บทที่2.หลานสาว

1518 Words
บุรุษหนุ่มเจ้าของความสูง187 เซนติเมตร ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทำงานในห้อง เอกสารปึกใหญ่ถูกโยนบนโต๊ะอย่างไม่ไยดี  “มีความเคลื่อนไหวอย่างอื่นอีกไหม”            “เท่าที่สายของเรารายงานมา...ได้ข่าวว่าคุณวิชญะเพิ่งไปรับหลานสาวมาอยู่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”   “หลานสาว? หลานสาวที่ไหน?”      “ได้ยินว่ามาจากเมืองไทยพะย่ะค่ะ”   ชีคหนุ่มนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วยกมือลูบคางเปื้อนเคราของตนเอง “มีข้อมูลไหม”    “รู้เพียงเบื้องต้นว่าชื่อ ติชิลา จิตรกัญญา อายุยี่สิบสี่ปีพะย่ะค่ะ”     อาลี-องครักษ์หนุ่มรายงาน “หากพระองค์สนใจ กระหม่อมจะหาข้อมูลรายงานให้ทราบ”    “ดี หากจำเป็นเราอาจต้องใช้เธอ”    “เพื่อแลกกับเพชรน้ำตาจันทราหรือพะย่ะค่ะ”              ชีคชารีฟ ชาฮ์ มุกเคอร์จี ทรงกระตกยิ้มที่มุมปากแล้วลุกขึ้นยืนเดินไปที่หน้าต่าง   เบื้องหน้าคือสนามหญ้ากว้างใหญ่ แต่ไกลออกไปคืออาณาจักรบัดรีญที่ยิ่งใหญ่มายาวนาน และอีกไม่นานก็จะมีการเฉลิมฉลองการขึ้นสู่ปีที่หกร้อย  แม้เป็นเพียงประเทศเล็กๆ แต่ในกลุ่มประเทศผู้ค้าน้ำมันแล้ว บัดรีญาไม่น้อยหน้าชาติใดเช่นกัน    “ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไร ข้าต้องเอาน้ำตาจันซากลับคือสู่บัลลังก์มุกเคอร์จีของเราให้ได้!”   น้ำเสียงที่ประกาศกร้าวของ ชีคชารีฟ ชาฮ์ มุกเคอร์จี ทำให้คนสนิทได้ยินถึงกับเย็นสันหลังวาบ ใบหน้าที่เคร่งขรึมอยู่แล้วยิ่งทำให้ดูน่าเกรงขามดุจราชสีห์แห่งทะเลทราย                ชีคชารีฟหันหลังกลับมามององครักษ์แล้วพยักพระพักตร์ให้เล็กน้อย “เจ้าไปพักผ่อนเถิด แต่พรุ่งนี้ข้าต้องได้ข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับหลานสาวของวิชญะ”  “พ่ะย่ะค่ะ”อาลีก้มศีรษะถวายความเคารพแล้วก้าวออกไปเงียบๆ ชีคชารีฟ ชาฮ์ มุกเคอร์จี บุรุษหนุ่มวัย 32 ที่มีพระพักตร์เคร่งขรึมอยู่เสมอ แม้หน้าที่การงานจะหนักหน่วงเพียงใดแต่สำหรับพระองค์แล้ว “น้ำตาจันทรา” เป็นเรื่องสำคัญที่สุดเสมอ    ทั้งที่ในที่พำนักมีคนรับใช้และทหารยามมากมายแต่กลับรู้สึกได้ถึงความเงียบเหงาและวังเวง มันเป็นเช่นนี้มานานนับสิบปี ตั้งแต่วันที่เพชรน้ำตาจันทราหายไปจากราชวงศ์    ชีคชารีฟถอนพระทัยหนักๆ เมื่อคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา สิบปีที่แล้วพระองค์ยังทรงประทับอยู่ที่ลอนดอน       ทราบข่าวเพียงแค่ว่าเสด็จแม่ของพระองค์พยายามหลบหนีออกจากพระราชวังพร้อมด้วยเพชรน้ำตาจันทรา   ซึ่งเป็นเพชรประจำราชวงศ์มุกเคอร์จีจะมอบให้เฉพาะผู้เป็นราชินีของแผ่นดินบัดรีญาเท่านั้น         เขาไม่สามารถเดินทางกลับมาได้ทันเวลา เสด็จแม่ของเขาสิ้นพระชมน์ก่อนที่การสอบสวนหาความจริงจะเริ่มขึ้น            