ตอนที่ 2 สลับวิญญาณ

3041 Words
ในตอนนี้เยว่ซินและท่านเทพแห่งโชคชะตากำลังจ้องมองไปที่ร่างบอบช้ำของเด็กสาววัยสิบแปดปี ซึ่งมีรูปร่างไม่ต่างจากเด็กประถมเลยแม้แต่น้อย ดูก็รู้ว่าร่างผอมแห้งนี้คงไม่ได้รับการดูแลที่ดีอย่างแน่นอน “ว่าอย่างไรน้องสาวของข้า ต่อไปข้าจะดูแลร่างกายของเจ้าให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้” นางยกยิ้มให้วิญญาณของเด็กน้อยทันที แม้ว่ากายเนื้อของนางจะดูไม่ได้ แต่รูปวิญญาณของอีกฝ่ายช่างงดงามมากจริงๆ และที่น่าแปลกใจอีกฝ่ายดูคล้ายนางมากจริงๆ “พวกคุณเป็นใครหรือคะ” วิญญาณเด็กน้อยจ้องมองไปที่ร่างกายของตัวเอง ก่อนจะเอ่ยถามร่างโปร่งแสงด้านหน้าของตัวเอง เธอคงจะตายแล้วสินะ ก็ดีเหมือนกันอยู่ไปก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้น พ่อของเธอก็ตายไปแล้วคงจะดีกว่าหากเธอเองต้องตายไปด้วย “เด็กดี ต่อไปข้าฝากเจ้าดูแลท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าด้วยนะ” เยว่ซินกล่าวพลางลูกหัวอีกฝ่ายไปอย่างนึกเอ็นดู นางเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงได้รู้สึกผูกพันกับอีกฝ่ายมากขนาดนี้ “พี่สาว พี่พูดอะไรคะ หนูตายแล้วไม่ใช่เหรอคะ?” เธอไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด เธอต้องไปเกิดที่ไหนทำไมต้องบอกกับเธอแบบนั้น นอกจากนี้พี่สาวคนนี้ยังดูเหมือนเทพธิดาในหนังสือที่เธอเคยเห็นมากเลยด้วย “ไม่ใช่เช่นนั้นแน่ ต่อไปเจ้าจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ และข้าจะใช้ชีวิตแทนเจ้าเอง” เยว่ซินเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่ได้นะคะ คนที่นี่โหดร้ายมาก พี่สาวอยู่ไม่ได้นะคะ หนูไม่ไปไหนก็ได้ พี่สาวอย่าใช้ชีวิตแทนหนูเลย” เด็กน้อยลนลานขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยิน เธอไม่ยินยอมแน่หากจะให้คนอื่นมาใช้ชีวิตแบบเดียวกับเธอ “เจ้าช่างเป็นเด็กดีจริงๆ ข้าไม่เสียใจเลยที่ต้องใช้ชีวิตแทนเจ้า พี่สาวรับปากว่าจะใช้ชีวิตให้ดีที่สุดและสุขสบายที่สุด เจ้าแค่ทำหน้าที่แทน พี่สาวในอีกที่ก็พอ” นางรีบกล่าวออกไปด้วยท่าทางขำขันเล็กน้อยทันที เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับนางมากนัก น้องสาวคนนี้ของนางช่างบริสุทธิ์เหลือเกิน นางคงต้องให้บทเรียนกับคนที่ทำให้อีกฝ่ายได้รับความเจ็บซ้ำน้ำใจเช่นนี้เป็นอย่างดีที่สุดซะแล้ว “หนูเข้าใจแล้วค่ะ” เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นนางจึงได้แต่จำใจยอมรับ หวังว่าพี่สาวจะไม่เป็นอะไรนะ “เจ้าไปได้แล้ว" เทพแห่งโชคชะตาเอ่ยความออกไปด้วยท่าทางเรียบเฉยเล็กน้อย เพราะใกล้จะเช้าแล้วจึงไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้ “ขอบคุณท่านเทพมากเจ้าค่ะที่ช่วยเหลือทั้งข้าและนาง” เยว่ซินทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม ก่อนจะถูกกายเนื้อของเด็กน้อยดูดเข้าไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้แสดงออกมาให้นางได้เห็น ในปีนั้นราวๆ 1970 เด็กน้อยอายุได้เพียงห้าขวบถูกแม่แท้ๆ นำมาทิ้งไว้ที่บ้านหยาง โดยอ้างว่าผู้เฒ่าหยางเป็นพ่อของเด็กคนนี้ ซึ่งนั้นก็เป็นเรื่องที่ผู้เฒ่าหยางไม่เคยเอ่ยบอกกับใคร ทำได้แค่รับเอาเด็กหญิงตัวน้อยเป็นลูกสาวของตนเองอีกคนเท่านั้น คนอื่นเข้าใจว่าเขามีความสัมพันธ์กับเด็กสาวอายุน้อยกว่าตนเองเกือบสามสิบปี ทั้งยังมีลูกสาวเกิดขึ้นมาอีก เป็นเรื่องที่น่าอับอายมาก ดีที่ยายเฒ่าหยางจากไปแล้ว จึงไม่มีเรื่องวุ่นวายมากนัก ครอบครัวหยางนับว่ายากจนมาก พวกเขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านฮั่นเฉิง ตำบลสุยโจว มณฑลหูเป่ย ซึ่งก็นับว่าเป็นเมืองที่ไม่แห้งแล้งหรือยากไร้จนเกินไปนัก ชีวิตของชาวบ้านนับว่าไม่ได้อดยากมาก แต่ก็ไม่ได้สุขสบายมากเช่นกัน ทุกคนในหมู่บ้านทำงานหนักในไร่นาเพื่อให้ได้คะแนน ได้รับคูปองมาเพื่อแลกสิ่งของ อาหาร และสิ่งจำเป็นอย่างอื่น “นังตัวดี!! นังซิน!! นังซิน!!” เสียงดังขึ้นจากหญิงวัยสามสิบต้นๆ ดังขึ้นจนแทบจะยกมือขึ้นปิดหู นางคือลูกสะใภ้ใหญ่ของบ้านหยาง คงนับว่าเป็นพี่สะใภ้ของเด็กสาวเยว่ซิน แม้ว่าลูกชายของเธอจะมีอายุมากกว่าเด็กสาวแล้วก็ตาม “แม่! ไม่ใช่ว่ามันตายแล้วหรอกนะ!" หยางซือห้าวถามแม่ของเขาด้วยท่าทางตกตะลึงทันที หากอีกฝ่ายตกตายไปบ้านของเขาต้องเดือดร้อนแน่ “ไม่ได้สิ มันจะตายที่นี่ไม่ได้ ฉันต้องส่งมันไปให้กับบ้านเดิมแม่มันก่อน!” นางจัวอีหรือสะใภ้ใหญ่ของบ้านท่าทางกระสับกระส่ายขึ้นมาทันที นางต้องการที่จะส่งลูกสาวคนเล็กของพ่อสามีที่เพิ่งจะตายไปอยู่ที่อื่น “แต่ทางนั้นเพิ่งจะส่งมันกลับมา คงไม่ยอมแน่” หยางเฉิงคุณพูดขึ้นทันทีด้วยใบหน้าเจ็บใจ เมื่อสองวันก่อนทางบ้านซูซึ่งเป็นบ้านของแม่ของเยว่ซินเพิ่งจะส่งกลับมา อ้างว่าไม่มีปัญญาเลี้ยงดู อีกอย่างแม่ของเยว่ซินก็หายตัวไปนานร่วมสิบไปแล้ว พวกเขาจึงไม่ต้องการให้เยว่ซินไปอยู่ที่บ้านซูอีก “โถโว้ย!! รูปร่างแบบนี้ใครเขาจะยอมแต่งกับมัน เกิดมันตายขึ้นมาอีกจะทำยังไง!! ปู่ของพวกแกโง่จริงๆ ที่ส่งมันให้เรียนจนจบมัธยมปลายแบบนี้” นางจินอีด่าทอเยว่ซินขึ้นทันที เด็กสาวตรงหน้ามีรูปร่างเล็กคล้ายเด็กสิบขวบทั้งที่สิบแปดปีแล้ว เนื้อตัวมอมแมมเหม็นสาบยิ่งได้เห็นยิ่งน่ารังเกียจหากให้แต่งออกไปคงไม่มีใครเอาแน่ “มันก็มีดีแค่เรื่องเรียนเท่านั้นแหละแม่ ดูสภาพมันตอนนี้สิไม่ต่างจากขอทานเลย” หยางซือห้าวพูดขึ้นอย่างนึกเจ็บใจทันที เมื่อก่อนตอนที่ปู่ของเขาอยู่มักจะชื่นชมเด็กคนนี้มากกว่าตัวเอง ทั้งที่ไม่สามารถทำงานอะไรได้เลย “อือ…” เยว่ซินส่งเสียงขึ้นเล็กน้อย เมื่อรู้สึกว่าตอนนี้มีคนเข้ามาให้ห้องของเธอ อีกทั้งอากาศที่หนาวเหน็บทำให้เธอไม่สามารถนอนหลับได้อีกต่อไป “ดีนี่!! ที่แกยังไม่ตาย รีบเก็บข้าวเก็บของแล้วออกจากที่นี่ซะ” นางจินอียกยิ้มกว้างขึ้นทันทีเมื่อเห็นร่างเล็กๆ ส่งเสียงและขยับตัว “ใช่! พ่อของแกตายไปแล้ว รีบไปจากที่นี่!” หยางซือห้าวพูดขึ้นอย่างนึกสะใจทันที “รู้แล้ว!” ซินสำรวจในความทรงจำของตัวเองทันที ก่อนจะจับจ้องไปที่ทั้งสามคน หญิงวัยประมาณสี่สิบเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ของเธอ เด็กหนุ่มทั้งสองอายุ 20 และสิบแปดปีเป็นลูกชายสินะ พวกเขาทั้งสามมักจะแอบทำร้ายกางกายของเด็กสาวเยว่ซินอยู่เป็นประจำ ทั้งยังใช้งานเยี่ยงทาสอีกด้วย ช่างน่าเจ็บใจนัก “หนูซิน หนูซิน!” น้ำเสียงดูร้อนรนและเร่งรีบเล็กน้อยยามที่ส่งเสียงดังขึ้นมาจากหน้าบ้าน “ใครมากัน อ่ะ! สะใภ้หลัวมีธุระอะไรหรือ?” สะใภ้ใหญ่หยางรีบเดินออกไปดูที่หน้าบ้านทันที เมื่อเห็นว่าเป็นใครนางขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะร้องถาม “ฉันมาหาแม่หนูซิน ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ” สะใภ้หลัวไม่พอใจมากที่เห็นท่าทีของอีกฝ่าย ช่างไม่มีมารยาทจริงๆ “แหมๆ ก็ไม่อยากจะเกี่ยวหรอกนะ แต่ยังไงมันก็เป็นคนของบ้านนี้อยู่ดี” สะใภ้หยางเบะปากขึ้น มือทั้งสองยกขึ้นกอดอก “เหอะ! ถ้างั้นฉันจะรับแม่หนูซินมาเลี้ยงเอง” สะใภ้หลัวเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยทันที พร้อมกับพูดความต้องการของตนเองออกไป “ได้ยังไงล่ะ แบบนี้ไม่เท่ากับพวกฉันเสียหายหรือ บ้านถางเองก็มีลูกชายหากมารับไปง่ายๆ แบบนี้ ชาวบ้านจะนินทาได้นะจ๊ะ” แววตาของสะใภ้ใหญ่หยางเป็นประกายขึ้นมาทันที หรือพ่อสามีของนางจะมีสัญญาหมั้นหมายอะไรกับบ้านถางเอาไว้? “ต้องการอะไรว่ามา” สะใภ้หลัวถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวทันที “50 หยวน! แล้วนำตัวไปได้” ห้าสิบหยวนนับว่ามากเกินไปด้วยซ้ำ เพราะนั่นเท่ากับเงินเดือนทั้งเดือนของคนหนุ่มสาวที่เข้าไปทำงานในเมืองเลยนั่นเอง “ห๊ะ!!!” สะใภ้หลัวแทบไม่เชื่อหูทันทีที่ได้ยิน แม้ว่าจำนวนเงินจะดูไม่มากมายนักสำหรับนาง