“พระองค์ไม่ควรเสด็จออกไปตามลำพังเช่นนั้นนะพ่ะย่ะค่ะ”
“อาลี...ข้าจำได้ว่าเจ้าเป็นแค่องครักษ์ไม่ใช่เจ้าของชีวิตที่จะมีสิทธิ์มาสั่งข้าได้”
ชีคชารีฟเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านมากกว่าจะไม่พอใจที่องครักษ์หนุ่มแสดงความกังวลออกมา
“ขออภัยแต่กระหม่อมมีหน้าที่ถวายความปลอดภัยให้พระองค์ แต่นี่กระหม่อมกลับไม่รู้ว่าพระองค์เสด็จออกนอกวัน”
“ถ้าขนาดเจ้ายังไม่รู้ คนอื่นก็ไม่รู้เช่นกัน” ชีคชารีฟหัวเราะในลำคอแล้วเลื่อนแฟ้มเอกสารที่ลงพระนามแล้วออกไปด้านข้าง ทรงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “อย่ากังวัลกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเลยอาลี”
องครักษหนุ่มถอนหายใจหนักๆ “กระหม่อมหวังใจว่าจะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้อีก”
“ข้าไม่รับปาก แต่รับรองว่าไม่ทำให้เจ้าเดือดร้อน” ทรงยิ้มเจ้าเล่ห์ “ข้อมูลที่ข้าให้เจ้าไปสืบมาล่ะ”
“ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” อาลียื่นแฟ้มเอกสารถวายให้ชีคชารีฟ
ชีคหนุ่มรับแฟ้มเอกสารมาเปิดออกแล้วก็ยิ้มอย่างเพิ่งพอใจ “อายุแค่ยี่สิบสี่ก็ได้ปริญาตรีสองใบแล้วก็ปริญาโทด้านศิลปะจากอังกฤษ มีคู่หมั้นแต่เพิ่งถอนหมั้นไปเมื่อสองเดือนก่อนเพราะฝ่ายชายต้องรับผิดชอบผู้หญิงอีกคน.... ที่มาที่นี่ก็คงมารักษาแผลใจละสิ แม่หนูน้อย”
“ได้ยินว่าจะมีการจัดงานเปิดตัวโรงแรมไดมอนและมีแฟชั่นโชว์เครื่องเพชร...” อาลีเอ่ยเบาๆ “สายของเรารายงานว่าวิชญะจะนำน้ำตาจันทราออกแสดงในครั้งนี้ด้วย”
“บังอาจนัก!” ชีคชารีฟขว้างแฟ้มเอกสารลงพื้นอย่างแรงด้วยความโมโห “มันกล้าเอาสมบัติล้ำค่าของบัดรีญามาแสดงได้อย่างไร! น้ำตาจันทราไม่ใช่ของเล่นที่จะให้ใครมาใส่อวดโชว์ได้ง่ายๆ”
อาลีผ่อนลมหายใจเบาๆ เขาคิดไว้แล้วว่าถ้าเอ่ยไปต้องทรงโมโหมากขนาดนี้ “ผู้ที่จะแสดงโชว์น้ำตาจันทราคือหลานสาวของวิชญะ”
“มันช่างไม่กลัวว่าจะไร้เงาหัวนัก!” ชีคชารีพลุกขึ้นยืนแล้วก้มมองรูปติชิลาในแฟ้มที่กางอยู่บนพื้น “หรือมันอยากจับหลานสาวใส่ตะกร้าล้างน้ำออกเร่ขาย!”
“เราจะทำประการใดต่อพ่ะย่ะค่ะ”
ใบหน้าคมเข้มกระตุกยิ้มเหี้ยมเกรียมที่มุมปาก “เราก็ใช้โอกาสนี้นำเพชรน้ำตาจันทรากลับสู่บัลลังก์มุกเคอร์จีของเรา”
“พระองค์จะทำเช่นไร ขนาดเราขอซื้อเท่าไหร่วิชญะก็ไม่ยอมขายและไม่ส่งคืนให้เรา”
“พูดดีๆ แล้วไม่รู้เรื่องก็ไม่จำเป็นต้องสนใจอะไรแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้น...”
“เรื่องนั้นปล่อยเป็นหน้าที่ของข้าเถอะ” ชีคชารีฟโบกพระหัตถ์ไปมาเหมือนต้องการตัดบท
“อ่อ! ท่านอาฮาซันมาถึงหรือยัง?”
“มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ กำลังสนทนากับท่านอิคลาศอยู่ที่ห้องนั่งเล่นพะย่ะค่ะ”
“ข้าไม่ชอบใจที่เห็นอิคลาศสนิทกับท่านอาฮาซันเลย” ชีคชารีฟถอนหายใจหนักๆ “อิคลาศจะไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมท่านอาและไม่รู้ว่าท่านอาเอาอะไรไปเป่าหูอิคลาศบ้าง”
“ท่านอิคลาศเป็นคนฉลาดคงไม่เป็นเช่นที่พระองค์คิดแน่” อาลีเอ่ยขึ้น “กระหม่อมจะไปตามท่านฮาซันให้พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้อง” ชีคชารีฟยกมือห้าม “ข้าจะเดินไปหาท่านอาเอง”
ชีคชารีฟก้าวพระบาทออกจากห้องทรงงาน เดินไปตามทางเดินเพียงไม่กี่นาทีก็ถึงที่หมายโดยมีอาลีก้าวตามไปติดๆ
“ข้างนอกวังจะมีโรงแรมใหญ่โตจริงๆ หรือท่านอา” อิคลาศเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแววตาอยากรู้ราวกับเด็กสิบขวบทั้งที่ปีนี้ชายหนุ่มอายุยี่สิบห้าปีแล้วก็ตาม
“จริงพ่ะย่ะค่ะ” ฮาซันตอบ ชายวัยกลางคนรูปร่างเตี้ยหันหน้าไปทางประตู เมื่อเห็นว่าผู้เข้ามาคือกษัตริย์แห่งบัดรีญาก็ลุกขึ้นถวายความเคารพ
“กระหม่อมเห็นเจ้าชายอิคลาศอยู่ลำพังจึงเข้ามาสนทนาเป็นเพื่อนเล่น ไม่รู้ว่าถึงเวลานัดหมายแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไร ไม่ใช่ธุระสำคัญอะไร ข้าแค่อยากสอบถามโครงการชลประทานว่าคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว”
“ถ้าเป็นเรื่องไม่ต้องเป็นกังวลเลย โครงการคืบหน้าไปกว่า60%แล้ว คาดว่าจะเสร็จเรียบร้อยทันฤดูฝนที่จะมาเยือน”
“หากเป็นเช่นนั้นจริงย่อมส่งผลดีต่อประชาชนบัดรีญาของเรา” ชีคชารีฟแม้ว่าจะทรงไม่ไว้ใจท่านอาของเขานักแต่ก็ทรงยอมรับความสามารถในการบริหารงานของเขา
“เพื่อประโยชน์ของอัดรีญา ไม่ว่าเหนื่อยยากสาหัสเพียงใด กระหม่อมก็ยินดีทำ”
“ขอบใจท่านอาฮาซันเป็นอย่างมาก” ชีคชารีฟเอ่ยรับ
“เอ่อ...คนจากโรงแรมไดมอนส่งการ์ดเรียนเชิญพระองค์ไปเป็นประธานงานเปิดโรงแรมอย่างเป็นทางการพ่ะย่ะค่ะ”
“โรงแรมไดมอน” ชีคชารีฟทวนคำแล้วถอนหายใจเบาๆ “เรารู้แล้ว แต่ไม่เห็นความสำคัญที่จะต้องไป”
“พระองค์ต้องเสด็จไปนะพะย่ะค่ะ ยังไงโรงแรมนี้ก็ถือเป็นก้าวแรกของการเปิดประเทศในเชิงธุรกิจการท่องเที่ยว”
“เอาเถอะ! เราจะไม่ให้เสียงานเสียการอันใด” ชีคชารีฟเอ่ยรับอย่างเสียไม่ได้
“ไปด้วยๆ ให้ข้าไปด้วยนะ ข้าอยากไปเที่ยว” อิคลาศร้องขึ้นด้วยความตื่นเต้นแล้วรีบลุกจากเก้าอี้ไปเขย่าแขนของชีคชารีฟแรงๆ “ให้ข้าไปกับท่านพี่ด้วยนะ ข้าอยากไปเที่ยว!!”
ชีคชารีฟมองน้องชายต่างมารดาด้วยแววตาอาทรก่อนยกพระหัตถ์ลูบศีรษะอิคลาศเบาๆ แม้ว่าเขาจะอายุ 25 ปีแล้ว แต่ยังทำตัวเหมือนเด็ก10ขวบที่เขาต้องดูแลอย่างใกล้ชิด
“ที่นั่นมีคนเยอะแยะมากมาย เจ้าไม่ชอบไม่ใช่รึ”
“มีคนเยอะเหรอ” อิคลาศทวนคำแล้วกรอกตาไปมา “คน...คนพวกนั้น...จะทำร้ายข้าหรือไม่”