EP 8 คนขี้อิจฉา

1356 Words
ดีกันแล้ว? ง่ายไปป่าววะ อย่าบอกนะว่าซายน์หายโกรธเจ้านั่นเพราะหันมาเคืองผมแทนอะ - -^ ผมลอบมองเข้าไปในห้องนิ่งๆ เพื่อหาจังหวะดีๆ เดินเข้าไป จนถึงตอนนี้ซายน์ก็ยังเงยหน้าให้ผู้ชายที่เธอคบหามาตั้งแต่ ม.ปลายช่วยเช็ดรอยปากกาออกให้อย่างไม่อิดออด ขณะที่เนธัชเหยียดยิ้มเล็กๆ เช็ดไปเช็ดมาได้แค่ไม่นาน... หมอนั่นก็เลื่อนหน้าลงไปใกล้ดวงหน้าหวานละมุนที่หลับตาพริ้มอยู่ช้าๆ ผมขยับกลับมายืนพิงกำแพง ก้มหน้าลงต่ำด้วยความรู้สึกร้อนวาบในอกข้างซ้าย ทั้งที่คิดว่าตัดใจได้แล้ว... แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแย่กับภาพเมื่อครู่ที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าไอ้เด็กนั่นมันคิดจะทำอะไร! หรือบางที... ที่ผ่านมา ที่คิดว่าลืมเธอได้เด็ดขาด ผมอาจจะหลอกตัวเองอยู่ตลอดเวลาก็ได้ล่ะมั้ง หรือบางครั้ง... ผมอาจจะเป็นแค่คนขี้อิจฉา เพราะวันนี้ผมมีงานเดินแบบตอนกลางคืนอย่างที่บอก แต่พอได้เวลาต้องออกเดินทาง เฮียกลับโทรมาบอกให้ผมปิดร้านเพราะตอนขากลับจากธุระ เฮียนั่งหลับบนรถตู้โดยสารแล้วลงสุดสายไปโผล่ที่ไหนไม่รู้ แถมดูเหมือนจะขึ้นผิดคันอีกต่างหาก ยังหาทางกลับกรุงเทพฯ ไม่ได้เลย เฮียผมก็เป็นงี้ตลอดแหละ จอมหลงทาง! ตั้งแต่รถของพ่อที่รอดมาจากไฟไหม้พังไปแบบกู่ไม่กลับเมื่อปีก่อน เฮียก็ไม่ยอมซื้อรถใหม่อีกเลย ผมจะซื้อให้ก็ไม่เอา บ่นแต่ว่าเสียดายเงินแล้วตัวเองขึ้นรถโดยสารไม่เก่งแบบเนี้ย! ทำให้น้องนุ่งเป็นห่วงตลอด -_-* กว่าจะมาถึงพัทยาก็ช่วงค่ำ (ผมไม่มีเวลาแวบไปหาปิ่นโตจริงๆ ด้วยละ เฮ้อ...) งานคราวนี้จัดที่เซ็นทรัลเฟสติวัลพัทยาบีช ตั้งแต่ห้างนี้เปิดตัวผมก็เพิ่งได้มาครั้งแรกนี่แหละ โดยรวมสร้างสวยดีนะ อลังการกว่าเซ็นทรัลเวิลด์อีก แต่ผมว่าที่เจ๋งสุดๆ ก็ตรงเดินออกจากห้างแล้วเจอทะเลเลยนี่แหละ บรรยากาศแบบนี้น่าพาเด็กซักคนมาเที่ยวมากกว่ามาทำงานซะอีกนะเนี่ย -..- ไม่อยากยอมรับเท่าไหร่... แต่เหงาจับใจเลยแฮะวันนี้... พอเตรียมตัวเสร็จได้ไม่นานเท่าไหร่ก็ได้เวลาทำงานอีกแล้ว เห็นว่าวันนี้เป็นงานเปิดตัวเครื่องสำอางคอลเลคชั่นใหม่ของแบรนด์ซาร์โดนิกซ์ ผมเลยโดนจับแต่งหน้าโทนสีน้ำตาลทองตามคอนเซ็ปท์ ‘Twinkle make up’ ซะจนหน้าผมงี้มีแต่ประกายวิ้งๆ แทบจำเค้าเดิมของตัวเองไม่ได้ =_= พอเดินออกไปบนแคทวอล์คตามที่ได้ซ้อมมา ผมก็ชะงักนิดๆ ก็ที่เห็นไกลๆ นั่นมัน... เฮียเติ้ลกับไอ้กังฟู! เพราะงานนี้จัดกลางห้างแบบเปิดให้เข้าชมฟรีและมีดารารับเชิญรวมทั้งเซแลบชื่อดังของเมืองไทยมาเดินเป็นตัวหลักหลายคนเลยมีผู้ชมล้นหลามเป็นเรื่องปกติ แบบที่ไม่น่าเชื่อว่าผมจะสังเกตเห็นเฮียกับกังฟูยืนอยู่ในกลุ่มคนด้วย แต่ก็เห็นไปแล้วน่ะนะ... และดูเหมือนสองคนนั้นจะมาด้วยกันด้วยสิ! ทำไม...? ผมหมุนตัวกลับไปรอนางแบบที่เดินคู่กันโดยให้เธอโชว์ก่อนหนึ่งรอบตามคิวทั้งที่ในสมองมีแต่ข้อกังขาไม่หาย กังฟูเป็นเพื่อนผมก็จริง แต่มันเป็นเพื่อนเที่ยวไม่ใช่เพื่อนที่โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย เพราะฉะนั้นเฮียย่อมไม่เคยรู้จักมันผ่านผมมาก่อน! แล้วมาด้วยกันได้ไง? ไหนเฮียว่านั่งรถตู้สุดสายไปลงที่ไหนไม่รู้ มันจะบังเอิญไปหน่อยไหมถ้า ‘ที่ไหนไม่รู้’ ของเฮียคือพัทยา! แล้วบังเอิญมาเจอกังฟูได้อีกน่ะ!! ยังไม่ทันได้ละสายตาจากสองคนนั้นที่ยืนมองผมอยู่เช่นกัน นางแบบร่างโปร่งบางจนดูเหมือนจะหักกลางได้ง่ายๆ ก็หมุนตัวเดินกลับมาโอบวงแขนรอบคอผมแบบที่ไม่มีในสคริปต์ ทำให้ผมละสายตาจากด้านล่างเวทีด้วยความมึนงง ก่อนถูกดึงให้โน้มหน้าลงไปจนริมฝีปากเกือบแตะโดนนางแบบ ห่างเพียงลมหายใจคั่น ผมอึ้งนิดๆ ขณะที่กลุ่มเด็กสาวหน้าเวทีกรี๊ดกร๊าดถ่ายรูปกันใหญ่ พอตั้งสติได้และเป็นฝ่ายดันตัวเธอออกอย่างมีเสต็ปพอดีเหมือนเป็นการแสดง ก็สบสายตากับดวงตาหวานซึ้งสีเบจ นี่มันผู้หญิงในผับคืนนั้นที่ชื่อ... ฮันนี่? อ๋อ! จำได้แล้ว ยัยนี่คือนางแบบหน้าใหม่ที่เจอกันเมื่อเดือนก่อนนี่เอง เคยเฟลิร์ตกันคืนเดียวแล้วจบอย่างที่คิดจริงๆ นั่นแหละ แต่เพราะตอนที่เจอเธอครั้งแรกก็ในเวลางานที่เธอแต่งหน้าโฉบเฉี่ยวเปรี้ยวจี๊ด เจออีกทีในผับเธอกลับแต่งหน้าใสๆ จนดูแปลกตาไป และวันนี้เธอก็ถูกจับไปแต่งหน้าอีกแบบ คือเน้นโทนสีน้ำตาลทองและระยิบระยับไม่ต่างจากผมเท่าไหร่ ผมเพิ่งรู้สึกนะเนี่ยว่าการแต่งหน้ามันทำให้ผู้หญิงดูเปลี่ยนเป็นคนละคนได้ง่ายๆ... ฮันนี่ยิ้มหวานหยด และผมก็เหยียดยิ้มตอบพร้อมกับควงเธอให้เดินมาด้วยกันบนแคทวอล์ค ทั้งที่ในใจนึกขุ่นเธอไม่หาย ทำแบบนี้ในเวลางานได้ไงวะ? แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือทำให้ผมคลาดสายตาจากกังฟูกับเฮียจนได้สิน่า -_-! สองคนนั้นก็ไวอะไรแบบนั้นไม่รู้ หายไปไหนแล้วล่ะเนี่ย... “น้องต๊ะๆ เดี๋ยวก่อนค้า!” ผมหันกลับไปตามเสียงเรียก หลังจากที่เพิ่งหลบฮันนี่พ้นและกำลังเดินออกมาแถวลานกลางแจ้งบนห้างหลังงานเลิกพร้อมกับกดหาเบอร์เฮียในรายชื่อที่เมมฯ ไว้ในโทรศัพท์ ก็เห็นเจ๊บาร์บี้ สไตลิสต์ชาวสีม่วงที่ค่อนข้างสนิทกันเพราะเจ๊แกนี่แหละที่เป็นคนชวนผมเข้าวงการ วิ่งตามกระหืดกระหอบมาทางด้านหลัง “มีอะไรครับเจ๊” ผมถามพลางเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง “มีคนอยากคุยกับน้องต๊ะน่ะค่ะ” เจ๊บาร์บี้บอกเสียงกระหืดกระหอบ ก่อนชี้ไปยังผู้ชายวัยกลางคนในชุดเสื้อผ้าแบบเซอร์ได้ใจและเด่นได้อีก =_= แกกำลังยืนล้วงกระเป๋าด้วยท่าที่คิดว่าเท่สุดชีวิตอยู่หน้าห้าง พอเห็นว่าผมมองไป ผู้ชายคนนั้นก็เดินอาดๆ มาหยุดตรงหน้า ก่อนยื่นมือมาหาผมด้วยท่าฮิปฮอปยุคกลาง (คือพยายามจะฮิปแต่ก็ดูโบราณขัดตาอยู่ดี) “What’s up man!” ผมกะพริบตาสองทีก่อนยื่นมือจับตอบไปตามมารยาทและก้มศีรษะให้นิดหนึ่งด้วยความที่คนตรงหน้าอายุมากกว่าผม(อาจจะ)หลายรอบ แต่ก็อดหันไปกระซิบถามเจ๊บาร์บี้ไม่ได้ “คนต่างชาติเหรอเจ๊ ผมพูดภาษาไทยได้ภาษาเดียวนะ เพราะผมรักชาติ” มันคือข้ออ้างที่ผมเคยใช้กับอาจารย์วิชาภาษาอังกฤษตอน ม. 4 แล้วโดนตบหัวเกือบหลุด เจ๊บาร์บี้หัวเราะคิกคัก “น้องต๊ะไม่รู้จักคุณเมฆ ผู้กำกับร้อยล้านของวงการภาพยนตร์ไทยเหรอคะ?” เพราะคุณผู้กำกับชื่อดังที่มีชื่อด้านความแปลกมากกว่าความสามารถ =_= กำลังบ้าบีบอยขนาดหนักถึงขั้นพูดไทยไม่เป็นกันเลยทีเดียว พวกเราเลยใช้เวลาคุยกันอยู่สามชั่วโมงโดยมีเจ๊บาร์บี้เป็นล่าม แต่ได้สาระสำคัญมาแค่แกอยากให้ผมไปเคสบทหนังเรื่องใหม่ของแกเท่านั้น ซึ่งพอผมตอบรับปุ๊บ แกก็ขอตัวกลับปั๊บ โดยที่ผมยังไม่รู้เลยว่าจะให้ไปเคสบทอะไร แต่ช่างเหอะ... เรื่องสำคัญตอนนี้คือต้องหาเฮียกับกังฟูให้เจอต่างหาก!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD