7 พื้นที่ส่วนตัว

1889 Words
“แหวนจะกลับเลยเหรอลูก” แม่แก้วถามขณะที่กำลังทานของหวาน เอาจริงคือฉันยัดของหวานเข้าท้องแทบไม่ไหว อาหารคาวผ่านไปด้วยความจุก จะไม่กินแม่ของฉันก็จับจ้องสร้างความกดดัน สุดท้ายฉันจึงต้องยัดของโปรดของน้องชายใส่กระเพาะตัวเอง “ค่ะ” ต้องกลับแหละ อยู่นานกว่านี้คงได้ทะเลาะกับแม่แน่นอน “รีบกลับทำไม ดินต้องเข้าบริษัท คนละทางกับคอนโดไม่ใช่เหรอ เสียเวลาดินแย่” แม่ของฉันออกความเห็นในเชิงขัดแย้ง ฉันกลับแท็กซี่ก็ได้ไหม จะลำบากคนอื่นทำไม ฉันโตจนใกล้จะเข้าคำว่าแก่แล้วไหม ทำอย่างกับว่าฉันเป็นเด็กไปได้ “แหวนกลับแท็กซี่ได้ค่ะ” “เข้าไปดูบริษัทบ้าง สองปีมานี้แกโยนภาระให้ดินดูแลมาตลอดรู้ตัวบ้างไหม” แม่ของฉันเอ่ยอีกครั้ง และครั้งนี้ฉันหันมองหน้าดิน เพราะฉันไม่รู้เลยว่าดินเข้าไปทำงานที่บริษัทของครอบครัวฉัน “มองดินแบบนี้คือแกไม่รู้อะไรเลยใช่ไหมแหวน นั่นสิเนอะ แม่จะหวังอะไรจากแกได้ ที่ผ่านมาแกก็ปิดหูปิดตาปิดปาก เอาแต่ใจตัวเองทุกอย่าง ไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของคนรอบข้าง แม่ลืมไปว่าแกมันฝากฝังอะไรไม่ได้เลย ถ้าหวายยังอยู่แม่ก็คงไม่ต้องมาบากหน้าพึ่งพาผู้ชายที่แกวางยาเพื่อให้มาเป็นผัวแก แล้วสุดท้ายเขาก็ไม่ได้รักแก แม่ก็คิดโง่ ๆ เนอะ ดันลืมไปซะได้ว่าผู้ชายคนเดียวแกยังไม่มีปัญญาทำให้เขารักแกได้ จะให้แกไปดูแลบริษัทใหญ่โตขนาดนั้นได้ยังไง” “พอแล้วหยาด เธอพูดแรงไปแล้วนะ นึกถึงความรู้สึกลูกบ้าง แหวนอย่าไปใส่ใจเลยลูก” แม่แก้วห้ามปราม แต่ปรามตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วไหม ทุกคำที่แม่ของฉันพูดมันฝังเข้ามาในความรู้สึกของฉันแล้ว แน่นอนว่าฉันไม่เถียงแม่ เพราะถ้าเกิดว่าฉันเถียง ไม่น้ำเปล่าก็ของหวานอาจจะอาบใบหน้าของฉัน แม่ตอนนี้คือแม่ที่ไม่เมา แต่สามารถพูดระบายความอัดอั้นได้ แม่ร่างนี้ก็น่ากลัวไม่ต่างจากร่างเมา “ผมขอตัวก่อนนะครับ ใกล้ได้เวลาเข้าประชุมแล้ว เดี๋ยวจะไปไม่ทัน ปะแหวน” ดินลุกจากเก้าอี้และเดินมาคว้ามือของฉันให้ลุกขึ้นยืน “แหวนลานะคะ แล้วจะแวะมาใหม่” ฉันยกมือไหว้แม่ทั้งสองก่อนจะเดินตามดินออกจากบ้าน นี่ไงหนึ่งสาเหตุที่ไม่กลับบ้าน บ้านสำหรับฉันมันไม่น่าอยู่มานานมากแล้ว ไม่ว่าจะตอนที่หวายยังมีชีวิต