แต่ก็ทำใจจ่ายออกไปไม่ได้อยู่ดี “แม่… หากคนบ้านหลัวไม่ยอมจ่าย เราไม่เสียเปรียบแย่หรือ ลดลงหน่อยเถอะ” หยางซือห้าวลูกชายคนโตวัยยี่สิบรีบกระซิบบอกแม่ของตนเองทันที ร่างกายของเยว่ซินก็ใช่ว่าจะดี แต่งออกไปจะมีลูกได้รึเปล่าไม่มีใครรู้ พวกเขากลัวว่าราคาที่พูดออกไปคงไม่มีใครกล้าจ่าย “หึ!” หมิ่นเซียนมองแววตาของสามคนแม่ลูกออก นางจึงแสร้งทำเป็นตัดใจและเดินออกมาทันที “อ่ะ! เดี๋ยวๆ สะใภ้หลัว ยังไงเราก็เป็นคนกันเอง ถือว่าเป็นแก่หน้าผู้ใหญ่บ้านฉันลดให้เหลือ 20 หยวนก็แล้วกัน” สะใภ้หยางรีบเรียกคนที่กำลังจากไปทันทีอย่างเร่งรีบ พร้อมกับบอกราคาออกไปอีกรอบ “ฉันจะไปรอที่บ้าน พาตัวของเยว่ซินไปที่บ้านของฉัน ที่นั่นมีผู้อาวุโสและผู้ใหญ่บ้านรออยู่ เรื่องนี้พูดปากเปล่าคงไม่ได้ ต้องทำสัญญาจะได้ไม่มีใครมาพูดอะไรทีหลังอีก” สะใภ้หลัวถอนหายใจออกมาเล็กน้อยอย่างพอใจ พร้อมกับบอกว่าจะกลับไปรอที่บ้านของนาง “ทำไมต้องทำเรื่องยุ่งยากแบบนั้น แค่เอาตัวไปก็พอแล้วไม่ใช่รึไง” นางไม่ชอบใจกับคำว่าผู้อาวุโสเลยสักนิด หากคนพวกนั้นต่อว่าเรื่องที่นางตบตีน้องสามีจะทำยังไง “ไม่อยากได้เงินก็ตามใจ ได้ยินว่าจะพาเยว่ซินไปส่งให้บ้านซูไม่ใช่รึไง” สะใภ้หลัวรู้จักอีกฝ่ายดี จึงแสร้งทำเป็นไม่สนใจ พร้อมกับเดินกลับไปยังบ้านของตนเองทันที “ได้ๆ จะรีบตามไป” สะใภ้หยางรับคำขึ้นอย่างหัวเสียเล็กน้อย ก่อนจะเร่งเดินเข้าไปในห้องของเยว่ซิน ใครจะรู้ว่าตอนที่สามแม่ลูกเดินออกไป เยว่ซินเก็บเอกสารสำคัญพร้อมกับเงินมากกว่าหกสิบหยวนที่แอบเอาไว้เข้าเก็บในปานแดงเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่ห่อผ้าเก่าๆของเธอแค่เล็กน้อยเท่านั้น “นังซิน! แกรีบไปเก็บข้าวของแล้วออกไปได้แล้ว” สะใภ้หยางเอ่ยขึ้นอย่างร้อนใจทันที เมื่อมองว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จึงรากตัวเยว่ซินออกจากห้องทันที “แม่ค้นตัวมันด้วยนะ เผื่อว่าจะแอบซ่อนอะไรเอาไว้” หยางเฉิงคุณพูดขึ้นด้วยสีหน้าเหยียดหยามเล็กน้อย ถือว่าอีกฝ่ายยังโชคดีที่ได้แต่งเข้าบ้านถาง หากแม่ของเขาขายมันให้คนอื่นคงไม่ได้ราคาดีแบบนี้แน่ “เหอะ! อย่างมันจะมีอะไร ของที่พ่อมันให้ไว้เราก็เอามาแล้วไม่ใช่รึไง ทำอย่างกับปู่ของพวกแกจะมีอะไรให้มัน” ไม่ใช่ว่าไม่สนใจ แต่นางสำรวจทั้งร่างกายและห่อผ้าของอีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว “สวัสดีค่ะผู้ใหญ่หลัว ผู้อาวุโสจาง ฉันพาตัวของเยว่ซินมาให้แล้วค่ะ” เมื่อถึงบ้านหลัว สะใภ้หยางรีบส่งร่างบางของเยว่ซินให้สะใภ้หลัวทันทีอย่างไม่ไยดี “นี่เป็นสัญญาตัดขาดของแม่หนูซินลองอ่านดู ต่อไปแม่หนูเยว่ซินจะใช้แซ่หลัวแล้วย้ายเข้ามาอยู่ในทะเบียนบ้านหลัวด้วย” ผู้ใหญ่หลัวชินจงส่งหนังสือสัญญาให้อีกฝ่าย พวกเขารับตัวของเยว่ซินมาอยู่ในบ้านฐานะลูกสาว หาใช่ลูกสะใภ้ไม่ ต่อไปเยว่ซินจะใช้แซ่หลัว และถือว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับบ้านหยางอีก ซึ่งเรื่องนี้ผู้เฒ่าหยางเห็นชอบด้วยแล้วก่อนหน้านี้ ทั้งยังเซ็นเอกสารส่วนหนึ่งไปแล้วด้วย เพราะเขารู้ดีว่าลูกชายของคนและบรรดาสะใภ้คงไม่ยินดีที่จะเลี้ยงดูเยว่ซินต่อแน่ “นี่มัน!" สะใภ้หยางอดที่จะแปลกใจขึ้นไม่ได้ เมื่อเห็นชื่อของพ่อสามีที่ถูกลงชื่อไว้เรียบร้อยแล้ว หรือพ่อสามีของนางยกเยว่ซินให้เป็นลูกบ้านนี้แล้วจริงๆ “ก็น่าจะยอมอยู่หรอกนะ คงไม่มีอะไรที่ต้องตอบแทนกัน เพราะดูสภาพของเยว่ซินแล้วหากให้อยู่ที่นั่นต่อคงไม่มีชีวิตรอดแล้วล่ะ” สะใภ้หลัวพูดขึ้นด้วยสีหน้าเจ็บปวดใจ ร่างกายของเยว่ซินร้อนมากทั่วทั้งร่างกายมีเป็นแผลเต็มไปหมด “สะใภ้หลัว! นั- เยว่ซินแค่ซุ่มซ่ามเท่านั้น ทำอะไรไม่ได้เรื่องฉันก็แค่สั่งสอนนิดๆหน่อยๆ” สะใภ้หยางรีบแก้ต่างให้ตัวเองอย่างร้อนรน “แบบนี้เรียกนิดหน่อยเรอะ!! หากเอาเรื่องนี้ไปแจ้าให้กองพลน้อยรู้ พวกเธอคงถูกจับเป็นแน่ ข้อหาใช้ความรุนแรง!” น้ำเสียงกดต่ำจากผู้ใหญ่หลัวพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ เมื่อเห็นเนื้อตัวเขียวซ้ำจากเยว่ซิน ทั้งที่ผู้เฒ่าหยางเพิ่งจะจากไปไม่กี่วัน คนพวกนี้กล้าทำกับเด็กตัวเล็กๆ แบบนี้ได้ยังไงกัน “จริงด้วย! แบบนี้ยังเรียกเล็กน้อยได้อีกอย่างนั้นเหรอ ข้าว่าพวกเราไปแจ้งทางการดีไหม” ผู้เฒ่าจางที่ได้เห็นก็ตกใจขึ้นมาทันที “ไม่นะ! ผู้ใหญ่หลัว! พ่อเฒ่าจาง เห็นใจฉันเถอะนะ เป็นฉัน! เป็นฉันเองที่ลงมือหนักไปเอง เยว่ซิน! เธอคิดแบบนั้นใช่ไหม” สะใภ้หยางรีบพูดออกไปอย่างรีบร้อน ทั้งยังส่งสายตาดุดันให้น้องสามีของนางด้วย “เรื่องนี้ช่างมันเถอะค่ะ ขอแค่พวกเขาไม่มายุ่งกับหนูอีกก็พอ” เยว่ซินคร้านจะให้ความสนใจกับคนพวกนั้นต่อ เธอในตอนนี้แค่ต้องการที่พักชั่วคราวเท่านั้น “โถ่… หนูซิน เข้ามาก่อนไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเถอะนะ” สะใภ้หลัวถอนหายใจออกมาอย่างหนัก ก่อนจะประคองร่างบางของเด็กสาวเข้าไปในห้องเก่าของลูกสาวนางที่ตายไปได้กว่าสิบปีแล้ว “ขอบคุณค่ะ” เยว่ซินพูดขึ้นด้วยท่าทางอ่อนแรงทันทีที่เข้ามาภายในห้อง “นี่เป็นห้องของหนู ข้าวของพวกนี้ก็เป็นของหนู ถึงไม่ได้มากมายอะไรแต่ก็รับเอาไว้เถอะ ป้าเคยมีลูกสาวเหมือนกันอย่างที่รู้ว่าป้าไม่มีวาสนาได้เลี้ยงดู ตอนนี้ป้าเป็นแม่บุญธรรมของหนูแล้วนะอย่าได้เกรงใจ ต้องการสิ่งใดก็ขอให้บอก เงินส่วนหนึ่งก็มาจากพ่อของหนูที่จากไปฝากไว้ให้ทั้งนั้น” สะใภ้หลัวบอกความจริงออกไปอย่างไม่คิดปิดบัง ในตอนแรกพวกเขาก็รู้สึกอึดอัดใจไม่น้อยที่ต้องรับเลี้ยงอีกฝ่าย แต่เมื่อเห็นสภาพความเป็นอยู่ของเด็กสาวแล้วก็พลันใจอ่อนยวบลงมาทันที “ขอบคุณมากค่ะคุณป้า” นางพูดออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาทันที “หนูอาบน้ำพักผ่อนไปนะ ป้าจะไปทำกับข้าวแล้วจะต้มยามาให้ หนูคงไม่สบายอยู่สินะจ๊ะ” หลังจากพูดจบ หลัวหมิ่นเซียนก็เข้าไปในครัวเพื่อหุงหาอาหารและต้มยาให้ลูกสาวบุญธรรมของนางทันที “ค่ะ” เธอในตอนนี้แทบจะไม่มีแรงเหลืออยู่แล้ว ทั่วทั้งตัวไม่มีตรงไหนที่ไม่เจ็บ หลังจากทำความสะอาดร่างกายด้วยน้ำอุ่นแล้ว เธอก็ซุกตัวลงที่นอนพร้อมกับหลับไปทันที “แม่หนูซินน่าสงสารเหลือเกิน โชคร้ายจริงๆที่ไปอยู่กับบ้านนั่น” หลัวหมิ่นเซียนเดินเข้าเดินเข้าไปในครัวด้วยสีหน้าโศกเศร้าไม่น้อย ยิ่งได้เห็นรอยซ้ำบนร่างกายเด็กสาว เธอยิ่งนึกสงสารขึ้นมาจับใจ “เอาเถอะ ไว้ร่างกายของหนูซินหายป่วยแล้วค่อยหางานอีกที ได้ยินว่าแม่หนูซินเรียนเก่งมากใช่ไหม หากได้รับทุนคงจะดีไม่น้อย เงินที่พ่อเฒ่าหยางทิ้งไว้คงจะพอส่งเสียได้ไม่มากก็น้อย หลังจากนั้นคงให้แม่หนูดูแลตัวเองแล้ว” ผู้ใหญ่บ้านหลัวพูดขึ้นด้วยท่าทางไม่ต่างกัน เขาไม่คิดเลยว่าคนบ้านหยางจะมีจิตใจโหดร้ายแบบนี้ “เรื่องนี้น่าจะลำบากไม่น้อย แต่ด้วยรูปร่างของหนูซิน กลัวว่าจะไม่มีใครจ้างให้ทำงานน่ะสิ” สะใภ้หลัวได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างนึกเห็นใจ ด้วยรูปร่างเล็กราวกับเด็กประถมของเยว่ซินคงจะลำบากในเรื่องนี้มากทีเดียว "นั่นสิ แม้แต่พวกทหารที่เข้ามารับเด็กๆ ไปทำงานในเขตยังไม่ต้องการตัวเลย" ผู้ใหญ่หลัวพูดขึ้นอย่างนึกสงสาร เพราะรูปร่างของเด็กสาวดูบอบบางอ่อนแอมาก หากไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเด็กสาวอายุเท่าไร คงคิดว่าเป็นเด็กประถมอย่างแน่นอน "วันนี้คงต้องตุ๋นน้ำแกงไก่บำรุงร่างกายให้สักหน่อย ฉันทนดูอยู่เฉยๆ ไม่ไหวจริงๆ ค่ะ" สะใภ้หลัวเอ่ยขึ้นด้วยขอบตาแดงก่ำทันที “เฮ้อ~ เอาเถอะ เด็กตัวแค่นี้เราเลี้ยงได้อยู่แล้ว คงต้องเข้าเมืองไปหาเมล็ดผักมาปลูกเพิ่มสักหน่อย” ผู้ใหญ่บ้านหลัวส่ายหน้าไปมาอย่างจนใจ พร้อมกับเดินหายออกไปอย่างเร่งรีบ ช่วงนี้เข้าเดือนเก้าแล้วคงจะต้องเลือกผักระยะสั้นมาปลูกเพิ่ม ไม่อย่างนั้นคงไม่พอกินเป็นแน่
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD