โป่งหยุดเล่าเอาไว้แค่นั้น ก็ต้องเช็ดน้ำตาที่เอ่อเต็มเบ้าตา เพราะความสงสารเจ้านาย ซึ่งก็ไม่แพ้กับคนที่นั่งฟัง
“นี่ถ้าคุณท่านรู้ว่าเจ้าหนี้ที่เปลี่ยนจากคุณเมธีมาเป็นคุณดำล่ะก็ ท่านจะต้องช็อคแน่ๆ เลยครับคุณเพลง เพราะเหตุนี้ไงครับ เขาถึงให้คุณเมธีบอกว่าชื่อเจนจบ เพราะคงจะกลัวคุณท่านรู้ว่าเป็นเขา แล้วคุณท่านคงจะไม่ยอมให้คุณเพลงไปพบเขาแน่ๆ เลยครับ คุณเพลงรู้อย่างนี้แล้ว คุณเพลงจะทำยังไงล่ะครับ จะหาเงินไปไถ่คืน หรือไปทำงานใช้หนี้ แล้วถ้าคุณเพลงเลือกอย่างหลัง ทางโน้นเขาคงไม่ให้คุณเพลงสบายหรอกครับ เพราะลุงรู้ว่าคุณดำแค้นคุณท่านมากๆ เลยครับ” โป่งลงความเห็นในที่สุด
“เพลงก็ยังไม่รู้ค่ะลุงโป่ง พรุ่งนี้เพลงจะไปหาอากำธร เผื่อจะช่วยอะไรเพลงได้บ้าง ลุงโป่งไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เพลงขอบคุณมากๆ เลยค่ะ ที่ลุงโป่งไม่ทิ้งคุณพ่อ ถึงแม้คุณพ่อจะ!เอ่อ!”
เธอหยุดพูดได้แค่นั้น ก็นึกถึงเรื่องที่โป่งเพิ่งจะเปิดเผย ซึ่งทำให้ยอมรับและเชื่อในการกระทำของพ่ออย่างที่เขาเล่าให้ฟังได้อย่างลำบากใจยิ่งนัก แต่เธอก็มองไม่เห็นประโยชน์ที่โป่งจะกุเรื่องขึ้นมาให้เธอฟังเพื่อประโยชน์อะไร เพราะเท่าที่เขาอยู่รับใช้พ่อเธอก็ไม่มีผลตอบแทนอยู่แล้ว
“ไม่เป็นไรครับคุณเพลง คุณท่านก็มีบุญคุณกับลุงมาก แล้วอีกอย่างท่านก็ไม่มีใคร” โป่งบอก
“เพลงว่าลุงโป่งไปพักเถอะค่ะ วันนี้ดูแลคุณพ่อมาทั้งวันแล้ว เดี๋ยวเพลงจะดูต่อค่ะ!งั้นเพลงไปหาคุณพ่อก่อนนะคะ”
ระพีพรรณบอกโป่ง แล้วก็เดินขึ้นชั้นบนไป ทิ้งให้โป่งมองตามด้วยความสงสาร และนึกภาพไม่ออกว่าหญิงสาวจะกู้สถานะการณ์ครอบครัวได้ยังไง นึกแล้วเขาก็ท้อใจแทนยิ่งนัก
ระพีพรรณยืนอยู่หน้าบ้านที่ใหญ่โตรโหฐานของผู้เป็นอา ซึ่งมีขนาดที่ไม่ได้แพ้บ้านของพ่อเธอเลย แต่จะผิดกันก็ตรงที่ บ้านอานั้น ดูสวยเป็นระเบียบ ด้วยเพราะมีคนดูแลไม่ขาด ซึ่งตรงกันข้ามกับบ้านตัวเอง
“เชิญเลย ยัยเพลง เข้าบ้านก่อนลูก” เสียงกำธรเรียก พร้อมกับออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง
“สวัสดีค่ะคุณอา”เธอไหว้เขาด้วยความนอบน้อม
“โอ้โห ไม่เจอตั้งนาน โตเป็นสาวแล้วนะเรา ไปเราไปนั่งคุยกันที่เรือนกล้วยไม้ของอาดีกว่า กำลังออกดอกสวยเชียว และอีกอย่างก็อากาศกำลังดี เดี๋ยวอาจะให้เด็กยกอะไรไปให้ทีหลัง” เขาบอกผู้เป็นหลาน
“คุณอาสบายดีหรือเปล่าคะ แล้วอาพริ้งกับน้องๆ ไปไหนกันหมดคะ”
เมื่อทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ในสวนกล้วยไม้ ที่เต็มไปด้วยกล้วยไม้นานาพันธุ์ ที่ออกดอกสวยงาม
“อาแกพาน้องไปซื้อของเตรียมจะเอาไปเรียนนอกกันจ๊ะ แล้วว่าแต่เราเถอะกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นบอกอาเลย”
กำธรถาม เพราะเขาเองก็ห่างจากครอบครัวพี่ชายไปนานพอสมควร ด้วยเพราะความโกรธที่พี่ชายตัดพี่ตัดน้อง แต่เขาก็ยังคงโทรไปหาโป่งที่บ้าน เพื่อสอบถามอาการของพี่ชายอยู่ไม่เว้น และก็หยิบยื่นเงินให้โป่งเอาไว้ใช้สอยบ้าง ถึงจะไม่มาก แต่เขาก็ยังดีใจที่ได้ทำ
“เพลงมาได้ไม่กี่วันค่ะคุณอา มัวแต่ยุ่งๆ เรื่องที่บ้านก็เลยยังไม่มีเวลามากราบคุณอาค่ะ เพลงต้องขอโทษด้วยนะคะ”
เธอบอกพร้อมกับไหว้เขาด้วยความนอบน้อม ซึ่งทำให้เขาประทับใจในตัวหลานสาวคนเดียวของเขาไม่น้อย ในสายตาเขาแล้ว ระพีพรรณนั้น ช่างแตกต่างจากระพีพงศ์ผู้พี่กับพ่อยิ่งนัก
เพราะเธอจะอ่อนน้อม กิริยามารยาทเรียบร้อย มองโลกในแง่ดีเสมอ ซ้ำยังเป็นคนขี้สงสารคนอีกด้วย นี่ถ้าพี่ชายได้แบบน้องบ้าง บ้านก็คงจะไม่ตกอยู่ในวิกฤตแบบนี้เป็นแน่ แต่จะโทษระพีพงศ์ซะทั้งหมดก็คงไม่น่าจะใช่ เพราะด้วยความที่เป็นวัยรุ่น แล้วไม่มีแม่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด บวกกับพี่ชายเขาเองนั้นมัวแต่ทำงานหาเงิน จนไม่มีเวลาได้อยู่ดูแลลูกซึ่งอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ แล้วเงินก็เข้าไปมีอำนาจในการชดเชยความรักที่เขามีต่อลูกแทบทุกครั้ง ไม่ว่าลูกจะขอเท่าไหร่ เขาก็ไม่เคยจะเกี่ยงเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าเขาจะเตือน จนถึงขั้นห้ามปรามพี่ชายเขาก็ไม่ฟังเอาเสียเลย
“อาเองก็มัวแต่ยุ่งๆ ไม่ค่อยได้ไปดูพ่อเราเท่าไหร่ พอว่างได้ไปแล้วพ่อเราก็แทบจะไล่ลุงตะเพิดออกมา เพราะโกรธที่ตั้งใจมาหาลุงแล้วเกิดอุบัติเหตุ ดูเอาเถอะพ่อเรา ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย แต่อาก็ไม่โทษหรอกนะ พี่กำพลก็แย่พอควรอยู่แล้ว ลืมได้ก็จะลืม ไหนๆ ก็เลือดก็นเดียวกันแล้ว เอ่อ! ว่าแต่เพลงมาหาอามีอะไรหรือเปล่า ดูสีหน้าแล้วไม่ค่อยจะดีเลย”
กำธรถามออกไปอย่างนั้น แต่ในความคิดก็พอจะเดาออกว่าหลานสาวมาด้วยเรื่องอะไร
“เพลงต้องขอโทษแทนคุณพ่อด้วยนะคะ ที่ทำให้คุณอาโกรธ แต่เพลงก็ดีใจค่ะ ที่คุณอาไม่ถือโทษโกรธท่านตอบ ตอนนี้จิตใจคุณพ่อท่านแย่มากแล้วค่ะ ที่เพลงมานี่ก็มีเรื่องจะปรึกษาคุณอาค่ะ” ระพีพรรณบอกเล่าความจำเป็นที่จะต้องให้เขาช่วย
“เงินเยอะขนาดนี้ อาจะไปหาได้จากที่ไหนล่ะ ยัยเพลง แล้วเวลาก็เหลืออีกไม่กี่วัน จริงๆ แล้วอาเองก็พอจะรู้เรื่องที่พ่อเราไปทำไม่ดีกับครอบครัวคุณลัดดาอยู่บ้าง แต่ก็รู้ไม่หมดหรอก เจ้าโป่งโน่นมันรู้ดี แต่ก็เอาเถอะอาจะลองโทรขอความช่วยเหลือจากพรรคพวกดูก่อน แล้วว่าแต่ถ้าเพลงได้เงินจากเพื่อนของอาแล้วเอาไปใช้ทางโน้น เพลงก็ต้องหาเงินมาใช้คนอื่นอยู่ดี แล้วเมื่อไหร่มันจะหมดล่ะลูก” เขาให้แง่คิด ทั้งๆ ที่รู้ว่าสิ่งที่บอกหลานออกไปนั้น เขาก็แทบจะมองไม่เห็นทาง