บทที่ 9 ไม่มีทางเกิดขึ้น

1636 Words
หลายวันต่อมา... หลังจากไปพบแพทย์...แก้วตาต้องฉีดฮอร์โมนกระตุ้นไข่โดยมีสามีฉีดให้บริเวณเหนือสะดือไปสองนิ้ว เธอต้องฉีดทุกวันจนกว่าไข่จะตก และต้องฉีดเวลาเดิมทำให้เจตนัยต้องออกเวรทุกวัน โชคดีที่เขาทำงานที่โรงพยาบาลเอกชน การลางานนั้นจึงไม่ยุ่งยาก ชายหนุ่มต้องทำอย่างนี้เป็นระยะเวลาเกือบครึ่งเดือน ส่วนกานต์พิชชาก็ต้องฉีดฮอร์โมนกระตุ้นให้ผนังมดลูกถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับการตั้งครรภ์ เป็นการเพิ่มความหนาของเยื่อบุโพรงมดลูกจนถึงขนาดที่เหมาะสม จากนั้นจะให้ฮอร์โมนอีกชนิดหนึ่งที่ทำให้ร่างกายมีสภาวะคล้ายกับผู้ที่มีการตกไข่ ทั้งสามเพิ่งไปหาหมอมาเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนว่าฮอร์โมนที่กระตุ้นให้ตกไข่จะมีผลข้างเคียงกับแก้วตาเป็นอย่างมาก ซึ่งเธอมีอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ เพราะฮอร์โมนผู้หญิงที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างหนัก ยิ่งความสนิทสนมของกานต์พิชชากับสามีหนุ่มนั้นยิ่งทำให้ไม่พอใจ ตอนนี้เจ้าหล่อนยังให้เจตนัยสอนวิชาเลขให้อีกด้วย แม้นเขาจะแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ได้คิดอะไร แต่กานต์พิชชาคิดแน่ไม่ต้องสงสัย “ไม่ครับ อันนี้เป็นอนุกรม ถ้ามารูปแบบแบบนี้มันต้องใช้สูตรเลย” เขานั่งอยู่ที่พื้นเหมือนกับสอนการบ้านเด็กน้อย โดยที่กานต์พิชชานั่งอยู่ข้าง ๆ ส่วนแก้วตานั่งอยู่บนโซฟาจับตาดูคนทั้งคู่ไม่วางตาเลยทีเดียว “สูตรเหรอคะ ฉันก็ไม่ได้อ่านหนังสือมานาน ตอนไปสอนก็สอนแค่หมวดสังคมศึกษา” “หึ...” เขาหัวเราะเบา ๆ ชายหนุ่มยกมือขึ้นวางที่ศีรษะของเธอ “นี่แหละผลของการไม่ตั้งใจเรียน” “อ้าว...พี่พูดเหมือนตอนนั้นเลย” “หือ จริงด้วย” เขาก็พึ่งนึกได้ตอนนี้แหละ ตอนที่เธอทักว่าเคยพูดประโยคประมาณนี้กับเธอ ทว่า “จะรำลึกความหลังกันอีกนานไหม สอนหนังสือหรือจีบกันก็ไม่รู้” เจตนัยเอี้ยวใบหน้าหันกลับไปมองภรรยาสาว ส่วนกานต์พิชชาก็เลือกที่จะก้มหน้าลง ขนาดแสดงความบริสุทธิ์ใจโดยการติวหนังสือต่อหน้า ไม่ได้ทำในที่ลับตาคน เธอก็ยังคงโวยเขาอยู่เหมือนเดิม “เอ่อ เดี๋ยวฉันเข้าไปอ่านข้างในห้องดีกว่าค่ะ” “เชิญ!” แก้วตาผายมือให้เจ้าหล่อนออกไปตามที่เธอเสนอ แต่เจตนัยกลับไม่เห็นด้วย “ยังสอนไม่เสร็จเลยนะ” “พอแล้วค่ะ ถ้ารู้ตัวว่าโง่นักก็อย่าเป็นครูเลย นี่อะไรอายุไม่ใช่น้อย ๆ แต่ก็ยังสอบไม่ได้” “แก้ว...ทำไมพูดอย่างนี้” “ทำไมจะพูดไม่ได้คะ” กานต์พิชชาเห็นท่าไม่ดี แต่ก็ไม่กล้าขยับเขยื้อนไปไหน ในเมื่ออีกฝ่ายพูดไม่ให้เธอไป “หลายวันมานี้เจตน์คุยกับมันเยอะกว่าแก้วอีก” “ก็เจตน์ต้องติวหนังสือให้กานต์ ก็ต้องคุยกับกานต์สิ” “ฮึก คุยบ่อยมากเลย” อยู่ ๆ ก็ร้องไห้ออกมา ด้วยอารมณ์ที่แปรปรวนอย่างหนักทำให้สาวเจ้าหลั่งน้ำตาออกมาเสียดื้อ ๆ เห็นอย่างนั้นชายหนุ่มก็ขยับเข้าหา รั้งร่างบางมาสวมกอดต่อหน้าต่อตากานต์พิชชา เธอรีบเบือนหน้าหนีทันที “ไม่มีอะไรหรอก เจตน์ไม่ได้คิดอะไรกับกานต์” เขาลูบแผ่นหลังภรรยาสาวอย่างอ่อนโยน นอกจากจะเป็นเพราะฮอร์โมนแล้วเธอก็เป็นแบบนี้บ่อยครั้ง แก้วตากลัวว่าเขาคนนี้จะทิ้งเธอไป ถ้าเป็นอย่างนั้น...หล่อนก็ไม่ต่างจากกระต่ายขาเดียว ไร้ที่พึ่งอย่างแน่นอน “อึก จริงเหรอ แต่กานต์ต้องคิดอะไรกับเจตน์แน่ ๆ” เธอผละอ้อมกอดออก ก่อนจะเอ่ยพูดขึ้นพร้อมกับเลื่อนสายตาไปมองกานต์พิชชาที่ตอนนี้หันหน้ากลับมามองเช่นกัน ...ความนิ่งสงบเกิดขึ้นอีกครั้ง เจตนัยอยากให้ปัญหาเรื่องนี้จบเสียที ตั้งแต่กานต์พิชชาย้ายมาพักที่นี่สองอาทิตย์แล้ว ภรรยาของเขาก็ไม่เคยไว้วางใจเธอได้เลย “คือจริง ๆ แล้วกานต์น่ะ...ก็เคยชอบเจตน์แหละ” อยู่ ๆ คนตัวโตก็พูดขึ้นมา ชายหนุ่มคิดว่าสิ่งนี้จะทำให้ภรรยาของเขาสบายใจ เพราะยังไงเธอก็คือที่หนึ่งสำหรับเขา โดยไม่นึกถึงจิตใจของคนที่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ข้าง ๆ อีกคน “นั่นไง ว่าแล้วเชียว” แก้วตากัดฟันกรอด เห็นอย่างนั้นคนเป็นสามีก็รีบพูดขึ้นอีกครั้ง “แต่มันก็นานแล้วล่ะ กานต์มาสารภาพรักกับเจตน์ แต่เจตน์ก็ปฏิเสธไป เพราะฉะนั้นเรื่องของกานต์กับเจตน์มันจะไม่มีทางเกิดขึ้น” เขาพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ สร้างความมั่นอกมั่นใจให้กับภรรยาสาว แต่กลับทำให้อีกคนหนึ่งเสียใจ เจตนัยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มันก็ควรเป็นอย่างนั้นตั้งแต่ต้นไม่ใช่หรือ เธอคาดหวังอะไรอยู่ “ใช่ไหมกานต์” หันมาคาดคั้นกับเธออีก “อึก ชะใช่ค่ะ มันไม่มีทางเกิดขึ้น” เธอพยายามทำเป็นเข้มแข็ง พยักหน้ารับเบา ๆ เก็บซ่อนความเสียใจไว้ภายใต้กรอบหน้านิ่งเรียบนี้ “เห็นไหม สบายใจขึ้นยัง” เขายกมือขึ้นเช็ดน้ำตาออกจากกรอบหน้าสวยของคนเป็นภรรยา ทำให้กานต์พิชชารีบเดินหนี หญิงสาวเดินกลับเข้าไปในห้องของตน แอบร้องไห้เงียบ ๆ ไม่ให้ใครรู้ ...เสียงร้องไห้ของเธอดังระงมภายในห้องสี่เหลี่ยม กานต์พิชชานั่งกอดเข่าที่พื้นพิงแผ่นหลังใส่บานประตู ก้มหน้าร้องไห้ออกมาอย่างหนักจนแผ่นหลังบางสั่นเทา เจตนัยเป็นรักฝังใจที่ทำให้เธอไม่อาจเปิดใจให้ใครได้ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่เคยลืม “ฮึก...ฮืออ~” พอได้แล้วกานต์! ตะโกนบอกตัวเองในใจ ทั้งโกรธทั้งผิดหวังในตัวเองที่ไปแอบรักคนมีเจ้าของ แอบคาดหวังเล็ก ๆ น้อย อยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของรอยยิ้มของเขา ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาไม่ได้รักเธอเลย “ฮึก...” จากนี้จะตีตัวออกหาก เฝ้าสัญญาในใจว่าจะทำอย่างนั้น หนังสือก็ไม่ต้องเรียนมันแล้ว กานต์พิชชาท่องในใจจนน้ำตาแห้งเหือดเธอจึงลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ทว่ารอบดวงตาที่บวมเบ่งนี้ก็ยืนยันได้ว่าเมื่อครู่ตัวเองร้องไห้หนักมากแค่ไหน แต่แล้ว ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! อยู่ ๆ เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ดวงตาคู่สวยเบิกโพลงด้วยความตกใจ เธอยังไม่พร้อมเจอหน้าใครทั้งนั้น “กานต์...นอนละเหรอ” เป็นเสียงของเขาที่ดังเข้ามา กานต์พิชชาอยากจะกรีดร้องออกมาดัง ๆ เมื่อครู่สัญญากับตัวเอง ท่องไว้ในใจมากแค่ไหน แต่พอได้ยินเสียงของเขาทุกอย่างกลับพังลง ใจอ่อนยวบยาบเสียอย่างนั้น “เอ่อ ยังค่ะ” เธอรีบไปส่องกระจกดูตาที่บวมของตัวเอง ทว่ายังไม่ทันได้ไปเปิดประตู “พี่เข้าไปได้ไหม” แกร็ก~ เขากลับเสียมารยาทเปิดประตูเข้ามาเสียอย่างนั้น “โทษที พอดีพี่แค่กังวลใจ” เขารีบเอ่ยพูดด้วยความเลิ่กลั่ก รู้สึกไม่ดีที่เสียมารยาท แต่ก็เป็นห่วงเธอ อยู่ ๆ เจ้าหล่อนก็เดินหนีมาแบบนี้ แถมยังหายไปนานสองนานก็เลยเป็นห่วง กลัวว่าเธอจะเสียใจกับคำพูดของเขา “ไม่เป็นไรค่ะ” “เธอ...ร้องไห้เหรอ” ถามในสิ่งที่เห็น รอบดวงตาของเธอบวมเบ่งเลยทีเดียว ราวกับว่าเพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก “เอ่อ คือฉันแค่ตกใจกับคำพูดของคุณแก้วตาน่ะค่ะ ที่บอกว่าฉันโง่” เธอก้มหน้างุดลงเวลาพูด เรื่องนั้นไม่ได้ทำให้เจ็บเท่าเรื่องที่เขาพูดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะรักกับเธอหรอก เพียงแต่ไม่อยากให้เขาคิดมาก “อ้อ เรื่องนั้น” เขาพยักหน้ารับเบา ๆ ใจหายหมด คิดว่าเธอจะเสียใจกับคำพูดของเขา แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เขาควรทำ เพราะแก้วตาเป็นภรรยาของเขาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย “ถ้าเป็นเรื่องนั้นพี่ก็ขอโทษแทนแก้วตาด้วยนะ แต่พี่ก็อยากให้เราลองพิจารณาดู คนเราไม่ได้เก่งไปทุกอย่าง ไม่ได้โง่ด้วย แค่ทำในสิ่งที่ไม่ถนัดก็เลยถูกตัดสินแบบนั้น...” “_” กานต์พิชชามองเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาไม่วางตาเลยทีเดียว ก็ดูที่เขาพูดสิ...จะไม่ให้เธอรักอย่างไร “ลองทำอาหารดูไหมล่ะ หมายถึงเปิดร้านอาหาร หรือไปสมัครเป็นเชฟตามโรงแรมงี้ เงินดีนะ...แล้วเราก็ทำอาหารอร่อยมากอีกด้วย” ว่าด้วยรอยยิ้ม ทว่า “แต่ฉันอุตส่าห์เรียนจบครูมา แถมยังทำงานเป็นครูอัตราจ้างมานานแล้วด้วย ถ้าไม่ได้ทำงานตามที่เรียนก็คงน่าขายหน้า” “ไม่หรอก เราอย่าไปยึดติดเลย...ทำในสิ่งที่ชอบ ที่เราถนัด ทุกอย่างจะออกมาดีเอง เชื่อพี่” ว่าด้วยน้ำเสียงหนักแน่น สร้างความเชื่อมั่นให้แก่คนฟัง ชายหนุ่มอยากให้เธอทำสิ่งที่ถนัดเสียมากกว่า “อ้อ งั้นเหรอคะ...โอเคค่ะ” พยักหน้ารับเบา ๆ กานต์พิชชารู้สึกเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูด แต่พออีกฝ่ายพูดอย่างนี้แล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองจะมูฟออนไม่ได้ แต่ก็ต้องฝืนทำ ไม่เช่นนั้นตัวเธอเองจะหลุดเข้าไปในบ่วงที่ไม่อาจจะแก้ไขได้อีกต่อไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD