“มาที่นี่ทำไม” ผู้หญิงตัวเล็ก ใบหน้าบูดบึ้งขมวดคิ้ว ชักสีหน้าไม่พอใจเมื่อผมเช็กอินเข้าพักที่รีสอร์ทแห่งหนึ่ง
“พักผ่อน” ตามนั้น ก็ผมมาพักผ่อนจริง ๆ ปวดสมองกับงานและกับคน
มากคน มากความ โคตรน่ารำคาญ
“แล้ว?” แหวนชี้เข้าที่ตัวเอง แหวนจะถามว่าให้เธอมาด้วยทำไม
“…” ผมไม่มีคำตอบ ก็ผมไม่รู้เหมือนกันว่าให้เธอมาด้วยทำไม แค่ขี้เกียจแวะไปส่ง มันเสียเวลา และไม่อยากให้เธออยู่คนเดียวในช่วงเวลาแบบนี้ ก็แค่นั้นเอง
และก็แค่บังเอิญว่าผมหยิบเสื้อผ้าเก่า ๆ ของเธอที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าติดมือมาด้วยก็แค่นั้นเหมือนกัน
ถ้าถามว่าทำไมเสื้อผ้าของเธอยังอยู่ในตู้เสื้อผ้าของผม ผมก็จะบอกว่าผมขี้เกียจเก็บออก มันเสียเวลา ก็แค่นั้น
เรื่องมันก็แค่นั้น ไม่เห็นมีอะไรมากมาย
“ดิน!” แหวนแหวเสียงใส่ผม ไม่แปลกที่เธอจะหงุดหงิด เพราะผมไม่อธิบาย ก็ผมขี้เกียจพูดกับเธอ
และอีกเหตุผลที่โมโหก็คงเพราะ ผมจองห้องพักแค่ห้องเดียว
จะจองเยอะทำไม เสียดายเงิน ถูกไหมครับ
เมื่อก่อนเคยนอนด้วยกันแทบทุกคืน เดี๋ยวนี้จะฝืนนอนด้วยสักคืนสองคืนจะเป็นไรไป
“ไปห้องกัน” ผมเดินนำหน้าไปยังห้องพัก
“…” แน่นอนอยู่แล้วว่าคนดื้อรั้นอย่างแหวนจะยืนนิ่ง ๆ
เธอมีนิสัยชอบต่อต้าน
“รีสอร์ทไม่มีรถบริการให้กลับเวลานี้หรอกนะ ถ้าจะกลับรถมีพรุ่งนี้ แล้วที่นี่ตอนกลางคืนก็เปลี่ยวมาก” ผมทิ้งคำขู่และเดินตามพนักงานมาที่ห้องพัก
รีสอร์ทที่ผมเลือกเข้าพักเป็นแบบปิด และอยู่ติดป่าเขา ทางเข้าค่อนข้างลำบาก เรื่องสัญญาณโทรศัพท์มือถือขาด ๆ หาย ๆ เหมาะสำหรับพักผ่อนสมอง ให้ธรรมชาติบำบัดจิตใจ
เหมาะสำหรับแหวนที่กำลังเหมือนนกไร้รังต้องการที่พักพิง
และเหมาะกับผมที่อยากหลบหนีความวุ่นวายคนนั้นจะเอาแบบนี้ คนนี้จะเอาแบบนั้น
“ต้องการอะไรเพิ่มเติมสามารถบอกได้เลยนะคะ” พนักงานบริการยื่นคีย์การ์ดห้องให้ผม
“ฉันต้องการเปิดห้องเพิ่มค่ะ” หึ ยังไงก็ไม่คิดนอนร่วมห้องกับผมสินะ
“คือตอนนี้ห้องพักของเราเต็มหมดแล้วค่ะ แล้วกรณีที่จะเข้าพักต้องจองล่วงหน้าค่ะ ขออภัยด้วยนะคะ” คือคำตอบของพนักงานต้อนรับ
“ค่ะ” หน้าก็บูดบึ้งไงครับ คนที่วางแผนมาอย่างดี กับคนที่ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ก็จะมีความรู้สึกที่ต่างกันออกไปเป็นเรื่องธรรมดาครับ
พนักงานยิ้มแล้วเดินจากไป
“เข้าไหม” ผมเอื้อมมือจะปิดประตูห้อง บรรยากาศที่พักเป็นรีสอร์ทที่ค่อนข้างส่วนตัว จำนวนห้องพักมีไม่ถึงสิบหลัง และแต่ละหลังห่างกันพอสมควร บริเวณโดยรอบปกคลุมด้วยต้นไม้เล็กใหญ่ ซึ่งตอนนี้ที่ฟ้ากำลังมืดลงเรื่อย ๆ บอกได้เลยว่ามันน่ากลัวมาก ไม่ว่าจะคนที่จิตไม่ปกติ หรือสิ่งที่มองไม่เห็น
และคือคนอย่างแหวนกลัวทั้งสองอย่างที่ผมเอ่ยมา เธอจึงกระฟัดกระเฟียดก่อนจะเดินเข้ามาในห้องพัก
“ไม่มีสัญญาณหรอก” ผมพูดหน้าตายเมื่อเห็นเธอกำลังปล้ำกดโทรศัพท์มือถืออย่างเอาเป็นเอาตาย คงจะโทรให้เพื่อนสักคนมารับ แต่บังเอิญว่าผมเลือกห้องพักที่อับสัญญาณสุด ๆ
เพราะงั้นยังไงซะเธอก็โทรหาใครไม่ได้แน่นอน
“ทำแบบนี้ทำไมดิน” อะ คราวนี้คนอารมณ์ร้อนอย่างเธอก็หาที่ลงกับอารมณ์ที่กำลังอยากจะระเบิดไงครับ
“…” ผมทำอะไรผิด ผมไม่ผิด ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลย
“ดินแม่งทำไมเป็นคนอย่างนี้วะ ถามอะไรก็ไม่พูด ทำหน้าตายด้านอยู่ได้ รู้ไหมว่าแหวนกำลังจะประสาทแดกเพราะคนอย่างดินนี่แหละ” นัยน์ตาของแหวนกำลังเอ่ยคลอด้วยน้ำตา
เธอกำลังเหลืออดกับคนอย่างผม
“เสื้อผ้าอยู่ในกระเป๋า ถ้าอยากอาบน้ำก็เชิญ” ผมชี้ไปที่กระเป๋าเดินทาง ในนั้นมีทั้งเสื้อผ้าของผม และของเธอด้วย จากนั้นผมก็เดินไปเปิดตู้เย็น หยิบเบียร์เย็น ๆ มาเปิดแล้วเดินมาที่ชายระเบียง ซึ่งมองไปทางไหนก็เขียวชอุ่มร่มรื่น แต่เวลามืดก็จะน่ากลัวเป็นธรรมดา
ผมชื่อ ‘ดิน’ แก่กว่าแหวนเกือบปี เธอกับไอ้หวายเป็นคู่แฝดที่อายุน้อยกว่าเพื่อนในกลุ่ม เข้าเรียนก่อนเกณฑ์ก็เลยได้เรียนด้วยกันตอนมหาวิทยาลัย
ผมรู้จักไอ้หวายเพราะเรียนคณะเดียวกัน แต่ผมไม่ได้รู้จักกับแหวนโดยตรง และไม่เคยคิดอยากจะรู้จักหรือให้ความสนใจ
ผมมีคนที่ชอบเพียงคนเดียว และผมปฏิบัติต่อเธอพิเศษกว่าคนอื่น เมื่อมันพิเศษกว่าคนอื่น เธอจึงกลายไปเป็นของคนอื่น โดยที่ผมก็เป็นของคนอื่นเช่นกัน
ยังไม่ได้เริ่ม ผมก็ไม่มีสิทธิ์จะสู้ เพราะโดนฝาแฝดของเพื่อนวางยา ทำให้เรามีอะไรกัน ท้ายที่สุดผมจึงต้องรับผิดชอบเธอ
รับผิดชอบทั้งที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
รับผิดชอบทั้งที่ไม่ได้รู้สึกรักเลยสักนิด
ทำไมผมต้องรับผิดชอบทั้งที่จริงจะชิ่งหนีก็ยังได้ เหตุผลง่าย ๆ เลยครับ เพราะว่าแม่ของผมสอนให้ผมเป็นลูกผู้ชาย ทำผิดก็ต้องรับผิดชอบ รู้จักให้เกียรติผู้หญิง
อย่าเป็นเหมือนพ่อที่ให้กำเนิดผม
นั่นคือสิ่งที่แม่ปลูกฝัง และผมไม่อยากให้แม่เสียใจเพราะการกระทำของผม ผมก็เลยรับผิดชอบให้มันจบเรื่องไป
แล้วถ้าถามว่ารักแหวนไหม
ผมก็จะตอบว่า ‘ไม่’
ปึก!