เสด็จพ่อไม่ทรงยอมกล่าวถึงเรื่องนี้อีกมอบหมายเพียงให้เขาติดตามหาเพชรน้ำตาจันทราคืนให้ได้    หลังจากที่เสด็จแม่ล่วงลับเพียงห้าปีเศษเสด็จพ่อก็สิ้นพระชมน์ตามด้วยโรคหัวใจ             เป็นเวลาเนิ่นนานราวสิบปีที่ชีคชารีฟออกสืบเสาะค้นหาการหายไปของน้ำตาจันทราอย่างเงียบๆ เพราะไม่ต้องการเป็นข่าวและเป็นที่ครหาแต่กระนั้นก็ยังมีเสียงกระซิบนินทาเรื่องที่เสด็จแม่ของเขานำเพชรออกจากวังเพียงเพื่อต้องแลกมันเป็นเงินในการเริ่มต้นชีวิตใหม่นอกประเทศบัดรีญ่า!    พระหัตถ์กำเข้าหากันแน่นก่อนจะทุบไปที่ผนังห้องเพื่อระบายความโกรธแค้น! เขาไม่มีทางเชื่อว่าเสด็จแม่จะทรงทำเช่นนั้น รู้ดีว่าเสด็จแม่ทรงคิดถึงประเทศที่จากมา  แต่ไม่มีทางจะนำเพชรที่เป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์ไปขายเพื่อแลกกับเศษเงินแน่!  ทางเดียวที่จะแก้คำครหานั้นได้คือตามหาเพชรน้ำตาจันทรากลับมาและสืบให้รู้ความจริง     สองเดือนที่แล้ว สายสืบส่งข่าวมาว่า ‘เพชรน้ำตาจันทรา’ อยู่ที่เมืองไทย  เมื่อข้อมูลมีความแน่ชัดกว่า70% เขาก็ไม่รอช้าที่จะเดินทางไปค้นหาด้วยตนเอง แต่กลับเจอคนที่ไม่ควรค่าที่จะมาเหยียบแผ่นดินบัดรีญาด้วยซ้ำ! ‘ผมได้เพชรน้ำตาจันทรามาอย่างถูกต้อง แล้วจู่ๆ ท่านจะมาทวงของสิ่งนั้นคืนได้อย่างไรกัน’             ‘ถ้าอย่างนั้น...เราก็จะขอซื้อน้ำตาจันทราคืน...’             ‘ซื้อคืน? ท่านคิดว่ามีเงินมากพอที่จะซื้อทุกสิ่งได้หรือไรกัน’             ‘กล้าบังอาจต่อรองกับเรารึ!!”             ‘ของสิ่งนี้ก็มีค่ากับจิตใจผมเช่นกัน และผมมีหน้าที่ที่จะเก็บรักษามันไว้’             ‘วชิญะ! เจ้าก็รู้ว่าข้าคือใคร! เจ้ายังกล้าพูดเช่นนี้กับข้ารึ!!’             ‘ผมไม่ใช่พลเมืองบัดรีญา อ้อ! แม้ว่าจะถือหุ้นในโรงแรมไดมอนถึงสี่สิบเปอร์เซ็นต์ก็ตาม แต่ไม่จำเป็นต้องทำตัวตกอยู่ใต้คำบัญชาของท่าน’             ‘นี่เจ้า!!’             ‘ถ้าทรงมาถึงที่นี่เพียงเพราะต้องการพูดเรื่องแค่นี้ละก็...ผมว่ามันไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย เอาไว้เรากลับไปคุยกันที่บัดรีญาก็ได้ ยังไงผมต้องแวะไปดูกิจการทางนั้นเสียหน่อย’             ชีคชารีฟไม่คิดว่าจะมีคนที่เย่อหยิ่งอย่างวิชญะทำธุรกิจในประเทศของเขาได้  อาจเป็นเพราะเขาไมได้ตรวจสอบเบื้องลึกของชายผู้นี้ให้มากพอ จึงได้กล้าต่อปากต่อคำอย่างไม่เกรงกลัวใดๆ ทั้งสิ้น               “หลานสาว? นี่กล้าพาหลานสาวมาถึงที่บัดรีญาเชียวหรือนี่!!”     ชีคชารีฟหัวเราะในลำคอ เอาซิ! ขอให้ได้เห็นหน้าเห็นตาหลานสาวคนใจสกปรกผู้นั้นก่อนเถิด แล้วเขาอาจจะปราณีต้อนรับอย่างไม่รู้ลืม!             เพล้ง!!!             เสียงของตกแตกทำให้ชีคชารีฟตื่นจากภวังค์ ทรงถอนพระทัยหนักๆ ก่อนก้าวเท้าออกไปตามเสียงที่ได้ยินซึ่งอยู่ไม่ไกลจากห้องทรงงานนัก  หญิงรับใช้สองสามคนที่รู้ว่าเขาเดินเข้ามาต่างพากันถอยออกห่างเหลือเพียงชายหนุ่มวัย 25 ปีที่กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่บนพื้นพรมที่มีเศษแก้วกระจัดกระจาย “อิคลาศ...เจ้ากำลังทำอะไร” น้ำเสียงเนืองๆ ถามอย่างไม่ได้จะเอาความผิดแต่ประการใด ทรงโบกพระหัตถ์ให้นางกำนัลถอยห่างแล้วค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งบนส้นพระบาท             “ท่านพี่ชีรีฟ!”      ชายหนุ่มเรียกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแล้ว “ข้าเห็นดอกไม้ในขวดนี่สวยดี อยากจะเอาดอกไม้ให้ท่านพี่แต่ข้าเอาออกไม่ได้ก็เลยทำขวดมันแตก”             “อ่อ…”  ชีคชารีฟมองดูเศษแก้วที่หล่นเกลือนอยู่ที่พื้น คงเป็นดอกไม้ในขวดที่อาลีนำมาเป็นของขวัญให้อิคคลาสเอาไว้ดูเล่นนั้นแหละ “เจ้าบาดเจ็บหรือไม่”             “ไม่ๆ แต่ข้าทำขวดแตก”   ชายหนุ่มส่ายหน้าแล้วยิ้มแหย “ท่านพี่ชารีฟโกรธข้าหรือไม่”             “ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด” เขาพยุงน้องชายต่างมารดาขึ้นยืนแล้วหันไปทางสั่งนางกำนัลจัดการเก็บกวาดเศษแก้ว “คราวหน้าเจ้าทำอะไรก็ระวังหน่อย”             “พ่ะย่ะค่ะท่านพี่” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเบา “ข้าหิวแล้วอยากกินของหวาน ท่านพี่ไปกินกับกระหม่อมไหมพะย่ะค่ะ”             “พี่ไม่ชอบของหวาน”  ชีคชารีฟถอนหายใจเบาๆ “เจ้าไปกินเถอะ”             “พ่ะย่ะค่ะ”                     ชีคชารีฟได้แต่มองร่างของน้องชายต่างมารดาด้วยสายตาที่เหนื่อยอ่อน 15 ปีที่แล้ว อิคลาศ ชาฮ์ มุกเคอร์จี น้องชายที่อายุห่างจากเขา 7 ปี ถูกโจรทะเลทรายลักพาตัวไป ตอนนั้นเสด็จพ่อส่งกองทหารไล่ล่าจนพาอิคลาศกลับมาได้อย่างปลอดภัย     แต่เมื่อเขาฟื้นขึ้นกลับนิ่งเงียบไปหลายวัน  คราแรกแพทย์หลวงเข้าใจว่าเป็นเพราะตกใจอย่างหนักแต่เมื่อค่อยๆ ดูอาการต่อมาจึงรู้แน่ชัดว่า อิคลาศได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรงจนเหมือนสติปัญญาจะหยุดการเจริญเติบโต เขากลายเป็นเด็กสิบขวบที่ไม่ประสีประสาและเอาแต่เล่นสนุกไปวันๆ แม้ในขณะนี้เขาจะเป็นชายหนุ่มอายุ 25 ปีแล้วก็ตาม  เสด็จพ่อของเขามีลูกมากมายก็จริง แต่มีเพียงไม่กี่คนที่เสด็จพ่อรับมาอยู่ในพระราชวังและมอบยศศักดิ์ให้ สำหรับอิคลาสนั้นก็เป็นหนึ่งใน ‘ลูกรัก’ ที่เสด็จพ่อทรงเป็นกังวล ก่อนสิ้นใจทรงย้ำหนักหนาให้เขาดูแลอิคลาศอย่างดีที่สุด              ภาระและหน้าที่มันช่างแสนหนักหน่วงจนชีคชารีฟรู้สึกเหมือนไหล่ทั้งสองถูกกดทับด้วยสิ่งที่มองไม่เห็น  อีกนานเท่าไหร่ที่ภาระหน้าที่เหล่านั้นจะเบาบางลงเสียที จะมีสักวันไหมที่เขายิ้มหรือหัวเราะเช่นเดียวกับคนธรรมดาทั่วไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD