“ดี! นี่ทนายของฉัน ชื่อพิสิทธิ์ เขาจะเป็นพยานให้ฉัน และเป็นทนายให้ครอบครัวฉันด้วย แล้วฉันกับเขาก็เปิดบริษัททนายด้วยกันด้วย ที่ฉันบอกเพื่อจะให้เธอรับรู้ว่าสัญญาที่ตกลงกันวันนี้ ไม่ได้ทำขึ้นมาแบบชุ่ยๆ แล้วเธออ่านร่างสัญญาเข้าใจดีทุกข้อแล้วใช่ไหม” เขาแนะนำเพื่อน แต่ไม่ปล่อยช่องว่างให้พิสิทธิ์ได้กล่าวทักทายเธอเลย ส่วนเธอก็ได้แต่ยิ้มให้และก้มหนั้าให้กับพิสิทธิ์แค่นั้น
“ค่ะ”
“แล้วมีคำถามเพิ่มเติมอะไรรึเปล่า” เขาไม่วายจะถาม
“เอ่อ! ไม่มีค่ะ” เธออยากจะถามอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่กล้า
“มีค่ะ!” โสภาอดที่จะถามแทนเธอไม่ได้ เพราะรู้ดีว่าระพีพรรณอยากจะถามอะไร
“อะไร” เขามีน้ำเสียงไม่พอใจนัก
“ก็สัญญาคุณระบุว่า จะให้เพื่อนฉันทำงานทุกอย่างตามแต่คุณจะสั่ง ยกเว้นงานนั้นจะมีอันตรายหรือจะได้รับบาดเจ็บ หรือชีวิต แล้วถ้าเกิดคุณสั่งให้เพื่อนฉันไปทำงานพวก! เอ่อ! อะไรทำนองนั้นล่ะ มันรวมไปในสัญญานี้หรือเปล่า ที่ฉันถามก็เพื่อต้องการความกระจ่างเท่านั้นนะคะ” โสภารีบอธิบายเพราะไม่อยากให้เขากับทนายเข้าใจผิดว่าเธอดูจะจู้จี้กว่าคนที่จะมาทำงานเองด้วยซ้ำ
“คุณหมายถึงเรื่องอย่างว่าน่ะเหรอ! ถ้าใช่! คุณก็สบายใจได้เลยนะ ผมไม่ขายเพื่อนคุณหรอก หน้าตาอย่างนี้ ไม่รู้จะมีคนสนใจหรือเปล่า หรือถ้าคุณกลัวว่าผมจะสั่งให้เพื่อนคุณ ทำเรื่องอย่างว่าให้ผม คุณยิ่งไม่ต้องกังวลใหญ่เลยนะ ผมไม่เอาเลือดสะอาดๆ ของผม ไปเกลือกกลั้วกับไอ้พวกเลือดชั่วๆ ของเพื่อนคุณหรอก หรือถ้าไม่ไว้ใจหรือกลัว ก็ยกเลิกสัญญาก็ได้นะ ผมจะได้ไม่ต้องมาเสียเวลา” เขาทำเสียงเดือดใส่โสภาอย่างเห็นได้ชัด
“เอ่อ! เพื่อนดิฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นหรอกค่ะ แต่ถ้าทำให้คุณเข้าใจผิดแบบนั้น ดิฉันก็ขอโทษแทนเพื่อนด้วยนะคะ สัญญาทุกข้อฉันอ่านเข้าใจดีแล้ว และก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรค่ะ” เธอต้องรีบออกรับแทนเพราะรู้ดีว่า โสภาเองก็เป็นคนเลือดร้อน
“คุณระพีพรรณยินยอมทำตามข้อตกลงทุกอย่างเลยใช่ไหมครับ” พิสิทธิ์รีบสรุปอีกที เพราะไม่อยากให้ดนุพรทำอะไรที่วู่วาม
“ค่ะ”
“สาระสำคัญๆ ก็คือ คุณจะต้องทำงานตามที่คุณดนุพรสั่งทุกอย่าง ยกเว้นงานที่จะเป็นอันตรายแกตัวเองและชีวิต เวลาทำงานคือสิบหกชั่วโมงต่อวัน คือตั้งแต่ตีห้าถึงสามทุ่ม เวลาพักก็แล้วแต่จะว่างจากงาน ส่วนใหญ่งานบ้านก็ไม่ได้ทำตลอดอยู่แล้ว หรือนายจ้างอาจจะเรียกใช้เวลาใดก็ได้ นอกเหนือจากที่ระบุเอาไว้ในนี้ โดยลูกจ้างจะต้องไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น