หรือตอนที่หวายจากไป เมื่อก่อนฉันไม่เหงาเท่าตอนนี้เพราะมีน้องชายฝาแฝดร่วมแชร์ความรู้สึก ต่างจากตอนนี้ที่ฉันเหงาจนหนาวจับขั้วหัวใจจะแชร์จะเล่าระบายให้ใครฟังก็พูดไม่ได้เต็มปาก เพราะจะกลายเป็นการเอาครอบครัวมาขาย “จะไปบริษัทด้วยกันไหม” ดินขับรถออกจากบ้านของเขาแล้ว “ไม่” จะให้ฉันไปทำไม ฉันไปแล้วจะช่วยอะไรได้ ไปแล้วถ้าเจอพ่อกับผู้หญิงคนใหม่ของพ่อ ฉันจะต้องวางตัวแบบไหนกันล่ะ ฉันปั้นหน้าไม่เก่งด้วยสิ ผู้หญิงที่ฉันไม่เคยเห็นหน้า ผู้หญิงที่แม่ของฉันเกลียดชัง มันไม่ยากเลยถ้าฉันอยากรู้ว่าเธอคือใครและมันไม่ยากเลยที่ฉันจะราวีเธอ แต่ที่ฉันไม่ทำ เพราะฉันไม่กล้าพอไง ไม่กล้าพอที่จะเผชิญหน้ากับความจริง ไม่กล้าพอที่จะโดนพ่อตบอีกครั้ง ฉันไม่อยากพบเจอความเจ็บปวดอีก ฉันจึงพยายามปิดตายทุกอย่าง พร้อมวิ่งหนีปัญหา “ไปร้านไหมอะ เดี๋ยวประชุมเสร็จจะมารับไปส่งห้อง” ร้านที่ว่าหมายถึงร้านเหล้าของดินไง ดินเปิดร้านเหล้าตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว และฉันไม่ได้ไปเหยียบที่นั่นเลยตั้งแต่แต่งงานกับดิน กระทั่งเราเลิกรากัน เพราะดินเคยบอกฉันว่า ‘ที่นั่นพื้นที่ส่วนตัว ขอร้องเว้นไว้ให้หายใจบ้าง’ ฉันก็เลยไม่เคยไปเหยียบอีก “ไม่” “แหวน” “จอดข้างทางนี่แหละ เดี๋ยวนั่งแท็กซี่ไปเอง” ฉันรู้ว่าเขากำลังรีบที่จะต้องเข้าประชุมให้ทัน ถ้าเกิดเข้าไม่ทันก็เป็นปัญหาอีก ไม่พันแม่มาต่อว่าฉัน โยงว่าต้นเหตุมาจากฉันเหมือนเดิม “26 แล้วแหวน” ดินกำลังหาว่าฉันทำตัวเด็ก ฉันคิดว่าฉันเริ่มจับทางพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของดินได้แล้ว “ขอร้องอย่ามาสงสาร ที่หย่าให้คือคืนอิสรภาพให้แล้ว ไม่ต้องทำตามที่ใครขอเลย ทำตามใจตัวเองเถอะ บริษัทถ้ามันจะพังก็ปล่อยให้มันพังไป มันไม่ใช่หน้าที่ที่นายต้องรับผิดชอบเลย เลิกแบกรับเถอะปัญหาของครอบครัวนี่ นายก็รู้ว่ามันแก้ไม่ได้ อะไรที่มันแตก มันหาย มันกลับมาประกอบให้เหมือนเดิมไม่ได้ ไปใช้ชีวิตของนายให้มีแต่ความสุขเถอะนะ” ใช่ ที่ดินเป็นแบบนี้เพราะเขาสงสารครอบครัวฉัน ที่เขาแบกรับเพราะเขาสงสารแม่ฉัน และเขาติดค้างคำฝากฝังของหวายที่เคยขอให้ดูแลฉัน “…” ดินหันมามองหน้าฉันก่อนจะหันกลับไปตั้งใจขับรถต่อ “หวายตายไปแล้ว ไอ้คำที่หวายพูดก็ลืม ๆ ไปเถอะ นี่ดูแลตัวเองได้ หาเงินใช้เองได้ นายอย่าฝืนทำอะไรที่ไม่ชอบเลย ชีวิตมันสั้น สรรหาความสุขให้ตัวเองเถอะ” “…” “เลิกทำงานที่บริษัท แล้วก็พาผู้หญิงของนายมาไหว้แม่แก้ว แม่แก้วบ่นอยู่ว่าอยากได้หลาน นายควรทำให้…” “หยุดพูด นั่นเรื่องของดิน” ดินส่งเสียงแทรกเข้ามา “…” อะ ฉันเงียบ ฉันก็ผิดจริงที่ไปยุ่งเรื่องของเขา เรื่องส่วนตัว ฉันไม่ควรก้าวก่าย “จอดข้างทางให้ด้วยนะ” ฉันไม่ได้ประชด หรือไม่พอใจเขานะ ก็แค่คิดว่าเราไม่ควรร่วมทางเดียวกัน เพราะฉันไม่เข้าบริษัทแน่ ๆ “จะไปไหน” ดินถามระหว่างติดไฟแดง “อาจจะไปหาน้ำใจ ยังไม่อยากกลับห้อง” ฉันก็ตอบไปงั้น ยังไม่รู้ว่าจะไปไหน แต่ไม่กลับห้องแน่ ๆ ยังไม่อยากตอบคำถามเพื่อน ฉันอยากอยู่เงียบ ๆ “ก็บอกให้ไปอยู่ที่ร้านก่อน” “ที่นั่นเป็นพื้นที่ส่วนตัวไม่ใช่เหรอ นี่ไม่ได้อยากไปเหยียบพื้นที่ส่วนตัวของใคร เดี๋ยวจะไปรบกวนอากาศหายใจ” การแทนตัวเองว่า ‘นี่’ และ ‘นาย’ ก็เพราะว่าไม่รู้ระหว่างเราสองคนมันต้องแทนคำไหนที่จะเว้นระยะห่างมากพอไง “เอาโทรศัพท์มานี่” ดินแบมือมาที่ฉัน “เอาไปทำอะไร” ใครจะให้กัน “แอดไลน์ไง ประชุมเสร็จเดี๋ยวดินทักหา” “ไม่ต้องอะ” จะทักมาทำไม เราสองคนไม่มีความจำเป็นต้องคุยกันเลย “ถ้าไม่เอามาก็ไปบริษัทด้วยกัน” ฉันจ้องหน้าดินก่อนจะล้วงกระเป๋าแล้วยื่นโทรศัพท์มือถือให้เขา เขาไม่ใช่คนชอบพูดเล่นแบบนาฟ ทุกอย่างที่พูดเขาล้วนลงมือทำจริง ๆ การไปบริษัทไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการในเวลานี้ เพราะงั้นทำตามที่ดินพูดไปก่อนดีกว่า ถ้าถามว่าทำไมรถจอดติดไฟแดงแล้วไม่ลง ก็เพราะระบบรถมันล็อคจากฝั่งของดินไง ฉันจึงลงไม่ได้ “เดี๋ยวดินจะจอดให้แหวนข้างหน้าตรงนั้น จะไปไหนก็ไลน์มาบอกไว้ ประชุมเสร็จจะไปรับ” “…” แค่ลงจากรถเขาได้ทุกอย่างก็จบแล้วไหม “เข้าใจที่พูดใช่ไหม” “อืม” เข้าใจอยู่แล้ว แต่จะทำตามไหมนั่นอีกเรื่อง “แล้วถ้าไม่ทำตามที่ดินบอก การเข้าไปช่วยงานที่บริษัทจะถูกเร่งเข้ามาเร็วกว่าเดิม แหวนคงรู้จักพ่อกับแม่ของแหวนดี” ดินกำลังเอาเรื่องงานมาขู่ฉัน เรื่องงานที่ฉันไม่คิดจะเข้าไปสานต่อ “รู้แล้ว เดี๋ยวจะทักไปบอก” ฉันรีบรับปาก ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันจะไม่สน แต่นี่ดินเข้าไปทำงานในบริษัทของพ่อแม่ฉัน ตำแหน่งอะไรฉันยังไม่รู้ แต่ฉันเชื่อว่าเขาสามารถพูดให้ฉันเข้าทำงานที่นั่นได้เร็วกว่าเดิมแน่นอน ดูก็รู้ว่าแม่ของฉันพึ่งพาเขา อะไรก็ตามที่เขาต้องการ แม่ของฉันยินดีทำตามที่เขาเสนอ “อย่าลืมทักมา” ดินขับรถมาจอดข้างทางให้ฉัน “อืม” ฉันขานรับประตูถึงได้ถูกปลดล็อค ฉันรีบลงจากรถก่อนที่ดินจะเปลี่ยนใจแล้วพาฉันเข้าบริษัทไปด้วย ดีที่แท็กซี่จอดพอดี ฉันจึงไม่รีรอเปิดประตูเข้ามานั่งในรถแท็กซี่ ซึ่งดินยังไม่ทันได้ออกรถด้วยซ้ำ “ไปคอนโด×××” ฉันเอ่ยชื่อคอนโดของเพื่อนคนหนึ่งก่อนจะกดโทรหาเพื่อนคนนั้น (อืม) ปลายสายกดรับด้วยน้ำเสียงงัวเงีย “รับงานไว้หรือเปล่า” (ไม่ได้รับ) “งั้นอีก 20 นาทีลงมารับหน้าคอนโดด้วยนะ” (กลับมาไม่กี่วันก็เอาเลยเหรอวะ) ปลายสายโอดครวญ “จ่ายตังค์ก็ได้เถอะ ทำพูดเยอะ ก็คิดเงินเหมือนลูกค้าคนอื่นสิ” (แต่ไม่ได้ทำแบบลูกค้าไง) “พูดเหมือนอยากทำ” (ก็อยากลองอยู่) “ถ้ากล้าก็ตามใจ” (หึ) “อืม ๆ อย่าลืมลงมารับนะ” (ครับแม่ เดี๋ยวจะลงไปรอตอนนี้เลยครับ) “ดีเลย ส้มตำไก่ย่างป้าข้างคอนโดยังขายอยู่ไหมอะ” (จะแดกว่างั้น) “อืม ขายไหมอะ” (ขาย แต่ต้องต่อคิวคนเยอะ) “ลงมาต่อคิวให้เพื่อนหน่อยนะจ๊ะ” (ทำไมไม่กินข้าวมาจากบ้าน) “กินมาแล้ว จุกมากด้วย แต่กินแบบไม่มีความสุขเลย ก็เลยอยากกินใหม่” (อืม ๆ เดี๋ยวไปต่อคิวซื้อให้ เอาเหมือนเดิมชะ) “ใช่แล้วจ้ะ ขอบคุณนะจ๊ะ” (หึ) เพื่อนของฉันกดวางสายทันที คงกลัวว่าฉันจะอยากกินอะไรอย่างอื่นอีก เมื่อก่อนเวลาไม่สบายใจมาก ๆ ฉันก็มักมาขลุกตัวอยู่กับเพื่อนคนนี้ เดี๋ยวนี้ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมสินะ ฉันถึงได้คิดถึงเขาเป็นคนแรก ฉันมีเพื่อนสนิทก็จริง ปรึกษากันทุกเรื่องก็จริง แต่มันจะเหมือนมีเส้นบาง ๆ กั้นความสัมพันธ์เอาไว้ว่าบางเรื่องที่สำคัญมาก ๆ จะเล่าให้ฟังไม่ได้ ซึ่งต่างจากเพื่อนคนนี้ที่ฉันเป็นตัวของตัวเองได้มากที่สุด เขาเป็นเพื่อนที่เหมือนจะไม่สนิท แต่ความจริงเขาเป็นคนที่เข้าใจฉันที่สุด ฉันเคยไว้ใจเขามากกว่าเพื่อนสนิทของฉัน และยิ่งตอนนี้ฉันก็ยิ่งไว้ใจเขามากที่สุด เพราะฉันเชื่อว่าเขาคือคนที่จะไม่หักหลังฉัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD