คนที่ได้ถูกมอบหมายให้กลายเป็นลิงปีนเก็บมะพร้าว ตอนนี้กำลังนั่งพิงก้านมะพร้าวด้วยความเหนื่อย ให้ตายปีนต้นมะพร้าวนี่มันเหนื่อยกว่าปีนหน้าผาจำลองนั่นเยอะเลย กว่าจะขึ้นมาได้แทบหมดแรง
เธอเลือกปีนต้นนี้แม้มันจะสูงเกินสามเมตรก็เถอะ แต่เพราะมันลูกดกกว่าต้นอื่นอย่างน้อยก็ประหยัดแรงกว่าไปเสียเวลาปีนหลายต้น เดี๋ยวจะเอาลงทั้งลูกทั้งก้านเลยเหอะเหนื่อยเหลือเกิน
"ง่า แม่จ๋าลมแรงจัง"
ลมทะเลพัดมาพาเอายอดต้นเอนไปมาดูหวาดเสียวไม่น้อย
"หล่นลงไปจะรอดมั้ยนี่เรา พุธโธธัมโม แม่พระพายเจ้าขาอย่าได้ทรงพิโรธตอนนี้เลย ขอหนูม่อนลงจากต้นมะพร้าวก่อนเหอะจะพัดแรงแค่ไหนก็ไม่ว่าจ๊ะแม่จ๋า"
ปากก็พึมพำท่องคาถาปลอบใจ มือก็จัดการฟันทะลายมะพร้าวไปด้วย ไม่เสียแรงที่ปีนขึ้นมา แค่ต้นนี้ต้นเดียวก็ได้เกินยี่สิบลูกแล้ว เมื่อตัดทะลายมะพร้าวที่กะว่าน่าจะไม่อ่อนเกินไป
มณนิชาก็จัดการตัดก้านมะพร้าวลงมาอีกห้าหกก้าน ก่อนจะปีนลงมานั่งพัก มองกลับไปยังจุดที่จะทำที่พักก็เห็นพี่ ๆ กำลังเริ่มขนใบไม้ท่อนไม้ออกมาจากป่า
"เดี๋ยวปีนอีกสักต้นละกัน ยังพอมีแรง สู้เว้ย"
"สงสัยเราต้องทำที่พักแยกเป็นสองหลังนะ เพราะความยาวของไม้ไม่พอน่ะ"
"กัณก็ว่างั้นล่ะพี่ณัฐ งั้นพี่เสี้ยมโคนให้แหลมไว้นะ เดี๋ยวกัณกับไนซ์จะไปหาอะไรมาตอกลงดินให้"
"ป่ะไนซ์ จะเอาอะไรดี เศษไม้หรือหินดี"
"หินมันก็หนักดีนะ น่าจะทุ่นแรงตอกได้เยอะ"
"โอเคงั้นไปช่วยยกหินกัน"
เสียงตอกไม้เสียงเฮโลของสาว ๆ ที่กำลังสร้างที่พัก ดังก้องไปตามแนวหาด เมื่อทุกคนต่างร่วมด้วยช่วยกันทำหน้าที่ของตนเอง ไม่นานฐานที่พักหลังแรกเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง รอแค่ใช้ไม้ไผ่ปูก็จะนั่งนอนกันได้แล้ว
ครืด ๆ ๆ
"มะพร้าวจ้า มะพร้าวชาวเกาะน้ำหวานเจี๊ยบชื่นใจมาแล้วจ้า"
เด็กเก็บมะพร้าวแหกปากลากทะลายมะพร้าวมายังที่พัก ให้พี่ ๆ ต้องหันไปมองยิ้ม ๆ
"เยอะมั้ยม่อนเดี๋ยวพี่ไปช่วย"
กรนันท์เอ่ยถามน้องเล็กของทีม
