บทที่ 8 ตัดใจสักที

1467 Words
ด้วยความที่ไปอยู่ต่างจังหวัดเพียงคนเดียวทำให้กานต์พิชชามีโอกาสได้ทำอาหารเอง การเดินทางที่ต่างจังหวัดนั้นไม่ง่าย ซื้อกับข้าวกินเองก็เป็นเรื่องที่ยากพอสมควร การทำอาหารกินเองจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด ทั้งยังต้องประหยัดงบเพราะเงินเดือนครูอัตราจ้างนั้นน้อยนิด แถมที่บ้านก็ยังล้มละลายอีกด้วย “น่ากินจัง” เจตนัยเอ่ยชมเมื่อเห็นอาหารที่กานต์พิชชาทำ เธอยิ้มให้เพียงเล็กน้อย ไม่ได้แสดงความดีอกดีใจนอกหน้า สงวนท่าทีไม่ให้น่าเกลียด แม้นก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายจะโหมกระหน่ำเต้นแรงมากแค่ไหนก็ตามที “เธอทำอร่อยนะ เมื่อวานก็ทำ” แก้วตาเอ่ยชมบ้าง ลบคำปรามาสที่มี เพื่อให้คนเป็นสามีเห็นว่าเธอก็ไม่ได้จงเกลียดจงชังอะไร แม้ในใจจะไม่เป็นเช่นนั้น “เหรอ เก่งจัง...” แก้วตาหันขวับไปมอง เขาเอ่ยชมผู้หญิงคนอื่นต่อหน้าเธอ กัดฟันกรอดไว้ข้างใน ทำเป็นไม่ได้ยิน ขณะเดียวกันกานต์พิชชาก็ใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมา คิดจะไม่เขินแล้วแต่ก็อดไม่ได้ “อร่อยจริงด้วย” กานต์พิชชาเงยหน้าจากจานข้าว ก็เห็นว่าเขากำลังชิมอาหารที่เธอทำอยู่ ซึ่งวันนี้อยู่ ๆ แก้วตาก็เรียกให้มากินข้าวด้วยกัน สงสัยอยากให้เขาเห็นว่าหล่อนนั้นเป็นมิตร ซึ่งเธอก็ปฏิเสธไม่ได้ “ไว้ฉันทำอีกนะคะ” หญิงสาวโพล่งเสียงออกมาไม่รู้ตัว ทำให้แก้วตาถึงกับเบิกตาโพลง พอเธอสั่งกลับไม่ทำ พอผู้ชายบอกอร่อยสไลด์หน้ามารับสั่งเสียอย่างนั้น “ไว้เธอ...สอนฉันทำอาหารด้วยสิ” แต่ก็ต้องข่มอารมณ์ไว้ แก้วตาว่าพร้อมกับยิ้มหวาน “เอ่อ...” ขณะที่กานต์พิชชาไม่สะดวกใจสักเท่าไหร่ เพราะเธอต้องอ่านหนังสือด้วย ซึ่งท่าทีของเธอคนตัวโตก็พอดูออก “กานต์ต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบน่ะ ถ้าแก้วอยากเรียนไว้ไปเรียนกับเชฟเลยไหม เผื่อจะได้ทำให้เจตน์กินด้วย” พอได้ยินอย่างนี้ก็ตกใจ เพราะเธอขี้เกียจไปเรียนน่ะสิ “ไม่เอาอะ แก้วก็ต้องทำงานของแก้วนะ แก้วก็มีของขายด้วย ถ้าเรียนที่บ้านมันก็ดีไง” เธอหันไปใช้สายตากดดันกานต์พิชชา จนอีกฝ่ายถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ “เอ่อ ก็ได้ค่ะ เดี๋ยว...” “ไม่ต้องหรอก” เจตนัยส่ายหน้าเบา ๆ พร้อมกับเอ่ยแทรก ก่อนหน้านี้ก็บอกให้เธอรู้จักปฏิเสธแก้วตาบ้าง แต่เธอก็เป็นเธอ “เฮ้อ ไม่ต้องก็ไม่ต้องค่ะ ไม่ได้อยากเรียนอะไรขนาดนั้นหรอก สั่งเอาก็ได้แค่อาหารธรรมดา เขามีขายก็ซื้อแค่นั้น” แก้วตาเบื่อหน่าย เอ่ยตัดหน้าก่อนจะตั้งหน้าตั้งตากินข้าว ไม่ได้สนใจสีหน้าของผู้ร่วมโต๊ะอาหาร มีคำถามต่างนานาเข้ามาในหัวของกานต์พิชชา ทำไมเขาถึงเลือกเธอคนนี้เป็นภรรยาของเขา...