บุรุษหนุ่มเจ้าของความสูง187 เซนติเมตร ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทำงานในห้อง เอกสารปึกใหญ่ถูกโยนบนโต๊ะอย่างไม่ไยดี
“มีความเคลื่อนไหวอย่างอื่นอีกไหม”
“เท่าที่สายของเรารายงานมา...ได้ข่าวว่าคุณวิชญะเพิ่งไปรับหลานสาวมาอยู่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“หลานสาว? หลานสาวที่ไหน?”
“ได้ยินว่ามาจากเมืองไทยพะย่ะค่ะ”
ชีคหนุ่มนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วยกมือลูบคางเปื้อนเคราของตนเอง “มีข้อมูลไหม”
“รู้เพียงเบื้องต้นว่าชื่อ ติชิลา จิตรกัญญา อายุยี่สิบสี่ปีพะย่ะค่ะ”
อาลี-องครักษ์หนุ่มรายงาน “หากพระองค์สนใจ กระหม่อมจะหาข้อมูลรายงานให้ทราบ”
“ดี หากจำเป็นเราอาจต้องใช้เธอ”
“เพื่อแลกกับเพชรน้ำตาจันทราหรือพะย่ะค่ะ”
ชีคชารีฟ ชาฮ์ มุกเคอร์จี ทรงกระตกยิ้มที่มุมปากแล้วลุกขึ้นยืนเดินไปที่หน้าต่าง เบื้องหน้าคือสนามหญ้ากว้างใหญ่ แต่ไกลออกไปคืออาณาจักรบัดรีญที่ยิ่งใหญ่มายาวนาน และอีกไม่นานก็จะมีการเฉลิมฉลองการขึ้นสู่ปีที่หกร้อย แม้เป็นเพียงประเทศเล็กๆ แต่ในกลุ่มประเทศผู้ค้าน้ำมันแล้ว บัดรีญาไม่น้อยหน้าชาติใดเช่นกัน
“ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไร ข้าต้องเอาน้ำตาจันซากลับคือสู่บัลลังก์มุกเคอร์จีของเราให้ได้!”
น้ำเสียงที่ประกาศกร้าวของ ชีคชารีฟ ชาฮ์ มุกเคอร์จี ทำให้คนสนิทได้ยินถึงกับเย็นสันหลังวาบ ใบหน้าที่เคร่งขรึมอยู่แล้วยิ่งทำให้ดูน่าเกรงขามดุจราชสีห์แห่งทะเลทราย
ชีคชารีฟหันหลังกลับมามององครักษ์แล้วพยักพระพักตร์ให้เล็กน้อย “เจ้าไปพักผ่อนเถิด แต่พรุ่งนี้ข้าต้องได้ข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับหลานสาวของวิชญะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”อาลีก้มศีรษะถวายความเคารพแล้วก้าวออกไปเงียบๆ
ชีคชารีฟ ชาฮ์ มุกเคอร์จี บุรุษหนุ่มวัย 32 ที่มีพระพักตร์เคร่งขรึมอยู่เสมอ แม้หน้าที่การงานจะหนักหน่วงเพียงใดแต่สำหรับพระองค์แล้ว “น้ำตาจันทรา” เป็นเรื่องสำคัญที่สุดเสมอ
ทั้งที่ในที่พำนักมีคนรับใช้และทหารยามมากมายแต่กลับรู้สึกได้ถึงความเงียบเหงาและวังเวง มันเป็นเช่นนี้มานานนับสิบปี ตั้งแต่วันที่เพชรน้ำตาจันทราหายไปจากราชวงศ์
ชีคชารีฟถอนพระทัยหนักๆ เมื่อคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา สิบปีที่แล้วพระองค์ยังทรงประทับอยู่ที่ลอนดอน ทราบข่าวเพียงแค่ว่าเสด็จแม่ของพระองค์พยายามหลบหนีออกจากพระราชวังพร้อมด้วยเพชรน้ำตาจันทรา ซึ่งเป็นเพชรประจำราชวงศ์มุกเคอร์จีจะมอบให้เฉพาะผู้เป็นราชินีของแผ่นดินบัดรีญาเท่านั้น
เขาไม่สามารถเดินทางกลับมาได้ทันเวลา เสด็จแม่ของเขาสิ้นพระชมน์ก่อนที่การสอบสวนหาความจริงจะเริ่มขึ้น เสด็จพ่อไม่ทรงยอมกล่าวถึงเรื่องนี้อีกมอบหมายเพียงให้เขาติดตามหาเพชรน้ำตาจันทราคืนให้ได้ หลังจากที่เสด็จแม่ล่วงลับเพียงห้าปีเศษเสด็จพ่อก็สิ้นพระชมน์ตามด้วยโรคหัวใจ
เป็นเวลาเนิ่นนานราวสิบปีที่ชีคชารีฟออกสืบเสาะค้นหาการหายไปของน้ำตาจันทราอย่างเงียบๆ เพราะไม่ต้องการเป็นข่าวและเป็นที่ครหาแต่กระนั้นก็ยังมีเสียงกระซิบนินทาเรื่องที่เสด็จแม่ของเขานำเพชรออกจากวังเพียงเพื่อต้องแลกมันเป็นเงินในการเริ่มต้นชีวิตใหม่นอกประเทศบัดรีญ่า!
พระหัตถ์กำเข้าหากันแน่นก่อนจะทุบไปที่ผนังห้องเพื่อระบายความโกรธแค้น! เขาไม่มีทางเชื่อว่าเสด็จแม่จะทรงทำเช่นนั้น รู้ดีว่าเสด็จแม่ทรงคิดถึงประเทศที่จากมา แต่ไม่มีทางจะนำเพชรที่เป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์ไปขายเพื่อแลกกับเศษเงินแน่! ทางเดียวที่จะแก้คำครหานั้นได้คือตามหาเพชรน้ำตาจันทรากลับมาและสืบให้รู้ความจริง
สองเดือนที่แล้ว สายสืบส่งข่าวมาว่า ‘เพชรน้ำตาจันทรา’ อยู่ที่เมืองไทย เมื่อข้อมูลมีความแน่ชัดกว่า70% เขาก็ไม่รอช้าที่จะเดินทางไปค้นหาด้วยตนเอง แต่กลับเจอคนที่ไม่ควรค่าที่จะมาเหยียบแผ่นดินบัดรีญาด้วยซ้ำ!
‘ผมได้เพชรน้ำตาจันทรามาอย่างถูกต้อง แล้วจู่ๆ ท่านจะมาทวงของสิ่งนั้นคืนได้อย่างไรกัน’
‘ถ้าอย่างนั้น...เราก็จะขอซื้อน้ำตาจันทราคืน...’
‘ซื้อคืน? ท่านคิดว่ามีเงินมากพอที่จะซื้อทุกสิ่งได้หรือไรกัน’
‘กล้าบังอาจต่อรองกับเรารึ!!”
‘ของสิ่งนี้ก็มีค่ากับจิตใจผมเช่นกัน และผมมีหน้าที่ที่จะเก็บรักษามันไว้’
‘วชิญะ! เจ้าก็รู้ว่าข้าคือใคร! เจ้ายังกล้าพูดเช่นนี้กับข้ารึ!!’
‘ผมไม่ใช่พลเมืองบัดรีญา อ้อ! แม้ว่าจะถือหุ้นในโรงแรมไดมอนถึงสี่สิบเปอร์เซ็นต์ก็ตาม แต่ไม่จำเป็นต้องทำตัวตกอยู่ใต้คำบัญชาของท่าน’
‘นี่เจ้า!!’
‘ถ้าทรงมาถึงที่นี่เพียงเพราะต้องการพูดเรื่องแค่นี้ละก็...ผมว่ามันไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย เอาไว้เรากลับไปคุยกันที่บัดรีญาก็ได้ ยังไงผมต้องแวะไปดูกิจการทางนั้นเสียหน่อย’
ชีคชารีฟไม่คิดว่าจะมีคนที่เย่อหยิ่งอย่างวิชญะทำธุรกิจในประเทศของเขาได้ อาจเป็นเพราะเขาไมได้ตรวจสอบเบื้องลึกของชายผู้นี้ให้มากพอ จึงได้กล้าต่อปากต่อคำอย่างไม่เกรงกลัวใดๆ ทั้งสิ้น
“หลานสาว? นี่กล้าพาหลานสาวมาถึงที่บัดรีญาเชียวหรือนี่!!” ชีคชารีฟหัวเราะในลำคอ เอาซิ! ขอให้ได้เห็นหน้าเห็นตาหลานสาวคนใจสกปรกผู้นั้นก่อนเถิด แล้วเขาอาจจะปราณีต้อนรับอย่างไม่รู้ลืม!
เพล้ง!!!
เสียงของตกแตกทำให้ชีคชารีฟตื่นจากภวังค์ ทรงถอนพระทัยหนักๆ ก่อนก้าวเท้าออกไปตามเสียงที่ได้ยินซึ่งอยู่ไม่ไกลจากห้องทรงงานนัก หญิงรับใช้สองสามคนที่รู้ว่าเขาเดินเข้ามาต่างพากันถอยออกห่างเหลือเพียงชายหนุ่มวัย 25 ปีที่กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่บนพื้นพรมที่มีเศษแก้วกระจัดกระจาย
“อิคลาศ...เจ้ากำลังทำอะไร” น้ำเสียงเนืองๆ ถามอย่างไม่ได้จะเอาความผิดแต่ประการใด ทรงโบกพระหัตถ์ให้นางกำนัลถอยห่างแล้วค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งบนส้นพระบาท
“ท่านพี่ชีรีฟ!” ชายหนุ่มเรียกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแล้ว “ข้าเห็นดอกไม้ในขวดนี่สวยดี อยากจะเอาดอกไม้ให้ท่านพี่แต่ข้าเอาออกไม่ได้ก็เลยทำขวดมันแตก”
“อ่อ…” ชีคชารีฟมองดูเศษแก้วที่หล่นเกลือนอยู่ที่พื้น คงเป็นดอกไม้ในขวดที่อาลีนำมาเป็นของขวัญให้อิคคลาสเอาไว้ดูเล่นนั้นแหละ “เจ้าบาดเจ็บหรือไม่”
“ไม่ๆ แต่ข้าทำขวดแตก” ชายหนุ่มส่ายหน้าแล้วยิ้มแหย “ท่านพี่ชารีฟโกรธข้าหรือไม่”
“ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด” เขาพยุงน้องชายต่างมารดาขึ้นยืนแล้วหันไปทางสั่งนางกำนัลจัดการเก็บกวาดเศษแก้ว “คราวหน้าเจ้าทำอะไรก็ระวังหน่อย”
“พ่ะย่ะค่ะท่านพี่” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเบา “ข้าหิวแล้วอยากกินของหวาน ท่านพี่ไปกินกับกระหม่อมไหมพะย่ะค่ะ”
“พี่ไม่ชอบของหวาน” ชีคชารีฟถอนหายใจเบาๆ “เจ้าไปกินเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ชีคชารีฟได้แต่มองร่างของน้องชายต่างมารดาด้วยสายตาที่เหนื่อยอ่อน 15 ปีที่แล้ว อิคลาศ ชาฮ์ มุกเคอร์จี น้องชายที่อายุห่างจากเขา 7 ปี ถูกโจรทะเลทรายลักพาตัวไป ตอนนั้นเสด็จพ่อส่งกองทหารไล่ล่าจนพาอิคลาศกลับมาได้อย่างปลอดภัย แต่เมื่อเขาฟื้นขึ้นกลับนิ่งเงียบไปหลายวัน คราแรกแพทย์หลวงเข้าใจว่าเป็นเพราะตกใจอย่างหนักแต่เมื่อค่อยๆ ดูอาการต่อมาจึงรู้แน่ชัดว่า อิคลาศได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรงจนเหมือนสติปัญญาจะหยุดการเจริญเติบโต เขากลายเป็นเด็กสิบขวบที่ไม่ประสีประสาและเอาแต่เล่นสนุกไปวันๆ แม้ในขณะนี้เขาจะเป็นชายหนุ่มอายุ 25 ปีแล้วก็ตาม
เสด็จพ่อของเขามีลูกมากมายก็จริง แต่มีเพียงไม่กี่คนที่เสด็จพ่อรับมาอยู่ในพระราชวังและมอบยศศักดิ์ให้ สำหรับอิคลาสนั้นก็เป็นหนึ่งใน ‘ลูกรัก’ ที่เสด็จพ่อทรงเป็นกังวล ก่อนสิ้นใจทรงย้ำหนักหนาให้เขาดูแลอิคลาศอย่างดีที่สุด
ภาระและหน้าที่มันช่างแสนหนักหน่วงจนชีคชารีฟรู้สึกเหมือนไหล่ทั้งสองถูกกดทับด้วยสิ่งที่มองไม่เห็น อีกนานเท่าไหร่ที่ภาระหน้าที่เหล่านั้นจะเบาบางลงเสียที จะมีสักวันไหมที่เขายิ้มหรือหัวเราะเช่นเดียวกับคนธรรมดาทั่วไป