ตอนที่ 3 น้องสาวบุญธรรม

3842 Words
ผ่านไปกว่าสิบวันแล้วที่เยว่ซินมาอยู่ที่บ้านหลัว และในวันนี้เป็นวันอาทิตย์หรือวันหยุดของคนที่ทำงานในเมือง รวมทั้งเด็กหนุ่มวัยยี่สิบสามปีของบ้านหลัวด้วย เขาได้รับข่าวว่าพ่อแม่ของเขารับเด็กสาวอายุสิบแปดเป็นลูกบุญธรรมจึงตั้งใจเดินทางมาดู แม้จะอยู่หมู่บ้านเดียวกัน แต่เขาเข้าไปเรียนในตัวอำเภอจึงไม่เคยเห็นหรือพูดคุยกับเด็กสาวผู้นี้มาก่อน “พ่อครับ แม่ครับ ผมกลับมาแล้ว” เขารู้สึกได้ทันทีที่กลับมาถึงบริเวณหน้าบ้าน ไม่เพียงแค่ข้าวของที่เคยกองอยู่หายไป ยังพบว่ามีกระถางดอกไม้ถูกนำมาประดับจำนวนไม่น้อยทีเดียว “ว่านเทาแกกลับมาแล้วเหรอ รีบเข้ามาในบ้านเถอะ ตากลมอยู่ทำไม” พ่อหลัวถามลูกชายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าลูกชายที่ไม่สนใจวันหยุดจะสามารถกลับมาบ้านในเวลาอันสั่นเช่นนี้ได้ “ปีนี้เหมือนจะหนาวเร็วกว่าทุกปีนะครับ เพิ่งเข้าเดือนเก้าเองแต่อากาศเริ่มเย็นแล้ว” แม้จะเพิ่งเข้าเดือนเก้าได้ไม่นาน แต่ผิวหยาบของเขาสัมผัสกับอากาศเย็นแล้ว ทำให้อดกังวลเรื่องที่บ้านไม่ได้ “ทางการเองก็กำลังจะประกาศเรื่องนี้เหมือนกัน เห็นทีต้องรีบบอกชาวบ้านให้เตรียมตัวแล้วสิ” เขาเป็นผู้ใหญ่บ้านดังนั้นจึงรับรู้เรื่องเหล่านี้จากทางการมาแล้ว ยังดีหน่อยที่หมู่บ้านของเขาไม่ได้ยากจนหรืออดอยากเช่นหมู่บ้านชนบททั่วไป “อาเทา ดื่มชาอุ่นๆ สิ เป็นชาส้มใส่ขิง น้องสาวแกทำไว้เยอะเลย เอากลับไปไว้กินด้วยนะ” แม่หลัวจัดที่จัดทาง พร้อมกับยกกาน้ำชาที่ลูกสาวคนใหม่ของเธอทำเอาไว้ส่งต่อให้ทันที “พ่อคะ แม่คะ อาหารเรียบร้อยแล้วค่ะ” น้ำเสียงหนาวดังขึ้นจากภายในบ้าน ทำให้บนใบหน้าของพ่อหลัวแม่หลัวยิ้มขึ้นทันที “เด็กดีมานี่สิ! นี่คือพี่ชายของลูก หลัวว่านเทา แล้วนี่ก็หลัวเยว่ซินน้องสาวบุญธรรมของลูก” หลังจากที่จัดโต๊ะเรียบร้อยแล้ว แม่หลัวก็แนะนำพี่ชายของบ้านให้รู้จัก “สวัสดีค่ะพี่ว่านเทา” เยว่ซินยกยิ้มให้เล็กน้อย พร้อมกับแนะนำตัวออกไปด้วยท่าทางเรียบร้อย “อ่ะ! อือ… พ่อ แม่ ไม่ใช่ว่าน้องสาวผมอายุสิบแปดแล้วเหรอ” เขาแปลกใจมากที่ได้เห็นเด็กหญิงตรงหน้า ใบหน้ารูปไข่เกลี้ยงเกลาดูน่าเอ็นดู สูงราวๆ 150- 155 เห็นจะได้ ตัวเล็กไม่ต่างอะไรจากเด็กประถม เขาไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะอายุสิบแปดปีแล้ว “เด็กนี่!! น้องแค่ตัวเล็กไปหน่อยเท่านั้นแหละ อย่าพูดมากไปกินข้าวได้แล้ว แกไม่รู้อะไรน้องสาวแกทำอาหารได้อร่อยมากเลย” แม่หลัวยกมือขึ้นฟาดไปที่หลังของลูกชายเบาๆ ทันที เพราะกลัวว่าลูกสาวคนใหม่จะรู้สึกไม่ดี “อืม” เขาแทบไม่อยากจะเชื่อหูว่าพ่อของเขาจะโอ้อวดคนเป็นด้วย “โอ้! วันนี้มีไก่ตุ๋นสมุนไพรด้วย กลิ่นของสมุนไพรแบบนี้เหมือนจะไม่ค่อยได้กลิ่นมานานแล้ว อาหารอย่างอื่นดูน่ากินมากทีเดียว” พ่อหลัวเอ่ยชมออกมาไม่หยุด เขาแทบจะหุบยิ้มเอาไว้ไม่ได้ การที่มีลูกสาวอยู่ในบ้านช่างทำให้เขามีความสุขมากจริงๆ ยิ่งได้ยินคำเรียกจากปากเล็กๆ นั่นยิ่งทำให้เขานึกแค้นคนบ้านหยางมากขึ้นไปทุกที “วันนี้ลูกทำอาหารได้ดีจริงๆ เสี่ยวซิน” พ่อหลัวชมออกไปทันทีที่เนื้อไก่เข้าไปในปาก เขาช่างโชคดีจริงๆ ที่รับลูกสาวคนนี้เข้ามาในบ้าน เยว่ซินทั้งน่ารักใสซื่อบริสุทธิ์ทั้งกายและใจ ช่วยเหลืองานในบ้านไม่เคยบ่น เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมคนบ้านหยางถึงได้จงเกลียดจงชังเด็กคนนี้นัก “ขอบคุณค่ะ” เยว่ซินรู้สึกดีมากกับทั้งสองคน นอกจากพวกเขาจะดูแลเธอเป็นอย่างดีแล้ว ก็ไม่เคยจิกหัวเธอขึ้นมาใช้งานอะไร มีแค่เธอเท่านั้นที่ลุกขึ้นมาหุงหาอาหารและทำงานภายในบ้านเองเท่านั้น “เหมือนพ่อกับแม่จะเอ็นดูเธอไม่น้อยเลย ได้ยินว่าเธอเรียนจบแล้ว ต่อไปอยากทำอะไรล่ะ” หลังจากที่มื้ออาหารจบลง หลัวว่านเทาอดถามเรื่องนี้ขึ้นไม่ได้ เพราะเด็กหลายคนในเมืองต่างกังวลเรื่องที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเหมือนกัน “เรื่องนั้น…” เธอเองก็ปวดหัวกับเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เหมือนว่าร่างเดิมก็ไม่มีความคิดอะไรในเรื่องนี้เหมือนกัน แม้ในช่วงเวลานี้สตรีจะไม่ได้ถูกห้ามให้ออกมาทำอะไรเช่นเมื่อก่อน แต่ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ไม่น้อย ซึ่งเธอยังไม่ได้ศึกษาเพิ่มในเรื่องนี้เท่าไรนัก “น้องเพิ่งจะหายป่วย อย่าเพิ่งถามเลย พ่อได้ยินว่ารัฐจะฟื้นฟูระบบการศึกษาใหม่ในปีหน้า ถึงตอนนั้นค่อยคิดอีกทีก็แล้วกัน” พ่อหลัวหันขวับไปมองลูกชายของเขาอย่างไม่พอใจเล็กน้อย เรื่องการเรียนต่อถึงยังไงเขาย่อมสนับสนุนอยู่แล้ว แม้ไม่มีเงินมากพอ แต่หากเขาพยายามให้มากกว่านี้หน่อย รับรองได้ว่าการเข้าเรียนของเยว่ซินย่อมไม่ส่งผลกระทบกับครอบครัวมากเป็นแน่ “นั่นก็จริงครับ อยากให้ช่วยอะไรก็บอกนะ ยังไงพี่ก็เป็นพี่ชายของเธอแล้ว” หลัวว่านเทาตอบออกไปด้วยรอยยิ้ม เขาเห็นท่าทางของเธอก็พอจะเดาได้ว่าเป็นคนที่ใช้ได้ ไม่อย่างนั้นพ่อกับแม่ของเขาคงไม่รับตัวของเด็กคนนี้มาอยู่ด้วยแน่ “ขอบคุณค่ะ” เยว่ซินยกยิ้มให้กับพี่ชายเธออย่างเป็นมิตร ไม่นานมื้ออาหารและของว่างจบลง เยว่ซินกับแม่หลัวทำการเก็บกวาด โดยทั้งสองมักจะช่วยกันเช่นนี้อยู่แล้ว แม่หลัวย่อมไม่ต้องการให้เยว่ซินทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว ยกเว้นเรื่องอาหารซึ่งแม่หลัวจะไม่เข้าไปยุ่งด้วย เพราะรู้ดีว่าลูกสาวของเธอทำได้ดีมากแค่ไหน “พี่ว่านเทา ฉันรู้มาว่าในเมืองมีร้านหนังสืออยู่หลายร้าน พี่พาฉันไปหน่อยได้ไหมคะ” หลังจากเก็บของเรียบร้อยแล้ว เยว่ซินคิดว่าคงต้องขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่ายในเรื่องนี้ หากให้เธอเข้าเมืองเพียงคนเดียวอาจจะดูผิดปกติจนเกินไป ด้วยร่างกายแสนจะอ่อนแอของเธอคงทำแบบนั้นไม่ได้แน่ “เธออยากได้หนังสืออะไรล่ะ ฉันช่วยหาให้ได้” เขายินดีและเต็มใจที่จะช่วย หากมองดีๆ แล้วเยว่ซินก็มีส่วนที่คล้ายกับนางสาวที่ตายจากไปอยู่เหมือนกัน ยิ่งได้ใกล้ชิดและได้พูดคุยด้วย เขาก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อกับแม่ของเขาจึงเอ็นดูอีกฝ่ายนัก “ฉันอยากได้หนังสือที่ใช้สำหรับเรียนหมอและข้อสอบค่ะ แล้วก็ดูเล่มอื่นๆ ด้วย” เธอต้องการศึกษาเพิ่มเติม เพราะของวิเศษที่ได้มาต้องแลกกับหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่ง เธอจึงไม่มีทางเลือกมากนัก “แกพาน้องไปหน่อยสิ แล้วเรื่องคนรักของแกเป็นยังไงบ้าง ไม่ใช่ว่าคบกันนานแล้วเหรอ อย่าให้ใครมาว่าแกได้ว่าเป็นอันธพาล หากจะจริงจังก็ควรทำให้ถูกต้อง ถึงยังจะไม่แต่งแต่ก็ต้องหมั้นหมายเอาไว้” พ่อหลัวรีบบอกลูกชายออกไป พร้อมกับถามเรื่องของคนรักของอีกฝ่ายที่ไม่เคยจะพามาแนะนำให้ทางบ้านได้รู้จักเลย ด้วยอายุของลูกชายเองก็มากพอที่จะแต่งงานได้แล้ว “เข้าใจแล้วครับ ถ้างั้นวันนี้ผมจะพาเสี่ยวซินไปที่ร้านหนังสือในเมือง มีรถประจำทางที่ทางเข้าหมู่บ้าน เดินออกไปสักหน่อยก็ถึง” เขาไม่อยากจะตอบอะไรมากนัก ก่อนจะหันไปบอกกับน้องสาวให้เตรียมตัว ยังดีที่ตอนนี้ไม่สายมากยังพอจะมีรถประจำทางอยู่ แต่คงไปได้ไม่กี่ที่เท่านั้น “เสี่ยวซินลูกระมัดระวังตัวให้ดีล่ะ ใส่หมวกไว้ด้วย แม่เห็นสาวๆ ในเมืองชอบใส่กัน” แม่หลัวรีบบอกกับลูกสาวของตนเองอย่างเป็นห่วง อีกทั้งทางบ้านหยางยังเป็นทางผ่านที่จะเดินไปยังทางเข้าหมู่บ้านอีกด้วย “แม่อย่าลืมว่ามีผมอยู่” เขากลอกตาไปมาทันทีเมื่อเห็นท่าทางของแม่หลัว ทั้งๆ ที่เขาอยู่ด้วยยังจะกลัวอะไรอีก “แกดูน้องให้ดีๆ หน่อยล่ะ แล้วก็ซื้อชุดใหม่สักสองสามชุดให้น้องด้วย เลือกที่ใหญ่กว่านี้สักหน่อย” แม่หลัวจ้องลูกชายด้วยแววตาทะมึนทันที “แม่ไม่ไปเองล่ะ” เขาแอบน้อยใจเล็กน้อย เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้น “แกนี่! ฉันมีนัดกับบ้านเกาเอาไว้ ไม่อย่างนั้นฉันคงไปเองแล้ว” แม่หลัวไม่พอใจขึ้นมาทันที หากวันนี้เธอไม่นัดกับคนบ้านเกาว่าจะไปดูถั่วเหลืองที่ไร่ เธอคงเข้าเมืองไปพร้อมกันแล้ว “ได้ๆ ผมจะดูแลเธออย่างดี” เมื่อเห็นท่าทางเกรี้ยวกราดของแม่ เขาจึงตอบออกไปอย่างส่งๆ ทันทีเพื่อตัดปัญหา “รบกวนพี่แล้ว” ไม่นานนักเยว่ซินก็ออกมาจากห้อง พร้อมกับกระเป๋าผ้าสะพายข้างใบเก่า ในนี้มีเอกสารประจำตัวและเงินมากกว่าร้อยหยวนที่แอบเก็บเอาไว้อยู่ หากต้องซื้อหนังสือคงจะใช้เงินไม่น้อย เธอไม่อยากรบกวนคนบ้านหลัวไปมากกว่านี้แล้ว ยังดีที่หนังสือพวกนี้ใช้แค่เงินเท่านั้น หากต้องใช้ตั๋วหรือคูปองในการซื้อ เธอคงลำบากมากกว่านี้ “อย่าคิดมากเลย เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว” เขาบอกออกไปอย่างไม่ใส่ใจ พร้อมกับเดินนำออกไปยังทางเข้าหมู่บ้านอย่างใจเย็น ทั้งสองใช้เวลาเดินไปยังทางเข้าหมู่บ้านเกือบๆ สิบห้านาที ก่อนจะนั่งรอรถประจำทางอีกร่วมครึ่งชั่วโมง และใช้เวลาเดินทางเข้าเมืองเกือบๆ หนึ่งชั่วโมง การเดินทางในครั้งนี้ก็ทำให้เยว่ซินตื่นตาตื่นใจขึ้นไม่ได้เช่นกัน เพราะเป็นครั้งแรกที่เธอได้นั่งรถประจำทางแบบนี้ “ร้านหนังสือร้านนี้ แม้จะเล็กแต่ราคาถูก ทางนี้เป็นหนังสือแพทย์ ชื่อของหมวดหนังสือจะติดไว้ที่ด้านข้างชั้นหนังสือ เธอสามารถหาดูได้” เมื่อถึงร้าน ว่านเทาเดินตรงไปยังชั้นหนังสือแพทย์ พร้อมกับแนะนำหนังสือในหมวดอื่นๆ ออกไป “ค่ะ” เยว่ซินพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินตรงไปยังชั้นหนังสือแพทย์ทันที ฝั่งตรงข้าวเป็นหนังสือสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร เธอเลือกมาด้วยสองเล่มหนา นอกจากนั้นเป็นหนังสือเตรียมสอบเข้าซึ่งเธอเลือกมาประมาณสามเล่ม ทั้งหมดที่เธอต้องการมากกว่าสิบเล่มเห็นจะได้ “ทั้งหมดยี่สิบห้าหยวน” เจ้าของร้านบอกจำนวนเงินด้วยใบหน้ายินดีทันที หนังสือพวกนี้ค่อนข้างหายากและไม่ค่อยมีใครสนใจ เขาดีใจมากที่ขายออกไปได้ซะที “นี่ค่ะ” เยว่ซินนำเงินออกจากกระเป๋าจ่ายออกไปอย่างไม่ลังเล “เธอมีเงินด้วยเหรอ หนังสือพวกนี้มากไปหรือเปล่า” หนังสือเล่มหนาจำนวนมากกว่าสิบเล่มพวกนี้ แค่เห็นเขาก็แอบจะเวียนหัวแล้ว ไม่คิดเลยว่าน้องสาวคนนี้จะรักเรียนมากขนาดนี้ นอกจากนี้ด้วยจำนวนเงินที่ต้องจ่ายไม่ใช่น้อยๆ เลย เขาจึงแอบเสียดายขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “ถือว่าเป็นการลงทุนค่ะ สำหรับความรู้ที่ได้รับมาก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากันเลย” เยว่ซินยิ้มกว้างขึ้น ก่อนจะตอบออกไป “พูดได้ดี ขอให้เธอทำได้อย่างที่ตั้งใจไว้ก็แล้วกัน หากไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามได้ แม้จะช่วยไม่ได้มากก็เถอะ” เขายิ้มตามน้องสาวอย่างลืมตัว พร้อมกับยื่นมือออกไปลูบหัวของเธออย่างเอ็นดูทันที “พี่ไม่ได้เรียนต่อมหาวิทยาลัยเหรอคะ” ดูจากอายุของอีกฝ่ายแล้วน่าจะยี่สิบสองถึงยี่สิบสามปี หากได้เรียนคงเรียนจบแล้ว แต่เธอก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดี “เรียนสิ แต่จบมาแบบคะแนนไม่ค่อยดีเท่าไร ดังนั้นเธอก็ควรตั้งใจให้มากหน่อย การเรียนไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” ครั้งที่เขาสอบเข้าทางรัฐเป็นคนเลือกคณะที่เข้าเรียนให้ เขาได้เข้าเรียนในคณะเอกภาษาจีน คะแนนไม่ได้ดีมากจัดไปทางแย่ จบมาได้ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว ในตอนนี้เขาทำงานในภาครัฐเป็นแค่เจ้าหน้าที่ธุรการคนหนึ่ง เงินเดือนอยู่ที่หกสิบหยวนต่อเดือนเท่านั้น “ค่ะ เราไปร้านขายผ้ากันเถอะ” เยว่ซิยยิ้มตอบออกไป ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินไปยังร้านขายผ้าและตัดชุดทันที “ร้านนี้เป็นร้านใหญ่ มีของให้เลือกเยอะ ฉันเคยพาคนรักมาซื้ออยู่เหมือนกัน” ร้านนี้คือร้านหงเหยียนเป็นร้านเก่าแก่ และใหญ่ที่สุดในตัวอำเภอแล้ว จึงมีของให้เลือกค่อนข้างมาก อีกทั้งราคายังไม่นับว่าแพงมากอีกด้วย “รับอะไรดีคะ ชุดสำเร็จทางด้านนี้เลยค่ะ น้องสาวต้องการอะไรหรือจ๊ะ” วันนี้เป็นวันที่ลูกค้าค่อนข้างมาก ดังนั้นจูหงจึงเดินออกมารับลูกค้าด้วยตนเอง เธอรู้สึกถูกชะตากับเด็กสาวตัวเล็กที่เพิ่งจะเดินเข้ามาเป็นอย่างมาก จึงรีบทักทายออกไป “ต้องการดูผ้ากับอุปกรณ์ปักผ้าค่ะ” เยว่ซินส่งยิ้มหวานให้อีกฝ่ายเล็กน้อยขณะตอบ “แล้วก็ขอดูชุดให้น้องสาวผมสองชุดครับ” เขาไม่ลืมที่แม่สั่งไว้เด็ดขาด ชุดที่เยว่ซินใส่ในตอนนี้ก็เก่ามากแล้ว หากเดาไม่ผิดคงเป็นชุดของน้องสาวเขาเป็นแน่ “ได้ค่ะ เชิญทางนี้” จูหงพยักหน้า พร้อมกับพาทั้งคู่ไปเลือกผ้าและอุปกรณ์ตามที่สั่งทันที “นี่เป็นผ้าฝ้ายอย่างดีของทางด้าน แล้วก็สะดึง เข็ม ด้ายสี ต้องการปักอะไรหรือจ๊ะ” “ไม่ทราบว่าทางร้านรับซื้อผ้าปักหรือเปล่าคะ” เธอควรต้องหารายได้ก่อนในตอนนี้ เพราะยังไม่เหมาะนักที่จะนำข้าวของออกจากมิติของเธอ “รับสิจ๊ะ นี่เป็นตัวอย่างที่รับซื้อมา ผืนนี้นับว่าสวยมากทีเดียว หากฝีมือของน้องสาวเป็นแบบนี้ พี่สาวรับซื้อผืนละยี่สิบหยวนเลยนะ” จูหงนึกเอ็นดูอีกฝ่ายไม่น้อยที่เอ่ยถามออกมา หากเดาไม่ผิดเด็กสาวผู้นี้คงต้องการหารายได้เสริมเป็นแน่ “ฉันจะพยายามค่ะ ถ้างั้นขอชุดสีฟ้าอ่อนกับสีน้ำเงิน แล้วก็อุปกรณ์ปักผ้าพวกนี้ด้วยค่ะ” เนื่องจากเธอไม่ได้ทำงานในหมู่บ้านจึงไม่มีคูปองที่จะใช้แลกของได้ ดังนั้นเธอจึงจ่ายมันด้วยเงินแทน แม้ว่ามันจะแพงมากเลยก็ตามที “ได้สิ เดิมชุดพวกนี้ชุดละห้าหยวนพี่สาวลดให้เหลือสามหยวนอุปกรณ์พวกนี้พี่สาวคิดสองหยวนรวมเป็นแปดหยวนจ๊ะ ไม่ต้องใช้คูปองด้วยนะ” จูหงต้องการลงทุนกับเด็กสาวคนนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่เธอเชื่อเหลือเกินว่าตัวเองมองคนไม่ผิดแน่ๆ “ขอบคุณมากค่ะพี่สาว” เยว่ซินไม่ลืมที่จะตอบออกไปอย่างนอบน้อม เหมือนว่าพี่สาวคนนี้จะดูมีน้ำใจอยู่ไม่น้อย “พี่สาวชื่อจูหง น้องสาวชื่ออะไรจ๊ะ” จูหงถามออกไปอย่างเป็นมิตร “ขอโทษค่ะที่ไม่ได้แนะนำตัวเลย ฉันชื่อหลัวเยว่ซินค่ะ นี่พี่ชายของฉันหลัวว่านเทาค่ะ” เยว่ซินยกยิ้มให้ พร้อมกับแนะนำตัวเองและพี่ชายข้างกันออกไป จากที่ดูแล้วเจ้าของร้านคงจะอายุมากกว่าพี่ชายของเธออยู่สามสี่ปีเห็นจะได้ “ยินดีที่ได้รู้จักพวกเธอสองคนนะ ต่อไปหวังว่าเราจะได้ร่วมงานกัน” เธอมองดูเด็กสาวอย่างนึกเอ็นดู พร้อมกับสำรวจชายหนุ่มที่เป็นพี่ชายอย่างชื่นชม ทั้งท่าทางสุภาพเป็นมิตรดูอบอุ่น มีเพียงใบหน้าเท่านั้นที่ไม่คล้ายกันเลย คาดว่าเด็กสาวคงจะหน้าเหมือนแม่หรือไม่ก็พ่อเป็นแน่ “รบกวนที่สาวจูหงแล้ว” ว่านเทาก้มหัวให้อีกฝ่ายเล็กน้อยอย่างเป็นมิตร “อ่ะ! พี่ว่านเทา นึกว่าแอบควงสาวที่ไหนมา ทำไมมากับเด็กประถมแบบนี้ล่ะ หรือว่าหลังจากที่เลิกกับฉันแล้วหาใครไม่ได้ ถึงได้คว้าเด็กขนาดนี้มาเป็นคนรักแทนฉัน” หญิงสาวรูปร่างบางสูงราวๆ 160 น้ำหนักน่าจะไม่เกิน 50 กิโล ใบหน้ากลมดวงตาเล็ก จมูกเป็นสันขึ้นมาเล็กน้อย แต่ติดอยู่ที่ใบหน้าอีกฝ่ายถูกแต่งเติมมากจนเกินไป ทำให้ไม่ค่อยน่าดู การแต่งกายนับว่าโดดเด่นไม่น้อยกับชุดเดรสยาวสีส้ม สวมหมวกสีขาวประดับดอกไม้เล็กน้อยเหมือนหญิงสาวในเมืองทั่วไป ดูจากท่าทางการพูดแล้วคงไม่พอใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว “อู๋เหว่ยอิ๋งอย่าพูดมาก นี่น้องสาวของผม” เขาทนฟังเรื่องไร้สาระที่ออกมาจากอดีตคนรักของเขาไม่ได้ทันที สาเหตุที่ทำให้เลิกกันก็เป็นเพราะอีกฝ่ายไปดูตัวกับคนที่ทางบ้านเลือกให้ เขาไปพบเข้าโดยบังเอิญ ในวันนั้นอีกฝ่ายจึงเป็นฝ่ายบอกเลิกกับเขาเอง “โอ้! ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพี่มีน้องสาวด้วย ก็ช่างเถอะ! ที่ผ่านมาฉันมันโง่เองที่ไปคบกับคนอย่างพี่” เธอไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่าเขาจะคบกับใครหรือมีน้องสาวกี่คน ตอนนี้เธอกำลังได้คบหากับลูกชายผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมในอำเภอแล้ว เจ้าหน้าที่รัฐตำแหน่งเล็กๆ จะสู้เขาได้ยังไง “พี่คะ! หมวกใบนี้สวยไหมคะ” เยว่ซินพอจะเดาออกว่าทั้งคู่คงจบกันไม่ค่อยดีเท่าไร อีกทั้งยังไม่ชอบใจท่าทีของหญิงสาวคนนั้นด้วย เธอจึงแสร้งยิ้มร่าขึ้นก่อนจะหยิบหมวกที่ถูกประดับตกแต่งอย่างหรูหราออกมาดู “สวยสิ อยากได้เหรอ ขอหมวกใบนี้ด้วยครับ” เขายิ้มตอบเล็กน้อย จากนั้นก็นำไปวางทาบบนหัวของน้องสาวอย่างอารมณ์ดี หมวกใบนี้สวยมากจริงๆ “ได้สิจ๊ะ หมวกใบนี้แพงหน่อยนะ สิบห้าหยวนเพราะมีของประดับเยอะ แต่ก็ไม่ได้เยอะเกินไปเหมาะกับน้องสาวเธอมากเลย” จูหงยิ้มเยาะให้หญิงสาวมาใหม่เล็กน้อย ก่อนจะตอบออกไปอย่างเห็นดีเห็นงามด้วย “แพงไปไหมคะพี่ พี่ซื้อของให้ฉันร้อยกว่าหยวนแล้วนะ ซื้อหมวกใบนี้ให้อีกฉันรับไม่ไหวหรอกค่ะ” เยว่ซินตกใจมากที่ได้ยินราคาของหมวกใบน้อย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นด้วยท่าทีร้อนรนพร้อมกับบอกราคาข้าวของที่เกินจริงออกไป “แค่หมวกใบเดียวพี่ซื้อให้ได้อยู่แล้ว หากเธออยากได้ชุดอีกสามสี่ชุดพี่ก็ซื้อให้ได้” ดวงตาวาวกระตุกขึ้นเล็กน้อย แต่เมื่อมองเข้าไปที่แววตาของน้องสาวเขาก็พอจะเข้าใจ ที่น้องสาวโกหกเช่นนี้ก็เพราะเขาสินะ “พอเถอะค่ะ แค่นี้ก็แทบจะขนกลับไม่ไหวแล้ว” เธอไม่ต้องการให้อีกฝ่ายเสียเงินจริงๆ ที่พูดออกมาก็แค่อยากให้หญิงสาวผู้นั้นรู้สึกไม่ดีก็เท่านั้น “พี่!! นี่พี่กล้าซื้อของมากมายพวกนี้ให้น้องสาวเลยเหรอ ทีเมื่อก่อนไม่เห็นซื้อให้ฉันบ้างเลย” จะให้เธอรู้สึกดีได้ยังไง เพราะเมื่อก่อนอีกฝ่ายไม่เคยซื้อของมากมายแบบนี้ให้กับเธอเลย นอกจากจ่ายเงินค่าอาหารกลางวันให้เท่านั้น “เมื่อก่อนผมต้องเก็บเงินไว้แต่งงานและซื้อบ้านในเมือง ในเมื่อตอนนี้ฉันไม่ต้องทำแบบนั้นแล้ว จะมีประโยชน์อะไรที่ต้องเก็บอีก” ราคาบ้านหนึ่งห้องในตึกสูงไม่น้อยเลย เขาอดทนเก็บเงินตั้งเท่าไรเพื่ออนาคต แต่ตอนนี้เขาได้เห็นแล้วว่าผู้หญิงที่เขาหมายตาไว้เป็นคนแบบไหน เงินเก็บที่มีในตอนนี้ช่างมีค่ามากกว่าผู้หญิงคนนี้จริงๆ “พี่!! พี่ไม่เคยบอกฉันเรื่องพวกนี้เลย” แน่นอนว่าเธอไม่เคยรู้มาก่อน ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะซื้อบ้าน “ผมต้องบอกเธอทุกเรื่องรึไง ไปกันเถอะเดี๋ยวจะไม่ทันรถรอบต่อไป” เขาไม่ให้ความสนใจกับอีกฝ่ายมากเกินไป อีกทั้งรู้ดีว่าน้องสาวของเขาไม่ได้อยากได้หมวกใบนั้น จึงรีบหอบหิ้วข้าวของตรงหน้าตรงไปรอรถประจำทางทันที “ค่ะ” เยว่ซินยิ้มกว้างขึ้น พร้อมกับเดินตามพี่ชายของเธอไปอย่างอารมณ์ดี “กรี๊ดดดดด!!!!! พี่!!! พี่กลับมาเดี๋ยวนี้นะ!!! พี่!!!” อู๋เหว่ยอิ๋งร้องกรี๊ดออกมาอย่างไม่สนใจผู้ใด ในตอนนี้เธอรู้สึกว่าตัวเองถูกหลอกมาตลอด หากรู้ว่าอีกฝ่ายมีเงินมากขนาดนี้ เธอคงไม่ปล่อยเขาไปง่ายดายแบบนี้แน่ อย่างน้อยๆ เธอก็ควรได้ใช้เงินของเขาบ้างไม่ใช่หรือ? “ขอบใจนะ!” ระหว่างรอรถ เขารู้สึกว่าต้องขอบคุณน้องสาวของเขา ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้เลยว่าตัวเองจะรับมือกับอีกฝ่ายอย่างไร “ยินดีค่ะพี่ชาย แต่ว่าพี่ไม่สนใจเธอแล้วเหรอคะ” เธอยิ้มตอบออกไป ก่อนจะสงสัยเรื่องความสัมพันธ์ของอีกฝ่าย “พี่รู้จักกับเธอผ่านแม่สื่อน่ะ ตอนนี้เลิกกันแล้ว เอาไว้พี่จะบอกพ่อกับแม่เอง” จะบอกว่าไม่คิดอะไรเลยคงไม่ใช่ เพราะระยะเวลาที่คบกันไม่น้อยเลย เขารู้สึกละอายใจมากกว่าที่ทำให้พ่อแม่ต้องเป็นกังวลไปด้วย “เข้าใจแล้วค่ะ” เธอไม่พูดอะไรต่อ เพราะอีกฝ่ายคงไม่รู้สึกดีกับเรื่องนี้นัก
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD