“ใช่ที่ทะเลาะกันไหม” ฉันอุ้มลูกสาวของน้ำใจพร้อมทั้งว่าปรามกลุ่มเพื่อนที่กำลังถกเถียงกันอยู่ในวัด
น้ำใจกำลังคลั่ง นาฟกำลังจะพาคนดีหนี ส่วนดินก่อนหน้านี้ออกตัวปกป้องคนดี ด้านเรซก็ยังไม่โผล่หัวมาที่จุดนี้
วันนี้คือการทำบุญครบรอบวันตายของหวายน้องชายฝาแฝดของฉัน น้ำใจเป็นแม่งาน แม่ของฉันนั่งอยู่ในศาลา ซึ่งพิธีต่าง ๆ ผ่านพ้นไปด้วยดี ส่วนพ่ออ้างตัวว่าไม่ว่าง มีงานด่วนมาร่วมงานด้วยไม่ได้ ทั้งที่เป็นวันครบรอบวันตายของลูกชาย
ยิ่งนานวันหัวใจก็เบี่ยงไปทางฝั่งนั้นหมด ก็ไม่แปลก เพราะแม่ฉันก็ไม่แคร์เหมือนกัน ในขณะที่ผู้หญิงคนนั้นช่างเอาอกเอาใจ
แต่เชื่อเถอะว่าถ้าเหลือแต่ตัวเมื่อไหร่พ่อน่าจะโดนเขี่ยทิ้ง ไม่พ้นซมซานกลับมาอ้อนวอนแม่
ฉันหวังว่าถ้าวันนั้นเกิดขึ้นจริง ๆ แม่จะเข็ดหลาบไม่หันกลับไปคืนดี คนเราถ้าเคยได้ทิ้งคนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา แสดงว่าเขาไม่ได้ให้คุณค่าเราขนาดนั้น
วกกลับมาที่ปัจจุบัน เหมือนว่าทุกอย่างจะจบ แต่มันไม่ใช่แบบนั้น น้ำใจหุนหันลากคนดีเดินออกไป ฉันกำลังจะเดินตามน้ำใจไป กลัวว่าเธอจะสติแตกและพูดอะไรที่ไม่ควรพูด
“ไม่ต้องไป สงสารเด็ก” ดินพูดพร้อมเดินมาคว้าแขนของฉันไว้ ฉันจึงมองหน้าเด็กน้อยในอ้อมอก แกมองไปที่แม่ของแกซึ่งเดินห่างออกไปไกลด้วยสายที่เศร้าหมอง
ทั้งที่อายุยังน้อย แต่เหมือนจะเข้าใจเรื่องของผู้ใหญ่พอสมควร
“มาให้ลุงอุ้มครับ ป้าแหวนปวดแขนแย่แล้ว” ดินยื่นมือมารับน้ำทิพย์พร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก ยิ้มที่ฉันไม่เคยจะได้สักครั้ง น้ำทิพย์โผตัวเข้าหาดิน น่าจะเกิดจากความคุ้นเคย ฉันก็เลยส่งน้ำทิพย์ให้ดิน จากนั้นฉันจึงเดินไปหานาฟ ซึ่งนาฟกำลังอุ้มไข่ตุ๋น
“ไปรอที่รถเถอะ เดี๋ยวแหวนเดินไปเป็นเพื่อน” ฉันบอกนาฟ ก่อนจะส่งยิ้มให้ลูกชายตัวน้อยที่อยู่ในอ้อมอกของนาฟ ไข่ตุ๋นกำลังร้องไห้เพราะเห็นว่าคนดีที่เป็นแม่โดนดึงออกไปต่อหน้าต่อหน้า
ฉันส่งยิ้มให้ลูกชายของนาฟอีกครั้งและบอกกับเด็กน้อยว่า “ไม่ร้องนะคะคนเก่ง เดี๋ยวแม่ก็มาแล้ว ไปรอแม่ที่รถกัน”
ฉันกับนาฟพาไข่ตุ๋นมารอคนดีที่รถของนาฟ นาฟรักคนดีมาก และคนดีก็อาจจะรักนาฟเช่นกัน ดินถึงไม่เคยเอ่ยกับคนดีว่าเขารู้สึกยังไงกับเธอ อาจจะเพราะกฎของเพื่อนในกลุ่ม รวมทั้งกลัวความรู้สึกของคนดีเปลี่ยนไปเมื่อได้รู้ความรู้สึกของดิน
หรือบางทีก็อาจจะเป็นเพราะดินไม่ค่อยพูด ก็เลยไม่ทันนาฟที่เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว
“ควรบอกน้องและเคลียร์กับน้องให้ชัดเจนนะนาฟ อะไรที่ว่ายาก ๆ มันก็จะได้ง่ายขึ้น” ฉันเอ่ยเมื่อเดินมาถึงที่รถของนาฟ
บางทีนาฟก็เหมือนเด็ดขาด กล้าบ้าบิ่น แต่บางครั้งก็ชอบทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้าน และบางทีก็ขี้ขลาดจนไม่กล้าทำอะไร
