“ฉันกลัว...”
“ไม่ต้องกลัวหรอกน่า เราลงเรือลำเดียวกันแล้ว คนที่ควรกลัวควรเป็นพี่ต่างหาก”
“แต่ถ้าโดนจับได้ นอกจากพี่จะโดนถอดใบประกอบวิชาชีพแล้ว ฉันก็ต้องเข้าคุก เราจบเห่แน่ ๆ”
“แล้วเธอมีทางอื่นที่ดีกว่านี้งั้นสิ...”
...ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้งเมื่อกานต์พิชชาไม่มีคำตอบให้พี่สาว ความรู้สึกหวาดกลัวจากการกระทำความผิดทำให้เธอไม่อาจอยู่นิ่งได้ เรียวขาเล็กสั่นดิก ๆ ไม่หยุด
“ถ้าเราไม่ทำ เราก็จะไม่มีเงิน ธนาคารมายึดบ้านของพ่อแม่เราไปแน่ ๆ” กิ่งฤทัยเอ่ยพูดน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก ในฐานะพี่สาวก็ไม่อยากให้น้องสาวต้องทำเรื่องผิด แต่เมื่อเดินมาถึงทางตัน หมาจนตรอกก็สามารถทำได้ทุกอย่าง ละทิ้งความถูกต้องไปจนหมดสิ้น
“แล้วฉันต้องทำอะไรบ้างคะ”
“ก็ไม่ต้องทำอะไรมาก เธอก็โกหกไปว่าเคยมีลูกแล้ว แล้วก็ไม่สะดวกให้ดูลูกก็เท่านั้น”
“ตะแต่ได้ยินว่าเขาเป็นหมอ เขาจะไม่รู้เหรอคะ” เธอถามเสียงสั่น คนที่อยู่ในศีลธรรมอันดีงามอย่างกานต์พิชชานั้นอาจทำให้เสียเรื่อง แต่จะทำอย่างไรได้...ตัวเธอเองก็ไม่สามารถทำหน้าที่แทนได้ด้วยความที่มีสามีอยู่แล้ว
...กิ่งฤทัยเป็นแพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมเฉพาะทางด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ เธอทำงานในสถานพยาบาลที่ให้บริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ทำหน้าที่เป็นแพทย์ทำกิ๊ฟท์ (GIFT) ทำซิฟท์ (ZIFT) และผสมเทียม (IUI) ให้กับคู่รักที่ประสบปัญหาภาวะมีบุตรยาก หรืออาจจะทำกับหญิงอุ้มบุญ ซึ่งถูกกฎหมายเมื่อปี 2560
กระนั้น...การอุ้มบุญต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถี่ถ้วน หนึ่งในนั้นคือห้ามรับจ้างอุ้มบุญ แต่ก็สามารถกำหนดค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาสุขภาพของหญิงที่รับตั้งครรภ์แทน แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ทุกข้อกำหนดนั้นไม่มีปัญหา ติดอยู่อย่างเดียว...กานต์พิชชาไม่เคยมีลูกมาก่อน
ด้วยความที่กฎหมายกำหนดให้หญิงอุ้มบุญต้องเป็นหญิงที่เคยมีลูก แต่สองพี่น้องกำลังทำผิดกฎหมายโดยการโกหกและปลอมเอกสาร
“เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ พี่จัดการเอง”
“แต่...”
“กานต์...เธอมีหน้าที่แค่ทำตามสิ่งที่พี่สั่ง พอได้เงินมาเราจะได้ไปไถ่โฉนดบ้านก่อนโดนยึดถาวร” กานต์พิชชาได้ยินก็พยักหน้ารับเบา ๆ
“เงินห้าล้านบาท...มันเยอะแต่เขาก็ยอมจ่าย” กิ่งฤทัยพูดคนเดียวเสียมากกว่า การกระทำครั้งนี้มีวิชาชีพเป็นเดิมพัน แต่เธอก็ไม่อาจปล่อยให้บ้านถูกยึดได้...ไม่มีทาง
หลายวันต่อมา...
ความน่ารักจิ้มลิ้มของสาวสวยที่นั่งอยู่ในมุมร้านคาเฟ่ ทำให้สายตาของลูกค้าในร้านกาแฟแห่งนี้หันมามองเป็นตาเดียว กานต์พิชชามีใบหน้าออกไปทางสาวหมวยด้วยเปลือกตาชั้นเดียว ทว่าจมูกที่โด่งคมทำให้เธอเหมือนสาวหมวยอินเตอร์เสียมากว่าจะเป็นสาวหมวยเต็มตัว ผิวของหญิงสาวนั้นดึงดูดสายตาของคนที่อยู่โดยรอบ ขาวสวยเหมือนกับลูกผู้ดี
แต่ก็ไม่ผิดที่จะบอกอย่างนั้น ครอบครัวของเธอเคยเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยติดอันดับท็อปของประเทศ ทว่าพิษเศรษฐกิจทำให้กิจการล้มละลายไม่เป็นท่า บิดาฆ่าตัวตาย ก่อนที่มารดาจะตรอมใจตายตามไป หนี้สินที่พ่อแม่ทิ้งไว้ทำให้ต้องขายทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อใช้หนี้ เหลือไว้แค่บ้านที่โฉนดอยู่ในธนาคาร ทว่าการขาดส่งดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องทำให้ทางธนาคารจะยึด การลงมือทำเรื่องผิดจึงเกิดขึ้นกับสองพี่น้อง แต่ก็ไม่ได้ผิดบาปอะไรมาก เพราะคนที่ว่าจ้างนั้นเป็นเพื่อนของพี่สาว ซึ่งเขาอยากมีลูก แต่ภรรยาไม่สามารถมีให้ได้
กานต์พิชชาไม่รู้ว่าเพื่อนคนนั้นของพี่สาวเป็นใคร เพราะไม่ได้อาศัยอยู่กับพี่สาวมาหลายปีแล้ว เธอเป็นครูอัตราจ้างสอนที่ต่างจังหวัด ตอนนี้ได้ลาออกแล้ว ระหว่างที่ทำหน้าที่อุ้มบุญก็จะอ่านหนังสือเตรียมสอบราชการไปด้วย
หลายวันมานี้ก็แค่รอเวลา ซึ่งพี่สาวของเธอจัดการทุกอย่างให้หมด ทว่าวันนี้เป็นวันแรกที่จะได้ทำความรู้จักกับสามีและภริยาผู้ขอให้อุ้มบุญ ซึ่งพี่สาวของเธอก็มาด้วย
“ทางนี้ค่ะ” กานต์พิชชายกมือเรียกพี่สาว ก่อนที่คนเป็นพี่จะเดินมาหา เธอผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ
“มานั่งหลบมุมอะไรขนาดนี้เนี่ย ขี้อายอะไรนักหนา เป็นคนสวยก็มั่นใจหน่อยสิ” กิ่งฤทัยส่ายหน้าอย่างคนเอือมระอา เธออิจฉาความสวยความน่ารักของน้องสาวมาโดยตลอด แต่ถ้าได้มาพร้อมกับนิสัยขี้อายก็ไม่เอาด้วย มั่นใจแม้หน้าจะไม่สวยเท่ายังจะดีกว่า ใช้ชีวิตไม่ลำบาก
“ก็มัน...สบายใจนี่” ว่าพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ท่าทีของน้องสาวทำให้กิ่งฤทัยแอบคิดว่าไม่ใช่น้องสาวของเธอ แต่ก็เห็นว่าคลอดออกมาจากแม่คนเดียวกัน ถ้าไม่เห็นก็บอกได้คำเดียวเลยว่าคนละขั้ว
“เดี๋ยวหมอเจตน์มา”
“หมอเจตน์? ...” ชื่อนี้ทำให้หญิงสาวชะงักไป หรือว่าเพื่อนของพี่สาวที่ว่าจะเป็น...
“อ้าว! พอพูดปั๊บมาปุ๊บเหมือนกับรู้” เสียงของกิ่งฤทัยปลุกร่างบางให้หลุดจากภวังค์ เธอเงยหน้าขึ้นก็เห็นผู้ชายที่คิดไว้ในหัว
ผู้ชายในชุดสุภาพ เป็นเชิ้ตแขนยาวสีขาว กางเกงสแล็กส์สีครีม เขาแต่งกายสะอาดสะอ้านเป็นโทนสีเดียวกัน การแต่งกายของเขานั้นดูสมาร์ตตามวัย ชายหนุ่มตัดผมทรงอันเดอร์คัต นั่นคือรองทรงต่ำรองหวี ทางด้านหน้าปล่อยออกตามธรรมชาติไม่ได้เซตมา ทว่ามันกลับทำให้เขาดูดีมากขึ้นเป็นเท่าตัวแม้จะไม่ได้ตั้งใจ
เขาหล่ออย่างไรก็อย่างนั้น กาลเวลาไม่ได้พรากความดูดีไปจากเขาแม้แต่น้อย
“จำได้เปล่า หมอเจตน์ไงเพื่อนพี่สมัยเรียนมหา’ลัยแพทย์” จำได้ขึ้นใจเลยล่ะ ผู้ชายที่เป็นดั่งรักแรกของเธอ เขากำลังเดินเข้ามาพร้อมกับภรรยาของเขา กานต์พิชชาผุดลุกขึ้นยืนกะทันหันทำให้หัวเข่าของเธอโขกกับขอบโต๊ะอย่างแรง
ปึก!
“โอ๊ย!”
“ระวังสิ เจ็บไหมล่ะ” พี่สาวเดินเข้ามาดูหัวเข่าเล็ก ขณะเดียวกันเสียงโขกโต๊ะแรง ๆ นั้นทำให้ผู้มาใหม่ทั้งสองคนหันมามองพร้อมกัน จากที่พยายามมองหาในตอนแรกตอนนี้เห็นเด่นชัดเลยทันที
“เกิดไรขึ้น” หมอหนุ่มรีบเดินเข้ามาหา ทำเอาภรรยาที่ควงแขนมาด้วยนั้นเสียหลัก เพราะเธอไม่ทันได้ตั้งตัวว่าเขาจะเดินเร็วปานนี้
“ไม่มีไรหรอก ก็กานต์น่ะสิ” สายตาคมเลื่อนมองหัวเข่าเล็ก ก่อนจะเห็นว่ามีเลือดซึมออกมา
“โขกแรงซะด้วย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงแสดงความเป็นห่วงตามฉบับของแพทย์ และก็มีนิสัยใจดีเป็นทุนเดิม “เดี๋ยวไปถามพลาสเตอร์ปิดแผลจากพนักงานให้”
ไม่ว่าเปล่า...ชายหนุ่มรีบเดินไปที่เคาน์เตอร์สำหรับสั่งกาแฟ ทำให้กานต์พิชชายอมเงยหน้าขึ้นในที่สุด
“เขาจะให้ฉันอุ้มบุญให้เหรอคะ” ถามเสียงสั่น ไม่อยากจะเชื่อว่าโลกจะโคจรเธอกับเขามาพบกันอีกครั้ง แม้นว่าเจตนัยจะเป็นเพื่อนกับพี่สาว แต่พอรู้หัวใจตัวเองและเขาก็มีแฟนทำให้เธอไม่คิดอยากเข้าใกล้
“ใช่น่ะสิ พอดีแก้วตามีปัญหามีลูกไม่ได้ก็เลยอยากหาคนอุ้มบุญ เจตน์เลยมาหาพี่ พี่ก็เลยบอกว่าเราอุ้มได้”
“แล้วทำไมเขายอมคะ”
“ก็เพราะเจตน์ต้องการให้แม้อุ้มบุญไปอยู่ในบ้านหลังเดียวกันน่ะสิ”
“ห๊า...” กานต์พิชชาอ้าปากเหวอ เธอหันไปมองสองสามีภรรยาที่ยืนคุยกันอยู่ เหมือนว่าคุณแก้วตาจะโวยวายอะไรสักอย่าง “มะหมายความว่าฉันจะต้องย้ายไปอยู่กับเขาเหรอคะ ฉันนึกว่าแม่อุ้มบุญไม่จำเป็นต้องเจอหน้าพ่อแม่ของเด็กซะอีก”
“ก็จริง แต่ว่าเราเป็นคนรู้จักกันก็จะละเว้นไว้ อันนี้ไม่ผิดกฎหมายเพราะว่าเรารู้จักกัน”
“จะจริงเหรอ”
“เชื่อพี่กานต์ ไม่ต้องกลัว” กานต์พิชชาไม่ได้กลัวเรื่องนั้น เธอกลัวหัวใจของตัวเองต่างหาก ก็เขาเล่นเป็นรักแรกของเธอนี่ ไม่เคยลืมแถมยังนึกถึงตลอดเวลาอีกด้วย แม้แต่ตอนนี้ที่สบตากัน...ใจดวงน้อยในอกยังคงเต้นแรงให้กับเขาดังเดิม...