"เหลืออีกสี่ทะลายค่ะ ม่อนกะเอาลงมาเผื่อได้ทำอย่างอื่นด้วยมะพร้าวแห้งก็มีหลายลูกนะพี่"
"ดี ๆ เย็นนี้เดี๋ยวทำเห็ดโคนผัดกะทิกินกัน"
"เดี๋ยวม่อนจะทำเมนูต้มเปรี้ยวอีกอย่างนะพี่ กินแต่ของแห้งมันไม่คล่องคอ"
"จัดไปจ๊ะน้อง ต่างประเทศเขากินอย่างราชา เดี๋ยวพวกเราจะกินอย่างราชินีบ้าง" ฮ่า ๆ
นรากรเอ่ยเปรียบเทียบถึงรายการเอาตัวรอดของต่างประเทศรายการหนึ่งให้ทุกคนได้ขำกันไปด้วย
หลายคนหลายแรงแข็งขันไม่นานเกินรอ พื้นที่พักหลังแรกก็ถูกปูเรียบร้อย เหลือแค่เอาตับใบไม้ที่สาว ๆ ช่วยกันทำขึ้นมุงเป็นหลังคาแค่นั้น มณนิชาเฉาะลูกมะพร้าวพร้อมหลอดที่ใช้ต้นหญ้าปล้องแทนหลอดพลาสติกแจกให้กับทุกคน
"หืม ไอเดียเจ๋งนะเรา คิดได้ไงใช้ต้นหญ้าปล้องแทนหลอด"
กิ่งกานต์เอ่ยชมน้องเล็ก
"ของจากธรรมชาติดัดแปลงทำอะไรได้เยอะแยะนะพี่หมอ ที่สำคัญใช้หลอดดูดน้ำจะได้ไม่หกเสียของไง ฮ่า ๆ"
"อ๊า หวานอมเปรี้ยวอร่อยดีจัง"
เนย่ามองคนที่ทำสีหน้ายังกับได้กินน้ำอัดลมยี่ห้อดังก็ให้นึกขำ สภาพแต่ละคนไม่ได้แตกต่างกันเลยหน้าแดงเถือกเหงื่อโทรมกันถ้วนหน้า
"เป็นไงคุณ ความรู้สึกเหมือนมาเข้าค่ายมั้ย"
กัณภัคถามคนที่นั่งข้าง ๆ เรวิกาหันมองพลางยิ้มส่ายหน้า
"เข้าค่ายไม่เหนื่อยและไม่สนุกแบบนี้หรอกค่ะ ค่ายที่ฉันเคยไปส่วนมากก็จะเป็นสอนหนังสือน้อง ๆ มากกว่า งานใช้แรงก็มีแค่ทาสีโรงเรียนแค่นั้นเอง"
"เหรอคะ แต่ค่ายอาสาที่ฉันเคยไป ยังกับไปสร้างโรงเรียนใหม่แหนะ มีสร้างเล้าเป็ดเล้าไก่ด้วยนะ บางปีขึ้นดอยไปรื้อโรงเรียนที่เขาใช้หญ้ามุงหลังคา พอปีนึงสองปีก็ต้องเปลี่ยนใหม่อะไรประมาณนี้น่ะ"
"มิน่าล่ะดูคุณทำงานพวกนี้คล่องจัง"
"บางอย่างมันต้องหัดทำเองด้วยล่ะ เพราะฉันอยู่บ้านคนเดียว ไฟเสีย ท่อน้ำแตก ท่อน้ำตัน ฉันก็หัดซ่อมเองน่ะก็เลยพอทำเป็นบ้าง จะมัวแต่เรียกช่างไปซะทุกเรื่องก็ไม่ไหวหรอก บางอย่างซ่อมนิดหน่อยแต่เราต้องจ่ายเงินให้เขาหลายร้อยเสียดายตังค์น่ะ"
เรวิกาฟังเรื่องราวอีกคนก็รู้สึกนึกชื่นชมอยู่ในใจ ผู้หญิงที่อยู่เพียงลำพังที่ต้องพึ่งพาความสามารถตัวเองเป็นหลักนับว่าเก่ง อย่างเธอถือว่าโชคดีถึงครอบครัวจะไม่ได้รวยเป็นมหาเศรษฐีแต่ก็เรียกว่ามีฐานะพออยู่พอกินบิดาเป็นข้าราชการทหาร พี่ชายเปิดบริษัทของตัวเอง
ฝั่งมารดานั้นมีอสังหาที่เป็นที่ดินและอาคารพาณิชย์ให้เช่า ลำพังรายได้จากทรัพย์สินที่มีก็สามารถอยู่ได้สบายหากไม่ฟุ่มเฟือย ส่วนตัวเธอก็มีรายได้มีเงินเก็บในส่วนของตัวเองเรียกว่าอยู่ได้ไม่ลำบากนั่นแหละ
"เจ๊ ทำไมมือแดงแบบนี้ล่ะ ไมไม่เอาเศษผ้าพันเดี๋ยวก็เป็นแผลพรุนหมดหรอก"
มณนิชาที่สังเกตุเห็นมืออีกคนก็เอื้อมไปดึงมาดูใกล้ ๆ พลิกไปมาไม่เห็นแผลก็ค่อยโล่งใจ ชาลิศายกยิ้มบาง ๆ ในความห่วงใยที่เจ้าเด็กนี่แสดงออก มันก็ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่มณนิชาจะคอยถามไถ่ใส่ใจเธอ หลาย ๆ เรื่องตั้งแต่ขึ้นเกาะมาแล้ว เธอถึงบอกถ้าตัดเรื่องกวนประสาทออกไปได้เจ้าเด็กหน้าใสนี่ก็จะน่ารักมากจริง ๆ
"ฉันแค่ดึงเชือกมัดตับใบไม้แค่นั้นแหละ มันก็เลยแดงไม่ได้เจ็บอะไรหรอก"
"เชือกมันก็บาดเป็นแผลได้เหมือนกันนั่นแหละ ดูคนอื่นเขายังพันกันหมดเลยเจ๊นี่ยังไงไม่ดูแลตัวเองเลยอ่ะ รอแป๊บเดี๋ยวฉันไปหาผ้ามาพันให้ งานเราเหลืออีกเยอะกว่าจะเสร็จมือพองพอดี"
บ่นเสร็จก็ลุกเดินไปรื้อของในเป้ตัวเองให้นางร้ายคนสวยได้แต่อมยิ้มตามหลัง ไม่นานมณนิชากลับมาพร้อมเสื้อยืดตัวใหญ่
"เดี๋ยว เสื้อมันยังใช้ได้อยู่นี่เธอจะเอามาฉีกทำไมเดี๋ยวก็ไม่พอใส่หรอก"
"ไม่เป็นไรน่านี่มันเสื้อเก่าฉันไม่ค่อยใส่แล้ว เลยเอามาเผื่อทำผ้าขี้ริ้ว ชุดใส่ฉันเอามาพอน่ะถึงจะไม่เยอะเหมือนพี่เนย่าก็เหอะ"
"นินทาอะไรพี่เจ้าม่อน"
เนย่าได้ยินแว่ว ๆ เลยแกล้งเขวี้ยงใบไม้ใส่
"ฮ่า ๆ ไม่ได้นินทาจ้า แค่พูดถึงเฉย ๆ"
แควก ๆ เสียงฉีกเสื้อเป็นผืนเล็กขนาดเท่าฝ่ามือ ถูกแบ่งออกเป็นสี่ชิ้นก่อนที่มณนิชาจะเอามาพันรอบมือให้คนที่นั่งยอมให้คนน้องดูแลโดยดี จริง ๆ เด็กมันก็นิสัยดีแหละแต่ไม่อยากจะชม
"ฉันน่ะต้องดูแลเจ๊ดี ๆ ไม่งั้นรายการออกอากาศไปแฟนคลับเจ๊ด่าฉันเละเลย แล้วอีกเรื่องแม่ฉันน่ะเขาเป็นแฟนคลับเจ๊ด้วย เขาฝากฝังฉันมาให้ดูแลเจ๊แบบยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ต้องถนอมอย่างดีเลยรู้มั้ย"
"จริงเหรอ คุณแม่เธอชอบดูละครที่ฉันแสดงด้วยเหรอม่อน"
ชาลิศาถามด้วยความตื่นเต้น
"ก็ใช่น่ะสิ ดูแล้วก็ทั้งด่าทั้งชม"
"เดี๋ยว ทั้งด่าทั้งชมนี่มันคือยังไง"
"ก็ด่าตัวละครที่เจ๊แสดงไง คนอะไรจะร้ายได้น่าตบขนาดนั้นล่ะ ส่วนที่ชมน่ะแม่บอกคุณตีบทแตก เขาบอกนักแสดงน่ะถ้าแสดงเก่งเล่นบทไหนก็ต้องสมบทบาท ถ้าร้ายก็ต้องทำให้คนเกลียดได้จริง ๆ ถ้านางเอกก็ต้องรับบทให้น่าสงสารจริง ๆ เหมือนกัน"
ฮ่า ๆ
เจ้าเด็กพูดไปแล้วก็ขำ
"เรื่องวิจารณ์นี่แม่ฉันเก่ง เพราะอดีตแม่เคยเป็นนางเอกหมอลำมาก่อนนะจะบอกให้ ฝีมือการแสดงนี่ไม่อยากจะพูด ได้ทิปคืนหลายพันนะไม่ได้โม้"
"เหรอ คุณแม่ทำไมน่ารักจัง คุณแม่เธอชอบกินอะไรเป็นพิเศษมั้ย เดี๋ยวกลับไปฉันจะฝากไปขอบคุณที่สั่งเสียให้เธอดูแลฉันน่ะ"
"ชอบกินอะไรเหรอ อืม ที่เห็นแม่กินได้เยอะ ๆ และก็ชอบกิน น่าจะหมกฮวก กับแกงผักหวานใส่ไข่มดแดงนะ แม่เคยบอกถ้าแกตายไปอย่าลืมเอากับข้าวสองอย่างนี้ไปใส่บาตรบ่อย ๆ เพราะแกชอบอ่ะ"
พรืด ฮ่า ๆ ๆ
เสียงหัวเราะขำขันกันทั้งคนฟังคนเล่า
"นี่ คุณแม่ชอบอาหารสองอย่างนี้แค่นั้นเหรอ แล้วฉันจะไปหาซื้อที่ไหนได้ล่ะไอ้หมกฮวกอะไรเนี่ย มันคือลูกอ๊อดใช่มั้ย ไข่มดแดงกับผักหวานน่ะฉันเคยกิน ก็อร่อยดีนะ"
"โอ๊ย แถวตลาดบ้านฉันเยอะแยะเจ๊ เดี๋ยวนี้ลูกอ๊อดเขาเลี้ยงขายทั้งปีทั้งชาติ ไข่มดแดงผักหวานมีให้กินตลอดแหละขอให้มีเงินซื้อเถอะ แต่ถ้าหน้าฝนก็ไม่ต้องซื้อไปหาจับเอาเองตามทุ่งน่ะ"
เสียงเล่าคุยเจื้อยแจ้ว พร้อมเสียงเอ่ยทักเอ่ยแซวขำ ๆ ฮา ๆ ต่างทำงานไปด้วย พาให้บรรยากาศบนเกาะร้างครึกครื้นไม่น้อย
อัญญาวีที่หายเข้าป่าไปนานกลับออกมาอีกที ที่พักชั่วคราวก็เสร็จไปหนึ่งหลังแล้ว
"ไงพวกเรา เก่งนะเนี่ยตะวันยังไม่ลับเหลี่ยมเขาได้กระท่อมหลังน้อยแล้วน่ะ นี่พี่ได้หัวมันมาด้วย"
คนพูดควักหัวมันแกวสีขาวออกมาโชว์ แถมด้วยมันสำปะหลังอีกต่างหาก
"ว๊าว มีของแบบนี้บนเกาะด้วยเหรอนี่พี่อัญไปเจอที่ไหนคะ"
ชาลิศาเดินเข้ามาจับดูอย่างตื่นเต้น
"ป่าฝั่งนี้ค่ะพี่เดินเลาะ ๆ ไปตามสันเขาน่ะ ด้านนี้ต้นไม้ขนาดใหญ่จะบางตากว่าฝั่งที่เรามาเมื่อเช้า เดินง่ายไม่ค่อยรกเท่าไหร นี่เจอขิงกับข่าป่าด้วย นี่ใบหอมแขก ได้เห็ดมานิดหน่อย เย็นนี้ก็กินเมนูเห็ดไปแล้วกันนะ"
"มันสำปะหลังนี่มีเยอะเหรอพี่ แหล่งคาร์โบไฮเดรตของเราเลยนะเนี่ย เผาก็อร่อย เอ้อ เชื่อม เชื่อมใส่น้ำผึ้งไงเจ้ากัณแยกไว้เยอะอยู่นะเมื่อกลางวันน่ะมันเชื่อมราดด้วยน้ำกะทิสด เมนูของหวานเรา"
ณัฐพัชบอกชื่อเมนูของหวานเรียกน้ำย่อยแต่ละคนไม่น้อย จนต้องกลืนน้ำลายเลยทีเดียว
"อืมเข้าท่าดี ยังมีเหลืออยู่ในป่ามันขึ้นกระจัดกระจายกันน่ะ พี่ขุดมาแค่ที่พอกินก่อนเท่านั้น"
"แล้วนั่นสองคนเขาจะทำอะไรกัน ตะกร้าเหรอ"
อัญญาวีพยักเพยิดไปที่กัณภัคกับมณนิชา ที่นั่งเอาไม้ไผ่สานเป็นอะไรสักอย่าง
"อ้อ น้องเขาจะทำที่ดักสัตว์น้ำน่ะ เผื่อพรุ่งนี้เราโชคดีมีอะไรติดกับดักบ้าง"
"เหรอ แล้วจะใช้อะไรเป็นเหยื่อ หรือไส้เดือน"
"เห็นกัณเขาจะใช้ทั้งไส้เดือนแล้วก็พวกหอยกับปูตัวเล็กค่ะ โน่นไง สามสาวนั่นไปตระเวนหาอยู่"
ชาลิศาบอกพร้อมชี้มือไปที่นรากร เนย่า เรวิกาที่กำลังก้มหาจับปูกันอยู่ริมหาด อัญญาวีพยักหน้ายิ้มให้กับความคิดสร้างสรรค์ของน้อง ๆ ที่จะเป็นตัวช่วยให้ทุกคนผ่านช่วงเวลาเจ็ดวันนี้ไปได้ไม่ลำบากนัก
"เจอมั้ยคุณ น้ำจืดน่ะ"
กิ่งกานต์ถามถึงสิ่งสำคัญ
"เจอเป็นหนองไม่ใหญ่มากคล้ายที่เราเจอเมื่อเช้านั่นแหละค่ะ เห็นมีรอยสัตว์ลงมากินน้ำน่าจะเป็นพวกหมูป่านะ คงจะมีกระต่ายด้วยฉันเห็นรอยเท้าเล็ก ๆ ย่ำอยู่รอบ ๆ หมอว่าไอ้ตามช่องเขารอบ ๆ นี่มันจะมีถ้ำมั้ย"
"อืม ไม่รู้สิ มันอาจจะมีก็ได้ เพราะส่วนมากบางจุดโดนทั้งลมและน้ำทะเลสาดเซาะเป็นเวลานาน ก็อาจจะกลายเป็นถ้ำได้เหมือนกัน เราคงต้องสำรวจดูน่ะ"
"อืม ฉันกำลังหวังถ้ามีถ้ำเผื่อมันจะมีพวกน้ำฝนที่ค้างด้านบนแล้วไหลซึมลงมาตามช่องหินน่ะ อันนั้นเราคงเอามาดื่มได้บ้าง"
กิ่งกานต์พยักหน้าเข้าใจ
"วันนี้ไม่น่าจะทันแล้วล่ะ พรุ่งนี้เช้าพวกเราค่อยลองไปสำรวจซอกเขาสองฝั่งนี้ดู ถ้าน้ำมันลงมาก ๆ เราอาจจะเดินเลาะดูได้"
"โอเค งั้นก็เอาตามนี้ เรามาเตรียมเมนูอาหารกันเถอะ ต้องรีบทำก่อนตะวันตกดินจะได้ไม่ลำบากเรื่องไฟ อ้อ ฉันไปเจอต้นยางนาด้วยนะหมอ พอดีไม่มีมีดเข้าไปด้วยก็เลยใช้ไม้แทงให้มันเป็นรู ลองเอาหญ้าปล้องเสียบไว้เผื่อมีน้ำยางออกมา เราจะเอามาทำคบเพลิงใช้ตอนกลางคืนได้"
"เยี่ยมมากเลยค่ะ เกาะนี้ทรัพยากรสมบูรณ์จริง ๆ ด้วยนะคุณ"
ทั้งคู่ยิ้มให้กันนึกดีใจที่ติดเกาะครั้งนี้มันไม่ได้ลำบากเกินไปนัก ธรรมชาติยังมีอะไรมากมายให้พึ่งพาได้
"เสร็จแล้วพี่ ลองทาบดูใส่ได้เปล่า"
มณนิชายื่นฝาปิดที่สานด้วยไม้ไผ่เป็นทรงสามเหลี่ยม จะใช้เป็นฝาปิดปากกับดักรูปร่างคล้ายโอ่งขนาดกลาง ที่สานด้วยไม้ไผ่เว้นความห่างประมาณหนึ่งนิ้ว
"อืม พอดีไม่หลวม เดี๋ยวเอาตอกมัดให้แน่นก็เรียบร้อยละ"
ไม่นานกับดักอ้วนก็พร้อมใช้งาน ทั้งสองคนยิ้มมองผลงานสิ่งประดิษฐ์ ปกติเคยดักแต่ปลาในทุ่งนา วันนี้ลองดักสัตว์ทะเลดูจะได้ผลมั้ย
"เดี๋ยวพวกเราจะเข้าไปหาขุดไส้เดือนแป๊บนะคะ เดี๋ยวมาค่ะ"
กัณภัคเดินมาบอกพี่ ๆ ที่กำลังจัดการเลือกเห็ดเตรียมล้าง
"ม่อนเด็ดใบตองใบใหญ่ ๆ หน่อยออกมาด้วยนะ"
"ได้ค่ะเจ๊"
สองสาวพี่น้องคนสนิทถือขวดพลาสติก กับไม้ไผ่ที่ใช้แทนเสียมขุดเดินเข้าไปในแนวป่า
"เดี๋ยวพี่หาขุดแถวนี้แหละ ม่อนไปหาเดินดูใบส้มแปปหรือใบเสี้ยวก็ได้ เอาไปใส่ต้มเห็ดน่ะ"
"โอเคพี่ ม่อนว่าเห็นผ่านตาอยู่นะเมื่อตอนเราออกมาจากป่า"
มณนิชาเดินแยกไปตามหาเจ้าพืชที่ว่า ส้มแปปเป็นภาษาอีสานที่ชาวบ้านใช้เรียกพืชชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายกับเครือตำลึง ใบของพืชชนิดนี้จะมีรสเปรี้ยวคล้ายพวกตระกูลผักติ้ว นิยมนำมาใส่กับพวกแกงหรือต้มเพื่อเพิ่มรสชาติความเปรี้ยวนั่นเอง สามารถเจอได้ทั่วไปในป่า
"นั่นไง ๆ เจอแล้ว"
เดินหาไม่นานก็เจอเข้ากับเครือส้มแปปพันเลื้อยอยู่ตามพุ่มไม้ มณนิชาเลือกเด็ดเอาส่วนใบอ่อนกับยอด ก่อนจะไปเดินเก็บเอาใบตองที่มีขนาดใหญ่ออกไปด้วย
"โห๊ นี่โค-ตะ-ระไส้เดือนเหรอพี่ ไมมันตัวใหญ่ขนาดนี้ล่ะ ปลามันจะกล้ากินมั้ยพี่กัณ"
ฮ่า ๆ
"ตัวใหญ่นี่ล่ะปลามันจะได้มองเห็นไง เจอมั้ยส้มแปปน่ะ"
"อืม นี่ไง ยอดกำลังน่ากินเลย"
"งั้นออกไปเถอะ เราต้องรีบเอากับดักลงน้ำนี่คงจะห้าโมงเย็นแล้วมั้ง"
เมื่อได้ของที่ต้องการครบ ทั้งสองคนก็ออกจากชายป่ากลับมาที่พัก
"อ่ะเจ๊ ใบตอง ฉันฝากล้างยอดผักนี่ด้วยนะเดี๋ยวจะกลับมาทำต้มเปรี้ยวเห็ดให้กิน"
ชาลิศารับยอดผักที่ว่ามาไว้ พลางมองตามเจ้าเด็กตัวสูงที่เดินตามกัณภัคไป
"กัณ นั่นปูกับหอย แล้วทำไงต่อล่ะ"
นรากรชี้บอกกัณภัคให้ดูปูตัวเล็กเกือบสิบตัว ที่ใส่มาในขวดพลาสติก
"เดี๋ยวจะแกะกระดองแล้วใช้เส้นไผ่นี่เสียบห้อยไว้ข้างในกับดักแบบนี้ เดี๋ยวขอแรงลงไปช่วยกันหน่อยนะ ต้องเอาหินใส่ถ่วงกับดักนี่ไว้ใต้น้ำน่ะ"
กัณภัคอธิบายวิธีการใส่เหยื่อล่อ ก่อนจะจัดการใช้ไม้ไผ่ที่เหลาเป็นเส้นเล็กแทงเข้าที่ไส้เดือนตัวใหญ่ จัดการผูกห้อยไว้ด้านในตามด้วยปูที่แกะเอากระดองออก จากนั้นกัณภัคก็ใช้เครือเถาวัลย์ยาวประมาณสามเมตร ผูกเข้ากับตัวกับดักเพื่อที่จะใช้อีกด้านเกี่ยวผูกไว้บนหินเหนือน้ำ ป้องกันการหลุดหายไปของกับดักเวลาโดนคลื่นกระแทก ไม่ถึงสิบนาทีทุกอย่างก็เรียบร้อยพร้อมเอาลงน้ำ
กัณภัคกับมณนิชาช่วยกันอุ้มกับดักลงน้ำ ตามด้วยนรากรที่แบกเอาหินสองก้อนตามลงไปด้วย ทั้งสามคนลงไปยังจุดน้ำลึกประมาณคอและมีพวกโขดหินอยู่รายรอบ
"เดี๋ยวเอาหินใส่ในนี้ก่อน เราต้องดำลงไปวางกับดักนี่ใต้น้ำ"
กัณภัคจัดการยัดหินหนักประมาณสองโล ก่อนที่จะช่วยกันอุ้มกับมณนิชาดำดิ่งลงไปยังใต้น้ำ โดยให้นรากรจับปลายเชือกเถาวัลย์เอาไว้ ใต้น้ำที่ลึกประมาณสองเมตรมีแนวประการังบางชนิดให้เห็น และนั่นมันเป็นความหวังของพวกเธอว่าอาจจะมีพวกปลาว่ายมาติดกับบ้าง