“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันก็อยากทำอะไรให้พี่เหมือนกัน” กานต์พิชชายิ้มให้พี่สาวบาง ๆ ตั้งแต่พ่อแม่เสียก็มีแค่พี่สาวคนนี้นี่แหละที่ส่งเสียให้เรียนหนังสือ ไหนจะค่าใช้จ่ายระหว่างเรียนอีก
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปรอข้างนอกนะ เข้าห้องน้ำใช่ไหม”
“ค่ะ...” เพราะไม่รู้ทางมาห้องน้ำพี่สาวเลยมาส่ง กิ่งฤทัยออกไปรอน้องสาวข้างนอก ซึ่งกานต์พิชชาก็เดินเข้าห้องน้ำไป ขณะเดียวกันคนที่แอบอยู่ภายในห้องน้ำห่างไกลออกไปนั้นรีบลุกขึ้นนั่งยอง ๆ บนชักโครกทันที แก้วตาตกใจที่เห็นปลายเท้าของกานต์พิชชาลอดช่องแสงประตูห้องน้ำทางด้านล่าง โชคดีที่หล่อนเดินเข้าห้องน้ำอีกห้องที่อยู่ข้าง ๆ กัน
แก้วตาคิดไม่ตก เธอรู้มาจากสามีอยู่แล้วว่าคนที่จะมาอุ้มบุญนั้นต้องเป็นคนที่เคยมีลูกมาก่อน เพราะเสี่ยงแท้ง ครรภ์แรกเสี่ยงเสมอ ป้องกันครรภ์เป็นพิษอีกด้วย แต่กานต์พิชชากลับทำผิด...แก้วตารอจนกว่ากานต์พิชชาออกไป เธอจึงเดินตามไปทีหลังโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่าเธอรู้ความลับนี้
...กิ่งฤทัยเดินเคียงข้างไปกับน้องสาวเพื่อไปส่งเธอ รู้สึกผิดอยู่ในใจที่ปล่อยให้น้องรับผิดชอบเรื่องนี้เพียงลำพัง
“อะไรก็ไม่น่ากลัวเท่าแก้วตาหรอก”
“หึ ค่ะ เธอนิสัยไม่ดีเลย” กานต์พิชชาไม่เคยเจอผู้หญิงแบบแก้วตาเลยสักครั้ง รับมือยากมากพอสมควร
“แหงสิ...ถ้าไม่อยู่กับเจตน์ก็คงไม่มีใครรับได้ ตอนที่พี่ออกใบรับรองแพทย์ให้ว่าเป็นคนมีภาวะมีบุตรยากอะ มันน่าแปลกใจมาก ๆ เหมือนกับว่าแก้วตาเคยขูดมดลูกมาก่อน แต่พอพี่ถาม เธอกลับบอกว่าไม่เคย” กิ่งฤทัยเอ่ยพูดพร้อมกับเดินไปด้วย โดยไม่รู้ว่าน้องสาวกำลังหยุดชะงักกับคำพูดนี้ หวนนึกถึงวันที่เจ้าหล่อนคุยโทรศัพท์วันนั้น...
“อ้าว! หยุดเดินก็ไม่บอกพี่ ปล่อยให้พี่คุยคนเดียวหรือไง หือ...” กิ่งฤทัยหัวเราะแก้เก้อเมื่อเดินพูดคนเดียวนานสองนาน พอเดินกลับมาหาคนเป็นน้องก็เห็นว่าอีกฝ่ายยืนตัวแข็งทื่อราวกับว่ามีเรื่องให้คิดในหัว
“มีอะไรหรือเปล่า”
“ขูดมดลูกเหรอคะ ทำไมถึงคิดว่าแก้วตาขูดมดลูกล่ะคะ” กานต์พิชชาสงสัยอะไรบางอย่าง แม้นว่าจะไม่ได้ฉลาดนักแต่ก็ไม่ถึงขั้นโง่ เธอกำลังเดาไปต่างนานา ทว่า
“อ้าว! กิ่ง กานต์...” เสียงทุ้มลึกที่เอ่ยเรียกนี้กลับทำให้คนทั้งคู่สะดุ้งเฮือก เป็นเจตนัยที่เดินมาหา
“กำลังไปหาพอดีเลย”
“เหรอ แล้วเห็นแก้วป้ะ เห็นบอกจะไปเข้าห้องน้ำ”
“หือ...” สองพี่น้องเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าแก้วตาจะไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งเมื่อครู่ทั้งเธอและน้องสาวก็พูดคุยกันมาตลอด เกรงว่าจะแก้วตาจะได้ยินอะไรเข้า
“อ้าว...นั่นไง พูดถึงก็มาเลย” ร่างบางของภรรยาสาวเดินมาหาด้วยใบหน้านิ่งเรียบ มองสองพี่น้องด้วยสายตาว่างเปล่า แต่ในสมองกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
“หลงทางหรือเปล่า” สามีหนุ่มเดินไปหา ยืนเคียงข้างพร้อมกับเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“เอ่อ อ้อ ใช่ เดินหลงไปนู่นแหนะ” แก้วตาว่าน้ำเสียงตะกุกตะกัก ชี้มือชี้ไม้ไปตามทางเดินที่ตัวเองเพิ่งเดินมา โดยไม่ได้บอกว่าไปที่ไหน
“แล้วได้เข้าห้องน้ำหรือยังล่ะ” สามีหนุ่มเลิกคิ้วถาม ก็เธอเล่นงอนเขาเดินหนี ปกติก็มีแค่เขาที่รับหน้าที่จำทางเวลาไปไหนมาไหนด้วยกัน ไม่แปลกที่เจ้าหล่อนจะหลงทาง ทว่า
“ไม่นะ ยังไม่ได้เข้าเลย” เธอโกหก เพราะตอนนี้สองศรีพี่น้องตั้งหน้าตั้งตาฟังอยู่ อันที่จริงก็อยากจะเปิดโปงสิ่งที่สองพี่น้องคู่นี้ทำ เพื่อที่ตนจะได้เงินห้าล้านคืน แต่ว่าการพูดความจริงมันจะดีหรือ การมีอำนาจต่อรองต่างหากที่ดีเลิศ
“งั้นเดี๋ยวเจตน์พาไป”
“ไม่เป็นไร กลับไปเข้าที่บ้านก็ได้” เจตนัยยิ้มมุมปากเล็กน้อย จริง ๆ แก้วตาคงไม่ได้อยากเข้าห้องน้ำตั้งแต่แรก เพียงแค่งอนเขาเลยหาที่หนีหน้าก็เท่านั้น
...ขณะเดียวกันสองศรีพี่น้องได้ยินอย่างนี้ก็โล่งอก แก้วตาคงไม่ได้ยินบทสนทนาของพวกเธอหรอกกระมัง ทั้งคู่คิด หากได้ยินคงโวยวายออกมาแล้วด้วยนิสัยขี้เหวี่ยงวีนของหล่อนเอง
เวลาต่อมา...
ทันทีที่กลับมาถึงบ้าน...ความอึดอัดในใจทำให้เจตนัยดักรอคุยกับกานต์พิชชาให้รู้เรื่อง หลายวันมานี้เจ้าหล่อนเมินเขาจนเกรงว่าจะมีปัญหาในอนาคต หากว่าถึงตอนที่เธอต้องอุ้มท้องลูกของเขาแล้ว ตอนนั้นกานต์พิชชาจะมาทำตัวแบบนี้ไม่ได้
“กานต์...เราคุยกันหน่อยไหม” เจ้าของร่างหนาเดินเข้ามาหาถึงห้องครัว กานต์พิชชากกำลังคิดค้นรสชาติอาหารใหม่ ๆ เพื่อจะได้เตรียมตัวสำหรับสมัครงานเป็นเชฟ เธอค่อย ๆ หันมาหา พร้อมกับยิ้มน้อย ๆ
“ค่ะ” รู้ว่าเขาจะคุยอะไร แต่ก็ทำเป็นเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“พี่ทำอะไรให้เธอไม่พอใจหรือเปล่า” เขาค่อย ๆ พูด เจตนัยทำให้คนฟังจุกในอก “พี่ขอโทษนะ แต่พี่อยากให้เราทำตัวเหมือนกับปกติได้ไหม”
“ยากค่ะ” เธอตอบออกมาตรง ๆ “ตอนแรกฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นพี่ที่จ้างให้มาอุ้มบุญ แต่พี่รู้ว่าเป็นฉัน...แต่ทำไมถึงเลือกฉันคะ อยากให้ฉันเจ็บปวดเหรอ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” เขาส่ายหน้าเบา ๆ ไม่เคยมีความคิดนี้ในหัวเลย “พี่แค่ได้ยินกิ่งบอกว่าเธอแต่งงานมีลูกแล้ว พี่ก็เลยคิดไปเองว่าเธอตัดใจจากพี่ได้แล้ว”
“_” พูดไม่ออกเลยทีเดียว ในใจหวังลึก ๆ ว่าเขาเลือกเพราะรู้สึกดี แต่ทว่ามันกลับไม่ใช่ อีกอย่างเรื่องแต่งงานมีลูกแล้วนั้นก็เป็นเรื่องโกหก จะบอกก็คงไม่ได้
“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ”
“ถ้าเข้าใจแล้ว...ช่วยทำตัวให้เหมือนกับปกติได้ไหม”
“คะ?”
“คือพี่ไม่อยากให้เราทั้งคู่ต้องอึดอัด เรายังเป็นพี่น้องกันได้นี่”
“ไม่ได้หรอกค่ะ”
“กานต์ พี่ไม่ได้อยากให้กานต์มารักหรือมาชอบพี่เลย” เจตนัยสวนกลับทันควัน เขาพูดตามหลักความจริง แม้นว่าเธอจะไม่ได้ทำตัวน่าเกลียดอะไร แต่เขาแต่งงานแล้ว
“ค่ะ” เธอตอบรับ พร้อมกับน้ำตาที่ร่วงเผาะลงอย่างหักห้ามไว้ไม่อยู่ ทำนบน้ำตาพังลงชั่วพริบตาเดียว “อึก ฉันก็ได้แค่หวังว่าสักวันจะเลิกรักพี่ได้ อึก แต่...มันยากจังเลยค่ะ”
“_” เจตนัยนัยตัวแข็งทื่อ พูดอะไรไม่ออก อยู่ ๆ เธอก็ร้องไห้ออกมา
“พี่เป็นคนพูด...พี่ก็พูดง่าย ฮึก พูดอย่างกับว่าฉันไม่พยายาม ทั้ง ๆ ที่ฉันพยายามมาโดยตลอด ฮือ~” กานต์พิชชาทนไม่ได้เลยจริง ๆ เธอร้องไห้โฮก่อนจะเดินหนีเขาไป ไม่ได้หันหลังมองอีก
“กานต์!” เจตนัยตะโกนไล่หลัง เขามองเห็นความเจ็บปวดของเธอผ่านแววตาคู่นั้น ทว่าพอจะเดินตามไปก็ตระหนักได้ว่า..
เป็นอย่างนี้มันก็ดีแล้ว