อคิราห์ในชุดสูททำงานสีเข้ม พาส่วนสูงที่มีถึงร้อยแปดสิบเซนติเมตรเดินออกจากบริษัทมุ่งมายังที่จอดรถประจำตำแหน่งที่เจ้าตัวเพิ่งได้เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นรองประธานบริษัทเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ขณะนี้บ่ายสี่โมงกว่าเขากำลังจะกลับคอนโด
วันนี้เคลียร์งานเสร็จเร็วจึงอยากกลับไปพักผ่อน หลายเดือนที่ผ่านมากับการพิสูจน์ตัวเองให้พ่อเห็นว่าเขาเหมาะสมกับตำแหน่งรองประธานบริษัทขนาดไหน
หากพ่อจะมองแค่เรื่องที่เขาไม่มีเมียมีหลานให้แล้วจะเอาข้อนี้มาบังคับ เขาว่ามันดูไม่สมเหตุสมผลเกินไป แล้วยิ่งได้เสียงส่วนใหญ่จากผู้อาวุโสในที่ทำงานเห็นดีด้วยว่าเขาเหมาะกับตำแหน่งนี้เป็นที่สุด นั่นจึงทำให้เขาได้รับตำแหน่งนี้มาโดยโปร่งใส
เข้ามาอยู่ในรถได้ คาดเข็มขัดนิรภัย กดสตาร์ตรถพร้อมเปิดแอร์เย็นฉ่ำจนถึงใจ ทำให้คนที่เพิ่งเลิกงานมาเมื่อกี้ดูผ่อนคลายลง เข้าไปในโหมดฟังเพลงสบายๆ ก่อนขับเคลื่อนรถไปตามท้องถนน
อคิราห์ใช้เวลาสามสิบนาทีกลับมาถึงที่คอนโด กดล็อกรถเดินล้วงกระเป๋าด้วยมือข้างหนึ่ง ก่อนค่อยๆ ชะลอความเร็วลงเมื่อเจอผู้หญิงผมสั้นคนหนึ่งในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนขายาวเข้ารูปสีซีด ในมือเธอมีนิ้วมือของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ อวบๆ วัยประมาณสี่ห้าขวบในชุดนักเรียนอนุบาลยืนมองมาทางเขาตาแป๋ว
กระทั่งเธอจูงมือเด็กน้อยคนนั้นเดินเข้ามาหาเขาแล้วหยุดลงตรงหน้า เขาจึงได้เห็นใบหน้าคนที่โตกว่าชัดขึ้นว่าเธอน่ารักขนาดไหน
ถ้าไม่ใช่ว่าในมือเธอมีเด็กคนนี้แล้ว เขาคงโดนผู้หญิงคนนี้สะกดด้วยใบหน้าและทรวดทรงที่ถูกใจ เหมือนสาวญี่ปุ่นในหนังเอวีไม่มีผิดเพี้ยน
พอมองลงด้านล่าง สายตาไร้เดียงสาคู่นั้นกลับทำให้เขารู้สึกไขว้เขวในใจแปลกๆ ไม่รู้เพราะเหตุใด
"สวัสดีค่ะ" เมยาวียกมือไหว้อีกฝ่ายด้วยความประหม่า เธอรวบรวมเอาความกล้าอยู่ตั้งนาน กระทั่งมันขาดสะบั้นลงเมื่อหาหนทางไปไม่เจอจริงๆ
"คุณซันใช่ไหมคะ" เมยาวีทักทายเขาอย่างมีความหวัง
อคิราห์มองสบตากับเธอนิ่ง พยายามนึกใบหน้าของผู้หญิงคนนี้ว่าเป็นใคร เขาเคยเจอที่ไหนมาก่อนไหม เพราะเหมือนเธอรู้จักเขาดี
รูปร่างสมส่วนผิวขาวหุ่นดีแบบนี้ ผมสั้นประบ่าเข้ากับกรอบใบหน้าจิ้มลิ้ม ริมฝีปากอวบอิ่มรับกับจมูกเรียวเล็กและดวงตากลมโต
เขาเคยรู้จักเธอมาก่อนเหรอ แต่คิดว่าไม่ หรือจะเป็นผู้หญิงที่เขาเคยซื้อกินเพราะไม่เคยควงใคร แต่จำได้ว่าเขาไม่เคยคว้าผู้หญิงผมสั้นคนไหนเลยเพราะเขาโปรดปรานผู้หญิงผมยาวมากกว่า
"มีอะไรครับ" อคิราห์ถามกลับด้วยความสุภาพ ในเมื่อไม่อยากสงสัยนาน แล้วคนที่ยืนจับมือเธออยู่เริ่มไม่นิ่งตามประสาเด็กน้อย
"นี่น้องมายด์..เป็นลูกของคุณค่ะ" เมยาวีเอ่ยออกไปแล้วรีบเม้มปากเอาไว้ ไม่รู้ว่าปฏิกิริยาโต้ตอบมันจะเป็นอย่างที่คาดหวังไหม แต่เธอภาวนาให้มันดี
แล้วสิ่งที่ได้ยินทำเอาอคิราห์ชาไปทั้งตัว "เธอ..ว่าไงนะ" ตอนนี้เขาตื้อไปหมด หากเข้าใจโมเมนต์ของผู้ชายชอบเที่ยวนั่นแหละสิ่งที่เขากำลังเป็น คือเผลอไปทำใครท้องขึ้นมาทั้งที่รู้ว่าตัวเองป้องกันเป็นอย่างดี
แต่ยังไงก็มั่นใจว่าตัวเองไม่พลาดแน่นอน
"เขา..เป็นลูกของคุณค่ะ ฉันท้องกับคุณเมื่อห้าปีก่อน"
อคิราห์มองสบสายตาเศร้าหมองลงกว่าเมื่อกี้ ก่อนลดระดับสายตาลงสบกับเด็กน้อยที่มองเขาไม่ลดละ ค่อยๆ ย่อตัวลงช้าๆ แล้วยื่นมือไปตรงหน้า เด็กน้อยก็ค่อยๆ วางมือเรียวเล็กนั้นลงแตะสัมผัสอย่างไม่เกรงกลัว
ความอบอุ่นที่มือทำให้เขาได้สติกลับมาแล้วกลั้วหัวเราะออกมา และเด็กน้อยคนนี้ก็รีบชักมือกลับทันที
ไม่ผิดคาด! มิจฉาชีพที่แม่พามาหาเงินเลยใจกล้าให้เขาจับมือ แต่เด็กอาจยังไม่มีประสบการณ์มากพอ พอเขารู้ทันกลับกลัวเสียอย่างนั้น
"เธอจะบอกฉันว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของฉันอย่างนั้นเหรอ" อคิราห์ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนเผชิญหน้าถามกลับด้วยน้ำเสียงที่พยายามข่มความรู้สึกเอาไว้
"ค่ะ" เมยาวีพยักหน้าช้าๆ พอเห็นเขาหัวเราะออกมาราวกับเยาะเย้ยหัวใจเธอหล่นลงไปอยู่แทบเท้า เขาทำราวกับเป็นเรื่องตลกมาก ทำไมเธอถึงได้รู้สึกหน่วงที่อกนักก็ไม่รู้
ทั้งที่เผื่อใจมาก่อนหน้านี้แล้วว่าเขาอาจไม่เชื่อที่เธอพูด เพราะมันผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ แล้วอีกอย่างเขาคงไม่พลาดหรอกในเมื่อเขาเป็นเสือผู้หญิง เขาจะกล้าปล่อยให้ตัวเองทำผู้หญิงขายตัวตั้งท้องได้อย่างไรกัน
แต่เธอก็ยังมั่นใจว่า หากเขาได้มองหน้าลูกตัวเองสักครั้ง แล้วสะกิดใจสักนิดสักหน่อยนัดไปตรวจดีเอ็นเอกันเธอก็ยินดี
อคิราห์พาสองแม่ลูกคู่นี้เดินไปคุยกันที่ล็อบบี้เมื่อคิดว่ามันไม่ใช่แล้ว มาแบบนี้คงหวังอยากได้เงินแน่ๆ แต่เอาเถอะ ถ้าลำบากเขายินดีจะช่วย แต่ห้ามมาแอบอ้างแบบนี้อีกว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของเขา
"เท่าไหร่" เมื่อมาถึงอคิราห์เปิดประเด็นถามทันที เขาไม่อยากรู้เรื่องราวพวกนั้นว่าเธอลำบากแค่ไหน แต่แค่อยากรู้ว่าผู้หญิงคนนี้กับลูกต้องการเงินเท่าไหร่จะได้จบๆ
"คะ" เมยาวีทำหน้างง
"เธออยากได้เงินไม่ใช่หรือไงถึงได้มาแอบอ้างว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของฉัน!" อคิราห์ถามเสียงเข้ม
"เอ่อ..ไม่ใช่นะคะ น้องมายด์เป็นลูกของคุณจริงๆ ค่ะ"
"งั้นมีอะไรมาพิสูจน์" ถ้าจะมาอ้างแบบนี้เขาคงได้มีลูกเป็นโกดัง
"ถ้าคุณไม่เชื่อ ฉันสามารถให้ลูกตรวจดีเอ็นเอได้ค่ะ"
อคิราห์มองลงที่เด็กน้อยตาแป๋วอีกครั้ง แต่เด็กน้อยนั้นเหมือนกำลังจะร้องไห้ขึ้นมาทำเอาใจเขาวูบสั่น เมื่อเขาและแม่ของเธอคล้ายคนกำลังจะทะเลาะกัน
เมยาวีก้มลงมองตามสายตา พอเห็นว่าลูกสาวดวงตากำลังปริ่มน้ำก็ตกใจ เด็กน้อยคงไม่เข้าใจความหมาย แต่คงตกใจมากกว่าที่เธอมามีปัญหากับพ่อของเขา
ก่อนมาที่นี่เธอบอกลูกแล้วว่าจะพาแกมาหาพ่อ แล้วน้องมายด์ก็ดีใจมากๆ เพราะเจ้าตัวอยากเจอ
ไม่รู้ว่าลูกสาววาดฝันเอาไว้อย่างไร คงคิดว่าคนตรงหน้านี้จะยิ้มให้แล้ววิ่งเข้ามากอด คงเข้าใจว่าพ่อรู้อยู่แล้วว่ามีแกเป็นลูก ไม่ใช่มองเราสองแม่ลูกราวกับตัวประหลาดแบบนี้
"เอ่องั้นไม่เป็นไรค่ะ งั้นฉันขอตัวพาลูกกลับบ้านก่อนนะคะ ไปค่ะน้องมายด์" แล้วเมยาวีก็อุ้มลูกสาวขึ้นแนบอกแล้วเดินออกไปจากที่นี่โดยเร็ว มือเรียวปาดน้ำตาที่ไหลลงมาทั้งสองข้างแก้มออกเพราะเข้าใจความรู้สึกลูก ก่อนจะพาเด็กน้อยกลับที่พัก
@เวลาต่อมา
"คนสวยคะ แม่เจียวไข่เสร็จแล้วค่ะมาทานข้าวกัน" เมยาวีเรียกคนที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนที่นอนห้าฟุตติดพื้นรอแม่ทำอาหารเย็นให้ทาน
"คุณพ่อไม่รักน้องมายด์เหรอคะคุณแม่" คำพูดที่ออกจากปากลูกสาวทำเอาเมยาวีชะงักไป จุกในอกเข้าใจในคำถาม และความเป็นแม่อีกนั่นล่ะต้องรีบเคลียร์ความเศร้าให้ลูกสาวทั้งที่ตัวเองเจ็บปวดกว่าลูกมาก
"รัก..สิคะลูก สงสัยคุณพ่อเพิ่งเลิกงานมาเหนื่อยๆ น่ะค่ะ แล้ววันนี้แม่ไม่ได้บอกคุณพ่อก่อนด้วยว่าเราจะไปหา เอาไว้วันหลังเราค่อยไปหาคุณพ่อใหม่นะคะ" เดินไปนั่งลงที่ข้างลูกสาวแล้วปลอบขวัญ เด็กน้อยก็พลิกตัวมากอดแขนแม่เอาไว้
"แต่น้องมายด์ไม่อยากไปเจอคุณพ่อแล้วค่ะคุณแม่" เด็กน้อยเอ่ยเสียงอู้อี้ในลำคอ
"ทำไมคะลูก" มือเรียววางลูบบนศีรษะเล็ก เส้นผมเด็กนิ่มราวกับใยไหม "ไหนว่าอยากเจอคุณพ่อไงคะ" เพราะนอกจากเรื่องเงินยอมรับว่าสาเหตุหลักๆ ก็มาจากลูกสาว ปีนี้เมยาดาอายุสี่ขวบแล้ว รู้เรื่องราวมากขึ้นกว่าเก่า ช่างพูดช่างคุย ช่างจดจำเป็นไหนๆ วันนั้นลูกกลับจากโรงเรียนแล้วถามเธอออกมาว่าพ่อหน้าตาเป็นอย่างไร ความเป็นแม่แล้วบอกได้คำเดียวว่าพ่อของลูกหล่อมาก แต่ใครจะไปคิดว่านั่นจะทำให้เมยาดาอยากเจอเขาขึ้นมา ประจวบเหมาะกับเธอได้งานพอดีเลยอยากลองคุยกับเขาดู
"คุณพ่อดุคุณแม่.."
นั่นจึงทำให้เมยาวีชะงักไป คว้าลูกสาวเข้ามากอดแล้วยิ้มทั้งน้ำตา ก่อนรีบเคลียร์ใจให้ชื้น
"น้องมายด์ไม่อยากไปเจอคุณพ่ออีกแล้วค่ะคุณแม่" เงยหน้าขึ้นสบตากับแม่ตัวเอง
"โอเคค่ะโอเค งั้นเราจะไม่ไปเจอคุณพ่ออีกนะคะ" ให้คำมั่นสัญญากับลูก ต่อไปเธอจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้วหากว่าลูกยืนยันจะมีแค่เธอคนเดียว เราจะอยู่กันสองคนแม่ลูกแบบนี้ต่อไป
"ฮึกค่ะ"
"ไม่ร้องนะคะคนเก่ง เดี๋ยวไปทานข้าวกันดีกว่าจะได้ทำการบ้าน วันนี้มีการบ้านอะไรบ้างเอ่ย" พยุงลูกลุกขึ้นจากที่นอนแล้วพามานั่งลงที่พื้น เอาโต๊ะญี่ปุ่นขนาดเล็กมากาง ใช้เป็นทั้งโต๊ะทานอาหารและโต๊ะเขียนการบ้านไปในตัว
แล้วเด็กน้อยก็เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นใสแจ๋วทันที "คุณครูให้เขียนตัวเอฟค่ะ"
"โอเคค่ะ แล้วคุณแม่ต้องจับมือทำมั้ยคะวันนี้"
เด็กน้อยส่ายหัว "น้องมายด์ทำเองได้ค่ะ"
"เก่งที่สุดเลยค่ะลูกสาวแม่ งั้นรอแป๊บหนึ่งแม่ไปเอาข้าวมาให้นะคะ"
"โอเคค่า.."
แล้วเมยาวีก็เดินไปหยิบเอาข้าวไข่เจียวที่มีรวมอยู่ในจานเดียวกันพร้อมช้อนเอามาให้ลูกสาวทาน เมยาดาสามารถทานข้าวเองได้แล้ว
เธอจึงปลีกตัวไปทำงานบ้าง งานโพสต์ขายของออนไลน์กำไรประมาณวันละสามถึงห้าร้อยบาท
ของที่เมยาวีขายเป็นของกิฟต์ชอปน่ารักๆ เรียกได้ว่าเป็นสินค้าสิ้นเปลืองที่น้อยนักในยุคเศรษฐกิจแบบนี้จะมีคนซื้อ
ถ้าไม่ใช่ว่าลูกค้าประจำแล้วก็ถือว่ายาก ก็ตั้งแต่ที่มีเมยาดาอยู่ในท้อง จากนั้นเธอลาลูกเพจไปคลอด เวลาลูกหลับก็มานั่งทำงานต่อ ให้ใช้เงินเก็บเพียงอย่างเดียวกลัวว่าสักวันจะหมดไป
ค่าใช้จ่ายเริ่มมาหนักขึ้นเมื่อตอนที่เธอต้องเปลี่ยนเป็นนมเสริมให้ลูกเพราะเขาโตแล้ว และเด็กน้อยเริ่มกินอาหารที่หลากหลายได้แล้ว รู้จักขนมนมเนย ทำให้รายได้ที่ได้รับเริ่มสวนทางกับรายจ่าย
เงินเก็บที่มีสลับกับเงินที่ได้มาใหม่ใช้ไปเรื่อยๆ จวนจะหมด เฮือกสุดท้ายเธอเหลือเงินสดในกระเป๋าเพียงหนึ่งหมื่นบาท ในเวลานี้ใบหน้าพ่อของลูกจึงลอยมา
ห้าปีที่เธอเลี้ยงลูกมาโดยลำพัง เธอไม่เคยอยากให้เขามารับผิดชอบตั้งแต่แรก ไม่อยากให้เขามองว่าเธอจ้องจับจึงได้ก้มหน้าก้มตาเลี้ยงลูกเพียงคนเดียว
แต่ในวันนี้มันไม่ไหว เธอไม่สามารถทำแต่งานออนไลน์ที่ให้ค่าตอบแทนน้อยได้ ทว่ารายจ่ายเพิ่มมากขึ้นทุกวันในเมื่อยังต้องจ่ายค่าเช่าห้อง ค่าน้ำ ค่าไฟ ไหนจะค่ากิจกรรมของทางโรงเรียนลูกที่เสริมขึ้นมา ถึงจะเรียนโรงเรียนรัฐบาล แต่ก็มีส่วนต่างในเรื่องอื่น ซึ่งลำพังรายได้เดือนละหมื่นกว่าบาทมันไม่เพียงพอต่อชีวิตสองแม่ลูก
มาวันนี้เธอได้งานจากผับแห่งหนึ่งที่ลองไปสมัครดู ด้วยความที่เธอเคยมีประสบการณ์มาก่อนและรูปร่างยังได้อยู่ ทำให้เขาตอบรับเธอโดยง่าย เหลือแค่รอนัดวันเริ่มงาน
เรียกได้ว่าช่วงตั้งท้องเธอออกแค่ท้องจริงๆ น้ำหนักลงลูกทั้งหมด พอคลอดแล้วหุ่นจึงกลับมาเป็นปกติใช้เวลาไม่นาน หน้าตาเธอก็ถือว่าผ่าน อายุเธอเพียงยี่สิบสามปีเท่านั้น
จึงอยากขอให้พ่อของลูกช่วยดูแลแกในยามที่เธอไปทำงาน ให้อยู่เป็นเพื่อนน้องมายด์ ให้ลูกได้มีช่วงเวลากับพ่อตัวเองบ้างอย่างที่เด็กน้อยหวัง
ด้วยความเลี้ยงลูกคนเดียวมันยากมากที่เธอจะหางานทำ และต้องเป็นงานที่เข้าทำตอนแปดโมงเช้าแล้วเลิกก่อนสี่โมงเย็นทุกวัน เพราะฉะนั้นงานในผับยังเป็นที่ต้องการสำหรับเธอเสมอ
เธอขอแค่ตั้งตัวได้ เพราะรายได้จากผับคืนหนึ่งคงไม่ต่ำกว่าวันละหนึ่งพันบาท หากเธอกลับมามีเงินก้อนอีกครั้งก็จะไม่รบกวนเขาแล้ว
เธอมีความฝันอยากเปิดเป็นร้านอาหารเล็กๆ ด้วยความที่ทำเป็น กะเอาไว้ว่าหากมีลูกค้าประจำ หรือได้ทำส่งตามสถานที่ต่างๆ เธอจะมีเวลาทั้งทำงานและไปส่งลูกที่โรงเรียน มีเวลาไปรับแกกลับบ้านในทุกวัน
ด้วยความที่เป็นห้องเช่าราคาถูกจึงทำให้เสียงพูดคุยเล็ดลอดออกมาโดยง่าย ถ้อยคำจากสองแม่ลูกที่เปล่งออกมาจากในห้องพัก ทำให้คนที่ตามมาดูเงียบๆ อย่างอคิราห์เริ่มหวั่นใจ ได้ยินดังนั้นค่อยๆ พิงแผ่นหลังไปกับผนังห้องถอนหายใจออกมาแรงๆ
เขาได้ยินทุกอย่าง แม้กระทั่งเด็กน้อยคนนั้นเรียกเขาว่าพ่อ พยายามคิดว่าไม่ใช่ แต่ในเมื่อคนทั้งสองกลับมาถึงที่ห้องแล้วยังต้องมีอะไรให้เด็กตัวเล็กๆ แค่นั้นเรียกเขาว่าพ่อได้อีกถ้าคนเป็นแม่ไม่ทำให้แกปักใจเชื่อจริงๆ
แล้วยิ่งตอนที่เขาได้มองสบตาครั้งแรก ใจของเขาสั่นไหวไปแล้ว แต่เขาก็พยายามบอกตัวเองว่ามันไม่ใช่ในเมื่อเขาไม่ได้เตรียมตัวเรื่องนี้มาก่อน
แต่พอเห็นหยาดน้ำตาเต็มป้อของเด็กน้อยคนนั้นราวกับผิดหวังสุดๆ ทำให้เขาไม่อาจพาตัวเองขึ้นห้องไปพักผ่อนอย่างสบายใจแล้วเลือกขับรถตามมาอย่างเงียบๆ แทน
เมื่อบอกใจตัวเองได้แล้วว่าจะเอาอย่างไรกับเรื่องนี้ดีทำให้เขาเลือกที่จะเคาะประตู ไม่นานคนด้านในก็เปิดออกมา
"คุณ!" เมยาวีตกใจไม่คิดว่าเขาจะตามเธอมาถึงที่นี่
"ถ้าเธอบอกว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของฉันจริงๆ พรุ่งนี้เราไปเจอกันที่โรงพยาบาลHตอนแปดโมงเช้าแล้วไปตรวจดีเอ็นเอกัน" บอกเสร็จจึงเดินจากมา หางตาเขาดันไปสบกับเด็กน้อยที่มองมานิ่งๆ แวบหนึ่ง
ถ้าเด็กคนนี้เป็นลูกของเขาจริงๆ เขาคงไม่ใช่แค่มองผิวเผินอย่างเช่นวันนี้ เพราะเขาคงไม่ใจดำปล่อยให้ลูกมาตกระกำลำบากแล้วตัวเองมัวสุขสบาย เขาไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำขนาดนั้น เขาแค่ต้องการความแน่ชัดบางอย่างก็เท่านั้นเอง