เหล้าหนึ่งขวดกับแก้วสองใบ วางลงที่โต๊ะด้านหน้าของผมขณะที่ผมกำลังคิดถึงความหลังที่แหวนพยายามมากมายกับการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผม
โดยที่ผมไม่เคยต้องการสักนิด
ตอนนี้แหวนเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย เธอนั่งลงข้าง ๆ ผม ใบหน้าสะสวยของเธอ ผมมองเห็นบางอย่างที่เปลี่ยนไป ผมมองกลับเข้าไปที่เตียงนอน ก็ได้เห็นสาเหตุที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้
ผมนั่งมองเธอเทเหล้าใส่แก้วยกดื่มแบบเพียว ๆ แก้วแล้วแก้วเล่า เดี๋ยวก็เมา พอเมาแล้วก็เป็นภาระผมไง
“เบียร์น่ะกินแล้วไม่เมาหรอก มากินเหล้าด้วยกันดีกว่า” แหวนคว้าขวดเบียร์ของผมไปกระดกดื่มจนหมดขวด
“…” พอเริ่มเมาแหวนจะเป็นอีกคน เธอไม่รู้ตัวเองหรอกครับ
“มองหน้าทำไม แค่นี้ไม่พอใจเหรอ แต่ก่อนทำมากกว่านี้อีกไหมอะ”
“...” ใช่ แต่ก่อนทำมากกว่านี้ ทำกระทั่งไอ้ความรู้สึกเฉย ๆ ที่มีต่อเธอได้แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกโกรธเกลียด
บางทีผมก็คิดนะ ถ้าเธอไม่ทำเรื่องเลว ๆ กับผมในวันนั้น ชีวิตของผมอาจจะดีกว่านี้
“มา ๆ ดื่มให้กับชีวิตที่มันโคตรเหี้ยของแหวนกันเถอะ” แหวนเทเหล้าแล้วยื่นแก้วมาจ่อที่ปากของผม
ผมยกมือขึ้นมาคว้าแก้วเหล้าเอาไว้
“อะไรอะ ไม่เกลียดแหวนสักวันไม่ได้เหรอ ตามใจแหวนหน่อยได้ไหมดิน ถ้าดินตามใจแหวนนะ แหวนสัญญาเลยว่าจะตั้งใจทำงาน จะเรียนรู้งานให้เร็วที่สุด ดินจะได้เป็นอิสระ ไม่ต้องแบกรับเรื่องของครอบครัวแหวนอีกต่อไป นะ นะ นะ นะ นะดินนะ” คงเพราะความเมา ทำให้แหวนกล้าที่จะขยับเข้ากอดแขนและซบใบหน้าที่ต้นแขนของผม
“...” ผมเงียบ ไม่พูด เพราะพูดกับคนเมาพูดอะไรไปเธอก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดี ผมเลือกที่จะยกมืออีกข้างมาลูบที่ศีรษะของเธอแทน
ผมเข้าใจดีว่าเธอรู้สึกยังไงกับความสูญเสีย ไม่ว่าจะครอบครัวที่ไม่เป็นครอบครัว หรือการจากไปของน้องชายฝาแฝดที่เป็นที่พึ่งทางใจ
เธอคนเดียวแบกรับเรื่องราวพวกนี้ไม่ไหวหรอก เธอไม่ใช่คนเก่งและแกร่งขนาดนั้น
“แหวนโง่มากใช่ไหมดิน แหวนมันโง่มากใช่ไหมอะ” แหวนคว้าแก้วเหล้าในมือของผมไปดื่มแล้วรำพึงรำพันถึงเรื่องราวที่กำลังเจอ
“แหวนแค่ไม่ทันคน” ผมยื่นมือไปเอาแก้วเหล้าของเธอมาเทและกระดกดื่ม เธอก็แค่โลกสวยในบางเรื่อง และขี้ขลาดในการยอมรับความจริง เธอถึงได้เจอแต่คนเห็นแก่ตัว
“แบบนี้ไงแหวนถึงไม่อยากรู้เรื่องพวกนี้” แหวนกอดแขนผมไว้แน่น ทิ้งน้ำหนักตัวมาไว้ที่ผม
“ระบายออกมาให้หมด กลับกรุงเทพจะได้ตั้งใจทำงาน อย่าอ่อนแอให้คนอื่นเห็นรู้ไหม” ผมวางมือที่ศีรษะของแหวน มืออีกข้างเทเหล้าใส่แก้วให้เธอดื่ม
“ดินเป็นคนอื่นหรือเปล่า” แหวนพูดเสียงเลื่อนลอย
“อยากให้เป็นอะไร ก็เป็นได้หมด”
“แต่เป็นคนที่รักไม่ได้”
“...” ก็ใช่ แล้วจะพูดขึ้นมาทำไม พูดแล้วก็ไม่ได้ทำให้อะไรมันดีขึ้น
“ดิน”
“หืม”
“ดินได้กับผู้หญิงคนนั้นหรือยัง” หมายถึงคนที่ผมกำลังคุยอยู่
“ยัง”
“จริงเหรอ”
“อืม”
“ไม่หลอกใช่ไหม”
“อืม”
“ดินรักผู้หญิงคนนั้นเหรอ”
“...” ผมไม่ตอบ เธอจึงผ่อนลมหายใจออกมายาว ๆ และยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม ก่อนจะวางแก้วลงให้ผมเทเหล้าให้เธออีกครั้ง
จากนั้นเราสองคนนั่งดื่มด้วยกันเงียบ ๆ มองวิวธรรมชาติที่แมกไม้ปกคลุม เธอดื่มผมดื่ม ไม่เมาน่ะสิแปลก เพราะเราสองคนดื่มเพียว ๆ
“ดินรู้ไหม” เงียบไปได้ 20 นาทีแหวนก็เริ่มพูดจาขึ้นอีกครั้ง
“…” ผมนั่งเงียบ ๆ แหวนปล่อยต้นแขนของผมและพยายามพยุงตัวเองนั่งตัวตรงอย่างลำบาก แหวนจับใบหน้าของผมให้หันไปมองหน้าเธอ
“รู้ไหมว่าสายตาเย็นชาของดินเวลามองมาที่แหวนมันเหมือนหอกนับสิบทิ่มเข้ามากลางใจของแหวน แหวนเจ็บนะ เจ็บมาก ๆ” เธอมองหน้าผมด้วยสายตาหวานเยิ้มปะปนกับความเศร้า
“…” ก็น่าสงสารดี เธอมันคนน่าสงสาร แต่ผมรักเธอไม่ได้
“อย่ามองแหวนเหมือนว่ากำลังสงสารแหวนสิดิน ความรู้สึกพวกนั้นมันก็แค่เรื่องของเมื่อก่อน เดี๋ยวนี้แหวนไม่ได้คิดแบบนั้นแล้ว… แหวนมีแฟนใหม่แล้ว ดินสบายใจได้เลย แหวนจะไม่…” คำพูดของแหวนกลืนหายเพราะว่าผมประกบจูบที่กลีบปากของเธอ
ก็แค่คิดว่าปากเธอมันน่าจูบ ปากเล็ก ๆ ที่ชอบพูดเอาแต่ใจตัวเอง
ก็แค่คิดว่าถ้าทำมากกว่าจูบมันจะเป็นอะไรไป ในเมื่อเราเคยทำบ่อยไป ครั้งที่เราเคยเป็นสามีภรรยา