พูดไปพูดมา นาฟก็คล้ายกับฉันนั่นแหละ แต่นาฟเก่งกว่าฉันหลายเท่า
“งั้นก็เอานี่ไปดู เพราะกดอ่านไลน์ไอ้ดินมันคงยากสำหรับแหวน ดูแล้วจะตัดสินใจยังไงก็บอกนาฟ นาฟอยู่ข้างแหวน และจะคอยซัพพอร์ตแหวนทุกอย่าง แค่แหวนเอ่ยมานาฟพร้อมจะช่วย” สิ่งที่นาฟยื่นมาให้ฉันคือซองสีน้ำตาล ถ้าให้เดาคงจะเป็นรูปผู้หญิงของพ่อ เพราะนาฟพูดถึงการเปิดอ่านไลน์ของดิน
ซึ่งตั้งแต่วันนั้นที่ดินออกจากห้องของฉันไปเราสองคนก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก ข้อความในไลน์ที่เขาส่งมาไว้ฉันก็ยังไม่ได้เปิดอ่าน
เราเพิ่งจะเจอกันก็วันนี้ ที่งานครบรอบการจากไปของหวาย และเราก็แทบจะพูดคุยกันน้อยมาก
“ขอบคุณนะ” ฉันรับซองสีน้ำตาลมาไว้ในมือ อาจจะเปิดอ่าน แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้
“ส่วนไอ้หน้าฝรั่งนั่น นาฟจะสืบดูก่อนว่ามันยังไง ถ้าไม่น่าไว้ใจนาฟไม่อนุญาตให้แหวนคบมันต่อนะ”
“เดี๋ยวนะ นาฟรู้ได้ไง” แล้วมีสิทธิ์อะไรมาสั่งห้ามฉันคบหรือไม่คบกับใคร
ฉันโสดไหม จะคบใครก็ได้
“นาฟเป็นใคร มีอะไรที่นาฟอยากรู้แล้วไม่ได้รู้บ้าง”
“…” ก็จริง นาฟเกิดในตระกูลใหญ่โต ธุรกิจของครอบครัวนาฟครอบคลุมหลายพื้นที่ ถ้าอยากรู้อะไรคงไม่ใช่เรื่องยาก
“นาฟหวังว่าแหวนจะเปิดดูภายในเร็ว ๆ นี้ และหวังว่าแหวนจะเข้มแข็ง และตัดสินใจถูกต้องนะ” นาฟย้ำเตือนด้วยความห่วงใย ฉันสัมผัสได้ว่าเขาห่วงเพื่อนอย่างฉันจริง ๆ
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะนาฟ แหวนจะเลิกหนีแล้วแหละ นาฟก็สู้ ๆ นะ” ฉันส่งยิ้มให้นาฟหลังจากที่ครุ่นคิดและตัดสินใจได้แล้วว่าควรทำอย่างไร
ในเมื่อเพื่อนอยากให้รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ฉันก็จะรับรู้และเลิกหนี
บางทีการเผชิญหน้ากับความจริงมันอาจจะดีกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้หรือไม่บางทีมันก็คงจะแย่ลงกว่าเดิม แต่ช่างเถอะ ยังไงก็หนีไม่ได้แล้ว
งั้นก็เผชิญหน้ากับมันซะเลย
“ดินบอกแม่ว่าแหวนจะเข้าไปทำงานช่วยดินเร็ว ๆ นี้” แม่เปิดประเด็นเมื่อเราสามคนเข้ามานั่งในรถ มีฉัน แม่ และดินเป็นคนขับ
ดินอาสาไปส่งแม่ที่บ้าน โดยที่ฉันต้องมาด้วย เพราะว่าฉันคือลูกสาวยังไงล่ะ ฉันนั่งหน้าเบาะข้างดินที่เป็นคนขับ ส่วนแม่หยาดนั่งเบาะหลัง
ฉันไม่รู้หรอกว่าดินพูดอะไรกับแม่บ้าง แต่ในเมื่อฉันตัดสินใจว่าจะไม่หนี ฉันก็ต้องเลิกหนี และแม่คือด่านแรกที่ฉันห้ามหนี
“ค่ะ”
“ดีแล้ว อะไรที่มันควรเป็นของเรา แหวนต้องรักษาไว้ให้ดี อย่าให้อีผู้หญิงหน้าด้านพวกนั้นมันมาเย้ยหยันเราได้ ถ้ามันรักกันมากก็ให้มันอยู่ด้วยกันไป ดูซิว่าถ้าเหลือแต่ตัวเมื่อไหร่ แค่รักจะเพียงพอที่พวกมันจะกัดก้อนเกลือกินไหม” แม่หยาดพูดด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง เจ็บแค้นใจ
ก็ไม่แปลกที่แม่จะเจ็บใจ ในเมื่อแม่เป็นคนให้จนพ่อมีทุกอย่าง แต่แล้วพ่อก็ทรยศหักหลังแม่ด้วยการนอกกายนอกใจ อ้างเหตุผลง่าย ๆ ว่าแม่ไม่เข้าใจพ่อ
