แอร์เย็นๆ จากในตัวห้างทำให้ร่างกายกระชุ่มกระชวยมากกว่าเดินตากแดดด้านนอกเป็นไหนๆ ผมพาตัวเองเดินโต๋เต๋ไปอย่างไร้ทิศทางภายในห้างสรรพสินค้าขนาดกว้างขวาง ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่หันมองกันเป็นตาเดียว
อาจเพราะห้างแห่งนี้คือห้างดัง มีคนจำนวนไม่น้อยเข้ามาใช้บริการ และส่วนมากคือคนมีฐานะทั้งนั้น ต่างจากผม โดยเฉพาะกับการแต่งตัวที่ต่างออกไป
กุ๋ย หลายคนเคยจำกัดความการแต่งตัวผมแบบนั้น แต่แล้วยังไงละ? ใครจะสน ในเมื่อ...
‘ไม่เอา ไม่เข้า’
‘เข้าเถอะนะเมือง นานๆ ทีเราจะได้มาเดินห้างกัน’
‘แต่งตัวแบบนี้ จะให้เที่ยวห้าง?’
‘แคร์ทำไมล่ะ?’
‘...’
‘มองแค่ฉัน มีแค่เราสองคนก็พอแล้ว ไปเถอะนะเมือง’ ครั้งแรกที่มาห้างนี้ มันเป็นเพราะคำชวนที่โคตรตื้อของเฌอ เธออยากเที่ยวเหมือนกับคู่รักคนอื่น ซึ่งผมโคตรเกลียด แต่ในตอนนี้ผมกลับอยากมาที่ห้างแห่งนี้อย่างไม่มีเหตุผล
‘หมีของTEDDY HOUSEตัวนี้น่ารักจัง หูยโคตรแพงเลย’ เสียงของเฌอดังขึ้นในหัว ขณะผมก้าวเท้าผ่านบริเวณร้านขายตุ๊กตาชั้นสอง ซึ่งนั่นทำให้เท้าสองข้างหยุดลงโดยทันที
‘เมือง ถ้าเรามีตัง เรามาซื้อหมีตัวนี้กลับบ้านกันนะ’
‘ซื้อเชี่ยไร ไม่มีตัง’
‘ก็บอกว่าถ้าเมืองมีไงละ’
‘พูดมากว่ะ กลับห้องเถอะ’ สิ้นเสียงความคิดในหัว ผมก็กำลังหยิบมือตัวนั้นขึ้นมาถือไว้ในมือ มันต่างจากหมีที่เฌออยากได้ในตอนนั้น แต่มันก็ดูน่ารักไม่ต่างกันสักนิด
“หมีตัวนี้ เท่าไหร่?” ปากผมถามขึ้น พลางเหลือบมองพนักงานขายซึ่งกำลังยืนรอให้บริการอยู่ไม่ไกล
“750 บาทค่ะ หมีของTEDDY HOUSEกอดนุ่มสบายนะ รับประกันของแท้ทุกตัว”
“150ได้มั้ย?”
“คะ?” เธอดูงงๆ
“หมี ลดเหลือ150ได้มั้ย? ไม่ต้องรับประกันความนุ่มก็ได้ ไม่ว่ากัน”
“คุณ! ที่นี่ห้างนะคะ ไม่ใช่ตลาดนัด มาต่อราคาอะไรกันขนาดนี้” คราวนี้เธอเริ่มโวยวายคล้ายกับหัวเสีย
“รู้ว่าห้าง สรุปขายมั้ย150?”
“ไม่ได้ค่ะ!”
“ก็แค่นั้น พล่ามอยู่ได้” ผมโยนหมีในมือใส่เธอแบบไม่ถือสาอะไรต่อคำปฏิเสธ อีกทั้งยังก้าวเท้าเดินต่อไปตามทาง ไม่ได้สนใจเสียงบ่นของพนักงานคนเดิมที่ดูจะไม่พอใจเหมือนคนวัยทองอะไรนั่นนักเท่าไหร่
“...” หมีหนึ่งตัวราคาเกือบพัน ลำพังตัวผมตอนนี้มีเงินติดตัวอยู่เพียงสองร้อยยี่สิบ คิดจะซื้ออะไรสักอย่างให้เฌอคงทำไมได้ ทั้งที่เธอบอกอยากได้มากแท้ๆ จะตอนนี้หรือตอนไหน ก็ทำอะไรที่เธอต้องการไม่ได้สักครั้ง...
