"ปิดเทอมนี้ฉันอยากไปเที่ยวที่ที่เป็นธรรมชาติจัง"...ใบเตย รำพึงรำพัน
"จิง ดิ ไปบ้านฉันมั๊ย" นุชธิดาเสนอ
"ที่ไหน/ที่ไหน" สองสาวถามขึ้นพร้อมกัน "สระบุรี" นุชธิดาเฉลย
"เอาจริงบ้านใคร?" "แฮร่ะ บ้านพี่ชายฉันเอง"
"ห๊า/ห๊า?" สองสาวอุทานขึ้นพร้อมกัน
"ไม่ต้องหาเดี๋ยวพาไป" นุชธิดากล่าวยิ้ม ๆ
"โอ่โนว..แกมีพี่ชายด้วยเหรอ แกเป็นลูกสาวคนเดียวของหม่าม๊าแกไม่ใช่รึไง?" ต้องตาเริ่มซัก
"ก็ใช่ แต่ป๊าฉันมีลูกหลายคนนิ่"
"ห๊า" ต้องตาอุทานขึ้นอีกครั้ง
"ฉันไม่เห็นเคยรู้เลยว่าแกมีพี่ชาย คบกันมาตั้งแต่อยู่มัธยมก็เพิ่งรู้วันนี้แหละ" นุชธิดาพูดเป็นเชิงต่อว่าเพื่อนสาวกลาย ๆ
"ก็แกไม่ถามนิ่" นุชธิดาตอบชิล ๆ
"เออ เออ..ฉันผิดเอง..." ต้องตายอมจำนน
"นี่พวกแก ช่วยพูดให้ฉันเข้าใจหน่อยดิ่ จะรู้กันแค่สองคนใช่ม๊ะ ใช่ซิ๊ฉันมันมาทีหลังนิ่" ใบเตยบ่นด้วยความน้อยใจ
"ไม่ใช่อย่างนั้นแก มันเป็นเรื่องส่วนตัวของครอบครัวมั๊ย ฉันก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นปัญหาซักหน่อย แกก็" นุชธิดาอธิบายอย่างเป็นกลาง ๆ
"เล่า/เล่ามา" สองสาวต้องตาและใบเตยกดดัน
"เออ เล่าก็เล่า คือป๊าฉันมีภรรยาก่อนจะมาแต่งกับม๊า แล้วก็มีลูกชายด้วยกันสองคน คนโตอายุมากกว่าฉันหนึ่งรอบ ส่วนพี่คนรองอายุมากว่าฉันสิบปี หลังจากภรรยาคนเก่าของป๊าฉันเสียชีวิต จึงมาพบรักกับม๊าของฉันและมีฉัน..พอใจรึยัง" "เดี๋ยว! แล้ว..แล้วสถาณการณ์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างพี่ชายคนละแม่ของแกกับแกเป็นไงบ้าง?..อือใช่" ใบเตยซักอย่างสงสัย และต้องตาสมทบอีกคน
"ก็ดี เรารักกัน ไม่มีปัญหาอะไร พี่เค้าออกจะดุ ๆ หน่อย แต่ก็ใจดีกับฉันมากเลยนะ" นุชธิดาตอบตามความรู้สึก
"แล้วคนที่เลี้ยงวัว ปลูกข้าวโพดนี่ใคร" ต้องตาซักอีก
"อ๋อ คนนั้นลูกพี่ลูกน้อง เป็นลูกพี่สาวของหม่าม๊าของฉัน อยู่สระบุรีเหมือนกันแต่คนละอำเภอน่ะ" นุชธิดากล่าว
"อ๋อ……../……" ต้องตาอือออลากเสียงยาว ส่วนอีกคนฟังอย่างเงียบ ๆ เพราะไม่มีความเห็น
"หายสงสัยรึยังพวกแกร?"
"หายแล้วจ่ะ/อือ" ต้องตา/ใบเตยตอบตามความคิดตัวเอง
แล้วฤดูกาลสอบปลายภาคก็เสร็จสิ้นลง
"เฮ๊อ..สอบเสร็จซ๊ะที อ่านหนังสือเกือบขิต..นั่นดิ...หลอดเลือดสมองเกือบแตกตาย..เที่ยวเท่านั้นที่จะเยียวยา" นุชธิดาเปิดประเด็น ใบเตยโอดครวญต่อ
"เวอร์ไปแล้ว" ต้องตาประท้วง
"ฮ่า ฮ่า ฮ่า" สามสาวประสานเสียงหัวเราะขึ้นพร้อมกันอย่างไม่มีเหตุผล (เปิดเทอมสามสาวก็ขึ้นปีสองแล้วค่ะ)
แล้วการเดินทางก็มาถึง
สามสาวเดินทางโดยรถยนต์สมรรถนะดีสามารถลุยได้และสวยเฉี่ยวในคราวเดียวกันได้มุ่งสู่จุดหมายบ้านของพี่ชายต่างมารดาทั้งสองคน การวางแผนเที่ยวครั้งนี้เป็นการเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับทั้งสามสาวจึงไม่ได้บอกผู้ปกครองของตนเองเป็นการล่วงหน้าเลือกที่จะไลน์หรือโทรบอกแล้วแต่สะดวก
ฮึ่ม.. เสียงเครื่องยนต์คำรามก่อนที่จะดับเครื่อง นุชธิดาและเพื่อนลงจากรถและถือสัมภาระเดินเข้าไปในพื้นที่ที่มีรั้วกว้างใหญ่ไพศาล ทุ่งหญ้าเขียวขจี
"จะมาทำไมไม่บอก ขับรถมาเองใช่มั๊ยยัยตีนผี?" เสียงกร้าวคำรามขึ้นข้างหลังสามสาว
"โอ๊ะ เฮียแดน สวัสดีค่ะ สอบเสร็จก็คิดถึง..ก็เลยมาหา..ไม่ได้เหรอ?" นุชธิดาตอบอย่างอ้อน ๆ เอาตัวรอดไว้ก่อน
"ป๊ากับม๊าแกรู้รึยัง?" แดนชลซักเพราะเริ่มไม่ไว้ใจพฤติกรรมของน้องสาวจอมแก่น
"โอ๊ย..รู้แล้ว..รู้ซิ..ไม่รู้ได้ไง" นุชธิดาแถได้อีก
"แน่ะ..มีพิรุธนะ..จะให้เฮียโทรเช็คมั๊ยล่ะ?"
"ไม่ดีเฮียแดน น้องว่าเฮียเก็บโทรศัพท์ไว้เถอะ อือ ไม่ต้องโทรหรอกเน๊าะ" นุชธิดาเลิ่กลั่ก
"คือ หนูพาเพื่อนมาเที่ยวเดี๋ยวเดียวก็กลับ..แฮร่ เพื่อน ๆ นี่พี่ชายคนโตของเรา ชื่อแดนชลจ้ะ"
"สวัสดีค่ะ/สวัสดีค่ะ" สองสาวยกมือไหว้ผู้มีอาวุโสกว่าอย่างรู้มารยาทแต่แอบเกร็งเล็กน้อย ดุจริง ๆ ด้วย (สองสาวคิดในใจ)
"แล้วเฮียดามละคะ?" คนน้องถามหาพี่ชายคนรอง
"มันเข้ากรุงเทพฯ เมื่อวาน เห็นว่าไปดูงานที่หุ้นกับเพื่อนไว้น่ะ"
"เหรอน่าเสียดายจัง อดเจอเลย" นุชธิดาบ่นอย่างเสียดาย
"ไงขาดคนซับพอร์ตละซิ" แดนชลแกล้งเย้าคนน้องอย่างรู้ความใน
"หึหึ รู้อิก"
"เดี๋ยวปั่ดโหนกเข้าให้ ฉันพี่แกนะแค่นี้ไม่รู้ได้ไง ปะ พาเพื่อนไปพักในบ้านก่อน เดี๋ยวแดดร่มจะพาไปดูธารน้ำตก" สองสาวตาโต ส่วนอีกคนเฉย ๆ
"อุ๊ย ธารน้ำตก! สองสาวนึกในใจ อึ๊ย อยากเล่นน้ำ ๆ แต่มีอีกคนกลัวน้ำ
"อยากเล่นน้ำก็ไปได้ แต่ห้ามไปที่ลึก ต้องอยู่ในสายตา เข้าใจมั๊ย?" แดนชลเอ่ยขึ้นและเตือนอย่างเป็นห่วง
"เข้าใจค่ะ" สามสาวประสานเสียงพร้อมเพรียงกัน
@ธารน้ำตก…
ว๊าย!... แกร..อย่า.ต่าม..ฮ่า ฮ่า ฮ่า เสียงสองสาวเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานส่วนอีกคนวิ่งหนีเพื่อนเป็นพัลวัน
→หนึ่งชั่วโมงผ่านไป
"ยัยนุช บอกเพื่อนพอได้แล้ว เดี๋ยวไม่สบาย ขึ้นมาเร็ว ๆ พักกินของว่างก่อนมาเลย ถ้าไม่ขึ้นมาเฮียจะคอลหาป๊าให้มาจับตัวแกไปนะ" เสียงพี่ชายคนโตเรียกน้องสาวจอมดื้อ
"ขึ้นแล๊ว ๆ อย่าคอลน๊า..ไปพวกแกรยกพลขึ้นบก..เร็ว เดี๋ยวเฮียฉันมีน้ำโห" นุชธิดาตะโกนบอกพี่ชายพร้อมกับหันมาบอกเพื่อน ๆ ให้รีบขึ้นจากน้ำหน้าตาตื่น
"อ้าวเหรอ ขึ้นก็ขึ้น" ว่าแล้วสามสาวก็ขึ้นมาจากธารน้ำตัวเปียกมะล่อกมะแล่กตัวสั่นงันงกเป็นลูกนกตกน้ำ
"ไปบ้าน พาเพื่อนไปอาบน้ำอาบท่าไป เดี๋ยวเฮียจะไปพาไปดูฟาร์มใครช้าไม่รอ" แดนชลบอกหน้าตึง แต่ในใจนึกขำเอ็นดูเด็ก ๆ แต่ไม่บอกพวกมันหรอกเดี๋ยวได้ใจ
"เอ้าเฮีย รอดิ่..ไปเร็ว ตัวใคร ตัวมันเว๊ยฉันไปละ" ว่าแล้วนุชธิดารีบวิ่งปรื๋อก่อนใคร ขายาว ๆ ก้าวได้ก้าวเอา
"อ้าว..… เฮ่ย.. รอด้วยดิ่" ต้องตาสบถไปพลางพร้อมกับวิ่งตามปิดท้าย เพราะขาที่สั้นกว่าใครเพื่อน
“หึหึ” แดนชลหัวเราะขำในลำคอ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
สายเรียกเข้าผู้จัดการฟาร์ม
แดนชล: ครับ ผู้จัดการ
ผจก : ที่ฟาร์มมีปัญหาเรื่องสัตวแพทย์ครับ ผมขอปรึกษา
แดนชล: ว่ามาเลยครับ ผมสะดวกคุย
ผจก: คือสัตวแพทย์ทีมดูแลคอกม้าขอลาออกไปครับ
แดนชล: ทำไมล่ะ
ผจก: เห็นบอกว่าขอไปดูแลพ่อแม่ที่มีโรคประจำตัวครับเทียวไปเทียวกลับไม่ไหวครับ เห็นว่าเพิ่งตรวจพบครับ
แดนชล: ออ ครับ ผมเข้าใจ แต่น่าเสียดาย หาคนที่ใจถึงและเข้าใจม้าคอกนั้นยากซะด้วยซิ เอาเป็นว่าผู้จัดการช่วยดำเนินการตามที่คุณหมอขอเลย ช่วยจัดการตามสิทธิประโยชน์ของคุณหมอให้ด้วย และพิเศษช่วยเบิกเงินขวัญถุงอีกสามเท่าของเงินเดือนให้คุณหมอหน่อย ถ้าพร้อมจะกลับมาผมยินดีต้อนรับเสมอ (เงินขวัญถุงหมายถึงบัญชีส่วนตัวของเขาเอง)
ผจก: ครับได้ครับผมจะดำเนินการให้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลยครับ
แดนชล: ขอบคุณมาก