“ค่ะ” นอกจากรับปากแม่แล้ว ฉันก็ไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรกับแม่ เนื่องด้วยฉันกับแม่พูดกันไม่กี่คำก็จะเกิดการทะเลาะกัน เพราะฉะนั้นฉันจึงพยายามจะพูดกับแม่ให้น้อยที่สุด
“จะนอนที่บ้านไหม” แม่ถามระหว่างทางเลี้ยวเข้าซอยบ้าน
“แหวนมีธุระต่อค่ะ” ความจริงฉันก็แค่ไม่อยากจะนอนค้างที่บ้าน เพราะคืนนี้แม่ต้องเมาหนักแน่ ๆ
“จะอยู่กินข้าวที่บ้านไหม แม่จะได้ทำกับข้าว” หลายคนที่มีปัญหากับแม่หรือคนในครอบครัว คงจะเคยเจออารมณ์ของแม่ที่แบบเวลาลูกอย่างเราทำถูกใจก็จะพูดดีด้วย
ตอนนี้แม่ของฉันก็กำลังเป็นแบบนั้น
“แหวนต้องคุยงานกับดินก่อนจะไปธุระค่ะแม่ แล้วเอกสารก็อยู่ที่ห้อง มันมีบางจุดที่แหวนยังไม่เข้าใจ ก็เลยว่าจะปรึกษาดิน” ฉันก็อ้างไปงั้น เอกสารอะไรล่ะ มันมีที่ไหนกัน
หวังว่าดินจะตามน้ำแทนการหักหน้าฉันนะ ไม่งั้นฉันคงโดนแม่บ่นหูชา
“จริงเหรอดิน” เห็นไหมล่ะ แม่เคยเชื่อคำพูดของฉันที่ไหนกัน สุดท้ายแม่ก็เลือกที่จะเชื่อใจดิน
คราวนี้ก็อยู่ที่ดินแล้วว่าเขาจะพูดช่วยฉันหรือเปล่า
“ครับ” ดินตอบด้วยน้ำเสียงโทนปกติพร้อมกับเลี้ยวรถเข้าบ้าน บ้านที่หลังค่อนข้างใหญ่โต แต่สัมผัสได้ถึงกลิ่นไอความไม่น่าอยู่อาศัย
“ถ้าดินยืนยัน แม่ก็เชื่อดิน ดินดูแลแหวนให้แม่ด้วยนะลูก แม่เหลือแค่แหวนแล้ว อย่าทำให้แม่ผิดหวังนะ” แม่พูดพร้อมกับลงจากรถ
แม่กำลังฝากความหวัง กำลังโยนความกดดัน โยนภาระมาให้ดิน ดินที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาพวกนี้เลย
“ครับแม่” ดินตกปากรับคำฝากฝังของแม่
ที่ผ่านมาช่วงเวลาที่ฉันไม่อยู่ ดินเจอแบบนี้ใช่ไหม
ดินเป็นคนที่ฉันดึงให้มาเป็นสามีเพราะว่าฉันรักเขา อยากได้เขา แต่แล้วฉันก็เลิกสู้กับความใจแข็งดั่งหินของเขา ฉันหย่าขาดและเดินออกจากวงจรชีวิตเดิม ๆ ของตัวเอง ซึ่งก็คิดมาตลอดว่าดินก็คงกลับไปใช้ชีวิตตามไลฟ์สไตล์ของดิน
แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่เลย
เป็นฉันที่ทิ้งภาระทั้งหมดไว้ให้ดิน
“ขอบคุณที่ช่วยโกหก” ฉันเอ่ยเมื่อดินขับรถออกจากบ้านหลังจากที่แม่ลงจากรถไปแล้ว
“…” ดินเงียบเหมือนเช่นเคย
“ขอโทษที่ทิ้งภาระทุกอย่างไว้ให้รับผิดชอบ ทั้งที่มันไม่ใช่หน้าที่ของดินสักนิด ต่อไปแหวนจะจัดการเอง” คำขอโทษบางทีมันก็ไม่ได้พูดยากขนาดนั้น
กับบางเรื่องอ่านะ ซึ่งเรื่องนี้ฉันก็ผิดจริง ๆ
“…” และทุกอย่างก็ตกอยู่บนความเงียบ
ดินขับรถมาเรื่อย ๆ จุดหมายปลายทางคือคอนโดของฉัน เขาต้องไปส่งฉันก่อน
“จะไปไหน” ดินขับรถออกนอกเส้นทางที่จะไปคอนโดฉันจึงได้ถาม
“…”
“ดินช่วยพูดได้ไหม ขอร้องอย่าเงียบ”
“นั่งเงียบ ๆ”
“…” อืม พูดแบบนี้ไม่พูดจะดีกว่า ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีแล้วยังทำให้รู้สึกแย่เพิ่มเข้าไปอีก