...ทุเรศตัวเองฉิบ
‘กินติมมะ เมือง?’
‘เรื่องมากจังวะ เฌอ’
‘นั่นไง ร้านนั่นไอติมโคนอร่อย เก้าบาทเองอ่ะ ซื้อนะ’
‘มีห้าบาท ไม่ต้องกิน กลับ!’
เท้าสองข้างหยุดลงที่หน้าร้านขายไอศกรีมพร้อมเสียงในความคิด ราวกับว่าเสียงของเราในตอนนั้น มันได้พาผมมาที่ร้านไอศกรีมแห่งนี้ ผมยืนจ้องแถวที่ผู้คนต่อเรียงคิวซื้อไอศกรีมอย่างสนใจ พลางล้วงมือหยิบเศษเหรียญจากกระเป๋าหลังออกมาเพื่อนับ
จำนวนเหรียญในมือ ทำผมหลุดหัวเราะออกมาอย่างนึกดีใจ เมื่อผมว่าเงินในมือตอนนี้มันเพียงพอที่จะซื้อของที่เฌออยากได้จนได้ คิดหน้าเฌอไม่ออกเลย ว่าจะดีใจแค่ไหน ถ้าหากผมซื้อไอศกรีมที่เธออยากกินไปให้
แวะไปรอที่สวนใกล้หอเฌอดีกว่า...
[Chernim’s Part ]
17.40 น.
“เอาคืนไป แก้ชื่อให้แล้ว” ฉันยิ้มทะเล้น ยื่นส่งโทรศัพท์มือถือส่งให้กับผู้เป็นเจ้าของ หลังจากจัดการแก้ชื่อในโปรแกรมLineให้เขาจนเสร็จเรียบร้อย
“วันหลังอย่าซนอีก” เหนือว่า ขณะเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงด้วยท่าทางนิ่งๆ พอเห็นเขาเป็นแบบนี้มันก็อดแกล้งไม่ได้
ฉันจงใจขยับตัวเข้าไปนั่งใกล้เหนือ จนอีกฝ่ายเหลือบมองอย่านึกสงสัย พลางอิงหัวพิงไหล่เขาอย่างถือโอกาส ครั้งนี้มันน่าแปลกที่เหนือไม่ได้ทำทีท่าโวยวายเหมือนปกติ แต่นั่งนิ่งยอมให้ฉันกระทำได้อย่างตามใจ อาจเพราะในตอนนี้ที่ที่เราอยู่ ค่อนข้างปลอดคน
วันนี้ฉันกับเหนือเลือกที่จะโดดเรียนและพากันมาในที่ที่แสนสงบอย่างสวนสาธารณะใกล้ๆ หอพักฉันเอง เพราะช่วงนี้เราสองคนมีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยขึ้น ฉันจึงพยายามหาโมเม้นระหว่างเราเพื่อเติมความหวานให้กันอยู่บ่อยๆ โดยที่เขาให้ความร่วมมือ (อันที่จริงบังคับเขามานั่นแหละ -_-)
“นี่เหนือ เบื่อฉันหรือเปล่า” เพราะรู้ว่าตัวเองเป็นคนค่อนข้างเอาแต่ใจ จึงหลุดปากถามออกไปแบบนั้น
“ถามทำไม”
“ก็อยากรู้ ถามไม่ได้หรือไงละ?”
“ถามได้” เขาตอบกลับสั้นๆ แถมยังทำเรื่องที่ฉันคิดไม่ถึงด้วยการใช้มือข้างหนึ่งโอบกอดเอาไว้หลวมๆ และตามมาด้วยคำพูดสั้นๆ “ถ้าเบื่อ คงเลิกไปนานแล้ว”
“...”
“ไม่รักก็คงไม่ห่วงอย่างนี้... ที่ต้องหวงก็เพราะเธอน่ะ...มีแค่คนเดียว” หูมันฟัง ต่างจากสายตาที่เอาแต่หลุบมองต่ำมายังมือของตัวเองที่เกี่ยวพันกันไปมา ทั่วใบหน้ามันร้อนฉ่า อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะเหนือไม่เคยที่จะ... พูดอะไรแบนี้
“ใจน้อย... อ๋อ! อยากร้องเกะก็บอกกันดีๆ ดิ!” และแล้วฉันก็ทนต่อความเขินของตัวเองไม่ไหว รีบผละตัว ลุกขึ้นพลางใช้มือผลักอกเหนือเบาๆ เชิงล้อเล่น เพื่อหวังเปลี่ยนเรื่อง และหวังว่าเขาจะไม่ทันสังเกตว่าฉันกำลังเขิน
ฟึ่บ
ทว่า น้ำเสียงโวยวายแก้เขินของฉันดันถูกทำให้เงียบ เมื่อคนตัวโตจับมือฉันไว้แน่น และใช้สายตาคู่เดิมที่ฉันชอบ มองลึกผ่านเข้ามาในดวงตา
“บอกรัก อย่าเปลี่ยนเรื่อง...”
“...” บะ บ้าจริง! ถึงอยากจะได้โมเม้นแบบนี้ก็เถอะ แต่พอเขาเป็นฝ่ายเริ่มบ้าง ทำไมมันถึงได้เขินแบบนี้นะ
“หากเธอต้องเสียใจ จะไม่มีวันให้อภัยตัวเอง...”
“บ้า!” ฉันเม้มปากแน่น รีบเบือนหน้าหลบสายตาคู่นั้นโดยทันที
“เลิกถาม คำถามแบบนั้นอีก เข้าใจ?”
“อื้อ! ไม่ถามแล้วก็ได้!” ฉันยังคงตอบกลับด้วยน้ำเสียงกึ่งโวยวายแบบเดิม แถมยังไม่กล้ามองหน้าเขาแบบตรงๆ เช่นเคย แม้ว่ามือของเหนือยังคงกุมจับมือฉันไว้แน่น
อีกสิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกเขินจนไม่เป็นอันทำอะไร ก็คงเพราะสวนแห่งนี้เป็นที่ที่เหนือขอฉันคบเมื่อสองปีก่อน มันน่าแปลกนะ ที่ผู้ชายแบบเขาจะยอมทำอะไรๆ เพื่อฉัน แถมยังทนได้มากมากขนาดนี้ คิดไม่ออกเลยว่าถ้าหากในตอนนี้คนที่ฉันคบอยู่ไม่ใช่เหนือ เขาจะพูดและทำแบบนี้กับฉันหรือเปล่า...
‘ยุ่งเชี่ยไรกับเมียกู!’
ผัวะ!
‘เมือง! เมืองหยุดนะ เหนือเป็นเพื่อนฉัน!!’
‘ปกป้องแม่งเหรอเฌอ’
กึก...
ฉันสะดุ้งเฮือก เมื่อจู่ๆ เหนือที่นั่งในตอนแรก ลุกขึ้นยืนโดยที่ยังจับมือของฉันไว้แบบนั้น มันทำให้ฉันเผลอเหลือบมองแก้มข้างหนึ่งของเขาซึ่งเคยโดนใครคนหนึ่งทำร้ายในอดีต ก่อนพลั้งมือเอื้อมแตะแก้มเขาอย่างลืมตัว
“ตอนนี้ ไม่เจ็บแล้วเนอะ” ฉันพูดยิ้มๆ และอดนึกถึงสมัยที่ฉันกับเหนือยังมีสถานะความสัมพันธ์เป็นแค่เพื่อนกันไม่ได้
“เจ็บ? พูดถึงอะไร…” เขาย้อนถามอย่างสงสัย แต่แล้วก็เป็นเขาอีกนั่นแหละ ที่ทำท่า คล้ายกับจะนึกออกแล้วย้อนถามออกมาอีกครั้ง “อ๋อ... ที่โดนไอ้หมอนั่นต่อยน่ะเหรอ?”
แต่...
ในช่วงเวลานี้ ฉันไม่ควรจะพูดถึงผู้ชายคนนั้นสักหน่อย ไม่อยากทำให้บรรยากาศดีๆ ระหว่างเราเสียไป เปลี่ยนเรื่องดีกว่า!
“ช่างมันเถอะ นี่ก็จะเย็นแล้ว ไปหาอะไรกันมั้ย?”
“ฉันบังเอิญเจอหมอนั่นเมื่อวาน” คำพูดของเหนือที่ดูไม่สนใจคำชวนของฉัน ทำเอาใจหายอย่างบอกไม่ถูก หรือว่านี่จะเป็นเรื่องที่ฉันสงสัยเมื่อคืน “มันดูเปลี่ยนไปนะเฌอ”
อีกแล้ว... นอกจากเม้าส์ เหนือก็อีกคนเหรอ ที่มองว่าเมืองเปลี่ยนไป
“มันพูดว่าเธอยังเป็นของมัน ให้เลิกยุ่ง”
“จะพูดอะไรอ่ะเหนือ! พอเลยไม่อยากรู้!” ฉันขัด เพราะไม่อยากฟัง
“เธอยังเป็นของมันอยู่” แต่เขาก็ยังพูด
“พอสักทีเหนือ จะพูดถึงผู้ชายคนนั้นทำไม!” คราวนี้เป็นฉันเองที่เริ่มงี่เง่า ทำนิสัยไม่ดี โวยวายเพื่อกลบเกลื่อนความอยากรู้ของตัวเอง ซึ่งอีกฝ่ายกลับแสดงท่าทีนิ่งเฉย ราวกับคนไร้ความรู้สึก ยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกโกรธเพราะท่าทางซึ่งดูขัดกับคำพูดก่อนหน้านี้ของเขา
“ฉันจะกลับห้องแล้ว!”
“ไม่ให้กลับ” เหนือพูดด้วยเสียงนิ่ง ต่างจากมือที่บีบรั้งตัวฉันที่ทำท่าจะเดินออกห่างแน่น “อยู่ด้วยกันก่อน”
“...”
“ไม่รักกันแล้ว?” อีกครั้งที่คำพูดเหนือ ทำฉันที่กำลังหงุดหงิดให้เริ่มรู้สึกเขินอีกครั้งด้วยคำพูดประโยคสั้นๆ “รักหรือไม่รัก?”
“...”
“อย่าใบ้ ถามก็ตอบ” ให้ตายสิ... หมอนี่กินอะไรเข้าไป ทำไมนึกคึกทำให้เขินได้ทั้งวันเลยนะ!
“รัก...”
“เบาไป”
“รัก”
“ดังกว่านี้”
“รัก! หูตึงหรือไง ไปเช็กหูหน่อยมั้ย... อุ๊บ” เสียงของฉันถูกทำให้เงียบโดยไม่ทันพูดจบประโยคดี เมื่อคนตัวใหญ่ ดึงตัวฉันเข้าไปใกล้ มือของเขาในตอนนี้จับมือฉันไว้แน่น แถมยังใช้แขนอีกข้างโอบรัดรอบเอวฉันไว้ คล้ายกับว่ากลัวฉันจะหนีไปไหน
ริมฝีปากอุ่น บรรจงกดลงมานาบแน่น และอ่อนโยนที่สุดเท่าที่เคยได้รับมา แสดงให้รู้ว่าฉันคือคนสำคัญ ที่เขาจะทะนุถนอมตลอดไป ซึ่งฉันไม่เคยคิดที่จะรังเกียจสัมผัสจากผู้ชายคนนี้เลยสักครั้ง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดฉันยังยืนยันว่าเขาคือผู้ชายที่ดีที่สุด ที่ฉันได้เจอ...
ตุบ!
เสียงของอะไรบางอย่างกระแทกลงกับพื้น พานให้เราทั้งคู่รีบผละตัวออกจากกันด้วยความตกใจ และมองไปยังต้นเสียงด้วยความสงสัย ก่อนพบว่าที่ตรงนั้นมีสายตาอีกคู่กำลังจ้องมองมาด้วยความไม่พอใจ
ร่างสูงใหญ่ของผู้ชายที่ดูคุ้นเคย ที่แตกต่างไปก็คงเป็นทรงผมที่เรียบเกรียนจนแปลกตาออกไป มือของเขาข้างหนึ่งถือของลักษณะทรงกรวยแถมยังเปรอะเปื้อนได้ด้วยน้ำสีขาว ซึ่งถ้ามองไม่ผิด ฉันคิดว่าในมือเขาน่าจะเป็นไอศกรีม...
“เมือง...”
ทั้งที่ไม่อยากเอ่ยชื่อผู้ชายคนนั้น แต่สิ่งที่อยู่ในมือ รวมไปถึงรูปลักษณ์ที่แปลกตาไป มันทำให้ฉันหลุดขานชื่อเขาออกไปทั้งๆ อย่างนั้น
ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดจากปากคนถูกเรียก ทว่า ขากลับเขวี้ยงสิ่งที่อยู่ในมือลงพื้นในทันที มิหนำซ้ำ ยังสาวถามก้าวถี่ ตรงเข้ามาหาเราทั้งคู่อย่างรวดเร็ว
ตึก ตึก ตึก! ตึก ตึก ตึก!
“หยุดนะ! จะทำอะไรน่ะ! ว้ายยย!!” เมืองไม่ฟังเสียงร้องห้าม แถมยังผลักฉันที่ไม่ทันตั้งตัวให้ล้มลงไปกองกับพื้น แล้วที่เขาจะพุ่งตัวหวือเข้ากระแทกหมัดใส่เหนือที่ไม่ทันตั้งหลักอย่างรุนแรง จนเสียการทรงตัว ล้มตึงลงพื้นหญ้า
ทั้งที่เป็นแบบนั้น แต่ดูเหมือนเมืองจะไม่สนใจ เขายังเข้าประชิดตัวเหนือ กระชากคอเสื้อพร้อมทั้งพุ่งหมัดอัดใส่หน้าเหนือราวกับคนขาดสติ
ผัวะ!!
“มึงทำเชี่ยอะไรเมียกู!!!”
“อึก...”
“กูถามให้ตอบ!!”
ผลัก!
“เมือง หยุดนะ!!” เพราะทนต่อสถานการณ์ตรงหน้าไม่ไหว สิ่งที่ฉันทำได้ในเวลานี้ คือการวิ่งเข้าไปห้ามเมืองไม่ให้ทำร้ายเหนือมากไปกว้านี้ แม้จะรู้ว่ามันเป็นวิธีที่โง่มาก
“มึงทำเชี่ยอะไรเมียกู!!” เมืองยังคงตะคอกเสียงดังด้วยคำถามเดมซ้ำๆ แถมยังพุ่งหมัดลุ่นๆ แบบไม่ยั้งแรง ใส่เหนือที่ดูไม่มีทีท่าจะโต้ตอบอะไรคืนไป ที่สำคัญแรงของฉันที่พยายามดึงรั้งชายเสื้อเมืองจากด้านหลัง ไม่อาจจะทำให้เขาหยุดมือลงได้เลย
“เมือง บอกให้หยุด!!” แม้จะรู้ว่าแรงที่มี ไม่อาจทำให้เขาหยุดมือลงได้ก็ตาม แต่ฉันก็ไม่ยอมแพ้ พยายามฉุดกระชากร่างของเมืองให้ออกห่างจากเหนือไม่หยุด
“มึงอยากตายไง!!”
“พอแล้วเมือง!”
“เหี้* เอ้ย!!” เขาโวยวาย ไม่ฟัง ก้าวร้าว และไม่สนใจเหมือนเมื่อก่อน มองไม่ออกเลยว่าที่ทุกคนบอกว่าเขาเปลี่ยนไปมันคือตรงไหน ท่าทางบ้าคลั่งเหมือนคนขาดสติเพราะฤทธิ์ยาแบบนั้น มันก็เลวไม่ต่างไปจากเมื่อก่อนสักเท่าไหร่!
“หยุดบ้าสักที!” ฉันตะเบ็งเสียงขัด ใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักร่างใหญ่ของผู้ชายน่ากลัวจนออกห่างร่างของเหนือที่พยายามดันตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนพาตัวเองเข้าไปกั้นระหว่างพวกเขาเอาไว้ อีกทั้งยังถาม “ทำบ้าอะไร บอกให้ไสหัวไปไง!!”
“มันลวนลาม... เฌอ” เมืองกล่าวออกมาอย่างหน้าตาย ราวกับคนไม่มีความผิด นั่นแหละนิสัยของเขา ไม่ว่าจะทำเลวแค่ไหน เขาก็ไม่เคยเป็นคนผิด!
“พูดบ้าอะไรของนาย”
“เฌอ... ออกมาห่างๆ จะฆ่ามัน!” เขาพูดขณะก้าวไวตรงเข้าใส่เหนืออีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ฉันไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์แบบในตอนแรกได้เด็ดขาด จึงใช้สองมือดันอกผู้ชายเบื้องหน้าให้ถอยออกห่าง
“เหนือไม่ได้ลวนลามฉัน!!”
“...”
“คนนอกอย่างนาย อย่าเสือกได้ปะ!!?” ฉันกำลังโมโห อีกทั้งยังโกรธ ที่ผู้ชายคนนี้ทำตัวบ้าบอไร้เหตุผล แถมยังป่าเถื่อน ไรสามัญสำนึกของความเป็นคน!
“คนนอก? เฌอพูดอะไร…” ทั้งที่ถูกต่อว่าไปขนาดนั้น แต่เขาก็ยังยอกย้อน ราวกับไม่รับรู้ถึงสิ่งที่เพิ่งทำลงไป “ไอ้เชี่ยนั่นต่างหากคนนอก... ไม่รู้อย่าพูดอะไรดีกว่า!”
ว่าแล้วคนนิสัยหยาบก็ใช้มือดึงตัวฉันให้ออกห่างเหนืออย่างแรง ก่อนจะพุ่งมือกระชากร่างเหนือที่ดูอ่อนแรงกว่า ง้างหมัดเน้นๆ เข้าเสยคางจนอีกฝ่ายกระอักเลือด ทั้งที่เป็นแบบนั้น แต่แววตาของพวกเขามันไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
เหนือยังคงมองนิ่งและปล่อยให้เมืองทำร้ายร่างกายของตนแบบไม่มีทีท่าจะโต้ตอบ ส่วนเมืองแววตาของเขามันแข็งกร้าว ดุดันราวกับปีศาจ แถมยังไม่มีทีท่าจะลดความป่าเถื่อน รุนแรงของตัวเองลงเลย
ผลัก!
“มึงยุ่งเชี่ยอะไรกับเมียกู!!”
ผัวะ!
ครั้งแรง ครั้งเล่าที่เมืองพุ่งอัดร่างเหนือด้วยกำหมัดและฝ่าเท้า โดยไม่สนใจแรงของฉันที่พยายามยื้อห้าม อีกทั้งยังผลักฉันกระเด็นออกห่างอย่างไม่ใยดี ราวกับเสือกำลังขย้ำเหยื่อ แถมยังไม่มีทีท่าจะปล่อยเหยื่อในกำมือไปง่ายๆ จนกว่าเป้าหมายจะขาดใจตาย
สถานการณ์ในตอนนี้ มันทำฉันนึกอดีตระหว่างพวกเราอีกแล้ว...
อดีตที่ไม่น่าจดจำเลยสักนิด!
‘หนีผัวมาอยู่กับชู้ ชอบนักเหรอ!’
‘เมือง เหนือเป็นเพื่อนในคณะเฌอนะ’
‘มึงเป็นใคร ทำเชี่ยอะไรเมียกู!!!’
ผัวะ!!
ในตอนนั้นเขาไม่ฟัง เมื่อในตอนนี้ที่ไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน เขาทำร้ายเหนือจนบอบช้ำปางตาย เจตนาคือต้องการให้ตายคามือคาเท้า ด้วยเหตุผลเดิมๆ ที่ว่า ไม่ต้องการให้ฉันเข้าใกล้ใคร
ตอนนี้ก็เช่นกัน...
“หยุดนะเมือง ถ้าไม่หยุด ฉันจะแจ้งความ!” ฉันเรียกสติของตัวเอง พยายามงัดคำขู่ที่พอนึกได้ก่นกล่าวออกไปเพื่อขู่ และมันดูได้ผม เมื่อผู้ชายตรงหน้าชะงักหมัดที่ทำท่าจะพุ่งเข้าใส่ร่างบอบช้ำของเหนือลง
เมืองเหลือบมองฉันด้วยหางตา ขณะค่อยๆ ยอมคลายมือที่กำกระชับคอเสื้อเชิ้ตนักศึกษาของเหนือออกช้าๆ พร้อมด้วยคำถาม
“กลัวมันตาย...เหรอเฌอ?”
“...”
“ห่วงมันมาก...เหรอเฌอ?”