แทนที่จะเป็นเธอ ตกดึก... เพราะความฉงนในใจที่สลัดไม่หลุดสักทีนี้ กานต์พิชชาจึงต่อสายหาพี่สาว เพราะคิดว่าคนที่จะรู้เรื่องของเขาคนนี้ได้ดีที่สุดคงหนีไม่พ้นพี่สาวของเธอที่เป็นเพื่อนสนิทของเขามาอย่างยาวนาน “ทำไรอยู่เหรอ” [กำลังจะนอนน่ะสิ เจตน์บอกยังว่าพรุ่งนี้แก้วตามาฉีดฮอร์โมน] “อ้อ บอกแล้วค่ะ” เงียบไปครู่หนึ่ง พี่สาวไม่เคยรู้ว่าเธอคิดยังไงกับหมอเจตน์ เกรงว่าถ้าถามอะไรออกไปคนเป็นพี่อาจจะจับพิรุธได้ [มีอะไรหรือเปล่าโทรมาดึก ๆ ดื่น ๆ] แต่สุดท้ายก็ทนความอยากรู้ไม่ได้ เอ่ยถามในที่สุด “คือ...ฉันอยากรู้น่ะ คือ...พี่เจตน์เขาเป็นแฟนกับพี่แก้วตายังไงเหรอ” [หึ เจอฤทธิ์แม่นี่แล้วเหรอ] “อ้าว...เธอเป็นคนไม่ดีอยู่แล้วเหรอคะ” กานต์พิชชานอนคุยโทรศัพท์อยู่บนที่นอน เธอพลิกตัวนอนหงาย เงยหน้าขึ้นมองเพดานสีขาว [ก็นิสัยคนเราอะนะ มีดีแล้วก็ไม่ดีนั่นแหละ แต่แก้วตาน่ะค่อนไปทางไม่ดี สมัยที่เป็นแฟนกับเจตน์แรก ๆ นะ ชอบมาต่อว่าพี่เพราะหึง] “อย่างนั้นเหรอคะ แล้วพี่เจตน์เขาโอเคเหรอ” [ก็โอเคนั่นแหละไม่งั้นจะอยู่ด้วยกันมาถึงสิบปีเหรอ ตอนแรกเจตน์บอกชอบเพราะเห็นสวยดี แรก ๆ ก็นิสัยดีนั่นแหละ ก็เลยตกลงคบ...แล้วก็แม่ของแก้วตาน่ะป่วยอยู่โรง’บาลที่ราวน์วอร์ดอยู่ ตอนนั้นก็เรียนกับอาจารย์แพทย์แล้ว] “_” [จะว่ายังไงดีล่ะ ก็พอ...แม่ของเธอป่วยมะเร็งสมองระยะสุดท้าย ก็ฝากฝังสัญญาไว้กับเจตน์ เจตน์ก็ตอบรับว่าจะรักดูแลแก้วตา] ริมฝีปากบางของกานต์พิชชาอ้าเหวอ หรือเป็นเพราะคำมั่นสัญญานี้ ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะรักษามันไว้ แม้นมันจะทำร้ายตัวเขาเอง [พี่ก็พยายามบอกแล้วล่ะ แต่คงรักด้วยแหละมั้ง เจตน์ก็มีปัญหากับที่บ้านบ่อย แก้วตาก็เป็นที่พึ่งทางใจของเขา] ...ได้ยินอย่างนี้ต้นสายถึงกับเงียบไปครู่หนึ่ง คงเป็นเพราะอีกฝ่ายอายุไล่เลี่ยกัน แถมยังได้เจอกันบ่อย หล่อนคงเป็นที่พึ่งทางใจให้เขามาโดยตลอด ส่วนตัวเธอเองตอนนั้นก็เด็กมาก แถมนาน ๆ ทีได้เจอเขา กานต์พิชชาถอนหายใจออกมาเบา ๆ “เฮ้อ...ก็แค่ไม่คิดว่าเขาจะทนอยู่ได้นานขนาดนี้ ฉันมาอยู่แค่วันสองวันก็อึดอัดจะแย่แล้ว” [อ้าว...แล้วไหวไหมเนี่ย ให้พี่คุยกับเจตน์ให้ไหม] “ไม่เป็นไรค่ะ แต่ก็ดีมีเวลาอ่านหนังสือด้วย” แก้วตาก็ไม่ได้หาเรื่องตลอดทั้งวันหรอก สาวเจ้าก็ทำงานของตัวเอง รีวิวสินค้านั่นนี่ เห็นนั่งถ่ายรูปอยู่เหมือนกัน จริงอย่างที่พี่สาวว่า...หล่อนก็คงมีดีบ้างไม่ดีบ้าง [ว่าแต่ทำไมถึงถามนะ] “เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ดึกแล้ว...แค่นี้ก่อนนะคะ” ว่าเสร็จก็กดตัวสายทิ้งทันที ไม่อยากให้พี่สาวรู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับเจตนัย พยายามที่จะไม่อยากสอดรู้ ท่องไว้ในใจว่าเขามีภรรยาแล้ว ... เวลาผ่านไปนานนมแต่ก็นอนไม่หลับ ร่างบางผุดลุกขึ้นเดินออกจากห้องหมายจะไปดื่มน้ำที่ห้องครัว แต่ก็ต้องสะดุดสายตากับแสงไฟสลัว ๆ จากหน้าจอทีวีในห้องนั่งเล่นที่เปิดทิ้งไว้พร้อมกับเสียงพูดคุยของแก้วตา...กับเขาคนนั้น “ในห้องก็ได้ ไหนบอกนอนไม่หลับอยากดูหนัง” เสียงทุ้มของเขาแหบพร่า เพียงแค่นี้ก็รู้ว่าทั้งคู่กำลังทำอะไรกัน แต่สองเท้าก็เลือกที่จะก้าวเดินไปให้เห็นกับตา “ตรงนี้ก็ได้ค่ะ อยู่ ๆ ก็มีอารมณ์ สงสัยเป็นเพราะฝนตกแน่เลย” กานต์พิชชาไม่ได้เห็นอะไรหรอก เพราะพนักพิงโซฟาบดบังคนทั้งคู่อยู่ เห็นเพียงศีรษะของเขาและเธอที่กำลังนัวเนียกัน “หึ ไม่ได้หรอก เราไม่ได้อยู่สองคนแล้วนะ” “เถอะน่า กานต์ไม่ออกจากห้องหรอก” “ไม่ดีกว่าครับ เดี๋ยวไปที่ห้อง” “เอ...ทำไมล่ะ อีกแล้วนะ...ทำไมต้องแคร์แม่นั่นขนาดนี้ด้วย เราเอากันมันก็ปกติไหมอะ” “แต่...” “ไม่มีแต่...” “หึ...” เสียงหัวเราะของเขานั้นทำให้คนที่แอบมองอยู่เจ็บปวด กานต์พิชชาก้าวขาถอยหลังเมื่อเห็นใบหน้าของคนทั้งคู่เคลื่อนเข้าหากัน ก่อนที่เขาจะจูบเธอ ...หญิงสาวเห็นแค่นั้นก่อนจะเดินกลับขึ้นไปข้างบนชั้นสองของบ้าน หัวใจเจ็บหน่วง ๆ ในอก สิ่งที่สงสัยก่อนหน้านี้มลายหายไปจนหมดสิ้น ถ้าเขาอยู่เพราะสัญญามันก็ดี...แต่ดูแล้วมันคงไม่ใช่ ถ้าไม่รักก็คงไม่ทนมาจนสิบปีแบบนี้หรอก “ตัดใจสักที” พึมพำออกมาเสียงแผ่วเบา ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนอีกครั้ง ความกระหายน้ำก่อนหน้านี้ไม่มีอีกแล้ว แม้นแต่ตอนเรียนที่อยู่มหา’ลัยเดียวกัน พอรู้ว่าเขามีแฟนเธอก็พยายามหนีหน้า พยายามแล้ว แต่ก็ยังกลับมาเจอกันอีก ราวกับโชคชะตาเล่นตลกอยากตอกย้ำความเจ็บปวดให้เธอ...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD