายยกมือขึ้นทาบอก
"พวกเจ้า..!"
“เสด็จอาอย่าได้มีโทสะเลยเพคะ ถึงหม่อมฉันจะถูกว่าร้าย แต่วันนี้ได้มีบุรุษผู้หนึ่งเข้ามาช่วยหม่อมฉันเพคะ ในยามที่หม่อมฉันลำบาก ทุกคนต่างพากันเมินเฉย แต่เขาไม่ทำเช่นนั้น”
ป๋ายอวี้ชิงเห็นว่าเท่านี้ก็พอใจแล้ว ถึงอย่างไรแต่ก่อนนางก็ร้ายจริงๆ นางรีบพูดขึ้นมาเสียงใส ก่อนที่ลู่เทียนจวินจะโกรธไปมากกว่านี้
“ฮึ่ม.. คนผู้นั้นเป็นใคร ข้าอยากขอบคุณเขาสักครั้งที่ช่วยเหลือเจ้า” ลู่เทียนจวินกล่าวสีหน้าเคร่งเครียด เขารู้ว่ามีหลายๆ คนไม่ชื่นชอบนาง แต่ถึงกับไร้ไมตรีต่อนางในยามยากลำบากมันเกินไป!
“...” ร่างสูงอีกฟากหนึ่งที่นั่งฟังอยู่ตลอดเริ่มรู้สึกถึงลางร้าย หากนางพูดมาแบบนี้ ชายผู้นั้น.. หวังว่าคงจะไม่ใช่เขา
“ใช่ไหมเพคะ คนอะไรรูปก็งาม มารยาทก็ง๊ามงามนะเพคะ” ถึงเขาจะพูดกับนางว่าให้ไสหัวไปก็เถอะ แต่ข้าจะถือว่าท่านพี่ช่วยข้าไว้แล้วกัน ฮึฮึ
นางกล่าวเสียงใสพลางหันไปขยิบตาน่ารักให้กับชายหนุ่มนัยน์ตาสีทอง
เจ้าของนัยน์ตาสีอำพันสะดุ้งเฮือก สุราที่กำลังไหลลงสู่คอเกือบสำลอกออกจากปาก ดีที่เขากลืนทั้งหมดลงคอไปได้ทัน สตรีชั่ว! คิดจะหาเรื่องกลั่นแกล้งอะไรเขาอีกกัน
“จางเฉิงอี้หรือ” เทียนจวินเลิกคิ้วสูง มองตามสายตาของหลานรัก หากเป็นลู่จิ่งเหอนั้นว่าไปอย่าง เพราะแต่ไหนแต่ไรชิงเอ๋อร์มักจะเข้าหาและเอาใจใส่อยู่เสมอ ต่างจากบุตรชายคนที่สองของเขา ทั้งคู่ไม่แม้จะมองหน้ากัน อีกทั้งยังเมินเฉยต่อกันมาตั้งแต่นางยังเด็ก เขาแอบแปลกใจว่าทั้งสองนั้นไปสนิทกันตอนไหน
แต่ว่า ลู่จิ่งเหอก็ดี หรือจางเฉิงอี้ก็ด เขายินดีหากนางจะเลือกคนใดคนหนึ่ง เพราะทั้งคู่นั้นก็เป็นบุตรของเขา
“เพคะ!! เพราะฉะนั้นแล้ว..”
ป๋ายอวี้ชิงพูดต่อ กล่าวเสียงลากยาวขณะเหล่มองไปทางหลัวสุดที่รัก พบว่าเจ้าตัวมีใบหน้าหงิกงอตามอารมณ์ขุ่นเคือง ดูท่าว่ากำลังส่งสายตาบอกนางว่าอย่าได้พูดอะไรซี้ซั้ว
แต่เสียใจด้วยค่ะหลัว เมียไม่อาจปล่อยหลัวไปได้จริงๆ สัญญาว่าจะรักและดูแลถนุถนอมอย่างดีเลยเจ้าค่ะ
“หม่อมฉันอยากแต่งงานกับท่านพี่เฉิงอี้เพคะเสด็จอา”
“!”
สิ้นคำกล่าวจากนาง ทั้งห้องโถงก็ตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงเพล้งดังมาจากทิศทางของบุรุษผู้ที่ถูกนางหมายปองจะส่งตัวเองออกเรือนให้แก่เขา
ทุกคนพร้อมใจกันหันไปมอง ปรากฏร่างชายหนุ่มสวมชุดสีดำคาดแดง มือนิ่งค้างอยู่ในท่าถือจอกกลางอากาศ บนโต๊ะมีจอกเหล้าแตกละเอียด คิ้วหนาขมวดแน่น ใบหน้าหล่อเหลาตึงเครียดขึงขังมองมายังนาง
ตัวเลขปรากฏขึ้นบนศีรษะ -3% บัดนี้มันกำลังลดฮวบและหยุดลงที่ -6%