สถานที่ปฏิบัติงานก็แล้วแต่นายจ้างจะสั่งการครับ แต่ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ที่บ้านนี้ สำหรับการลาป่วยก็ลาได้ตามป่วยจริง ส่วนลากิจไม่สามารถทำได้ หรือหากมีความจำเป็นจริงๆ ก็จะต้องได้รับความเห็นชอบจากนายจ้างก่อนลาเท่านั้น และหากนายจ้างอนุญาตให้ลากิจได้ ก็จะต้องกลับมาทำงานชดเชยให้นายจ้างในอัตราหนึ่งต่อห้า ก็คือลาหนึ่งวัน ต้องทำงานใช้ห้าวันครับ ก่อนลาก็จะต้องแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อยสามวันครับ
ทำงานจันทร์ถึงเสาร์ สามทุ่ม หลังจากนั้นคุณจะกลับบ้านก็ได้ นายจ้างให้หยุดวันอาทิตย์หนึ่งวัน ถ้าคุณระพีพรรณไปพักบ้านหรือที่อื่นในคืนเสาร์และคืนวันอาทิตย์ ก็จะต้องกลับมาทำงานเช้าวันจันทร์ให้ทันตีห้า ถ้าเลยนั้นแม้แต่นาทีเดียว สัญญาจะเป็นโมฆะทันที การทำงานไม่สำเร็จตามเป้าหมายที่นายจ้างมอบหมายตามกำหนด สัญญาก็จะถือว่าเป็นโมฆะ เช่นให้ซักผ้าจำนวนยี่สิบชิ้นให้เสร็จภายในหนึ่งชั่วโมง คุณก็ต้องทำให้เสร็จเป็นต้น
ในระหว่างวันและเวลาทำงาน นายจ้างไม่อนุญาตให้ญาติหรือคนรู้จักมาหาก่อนได้รับอนุญาต ถ้าละเมิดกฏก็จะถือว่าสัญญาเป็นโมฆะ ในระหว่างที่คุณทำงานเพื่อชดใช้หนี้จำนองนี้ นายจ้างจะให้เงินเดือนไว้ใช้สอยส่วนตัว เดือนละหกพันบาท นายจ้างจะเป็นคนรับรองความปลอดภัยให้คุณตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติงานที่นี่
หากคุณถูกกระทำทารุณกรรมในด้านต่างๆ เช่น ถูกข่มเหงทางร่างกาย การกดขี่ทางเพศ หรืออื่นๆ จากนายจ้าง หรือจากบุคคลในการปกครองของนายจ้าง จนเกิดความเสื่อมเสียให้ และภายหลังสืบทราบหรือพิสูจน์ได้โดยแพทย์เฉพาะทาง หรือขบวนการของกฏหมายได้ว่าเป็นการกระทำทารุณกรรมจากฝ่ายของนายจ้างจริง สัญญาฉบับนี้เป็นอันโมฆะเช่นกัน และนายจ้างจะต้องคืนทรัพย์สมบัติทุกอย่างให้คุณโดยไม่มีข้อบิดพลิ้วใดๆ ทั้งสิ้น
หลักๆ ที่สำคัญก็มีเท่านี้ครับ ถ้าคุณระพีพรรณไม่ขัดข้อง ก็เช็นต์ชื่อตรงนี้ครับ และก็ให้คุณโสภาลงชื่อเป็นพยานรับรู้ด้วยครับ” พิสิทธิ์ย้ำข้อสัญญาต่างๆ ให้เธอเข้าใจโดยละเอียด
“เพลงแน่ใจนะว่าจะทำอย่างนี้” โสภาไม่วายที่จะห่วงเพื่อนรัก เพราะสัญญาที่ทำขึ้นนั้นเธอรู้ดีว่า มันเหมือนสัญญาทาสชัดๆ
“ค่ะพี่โสภา ไม่ต้องห่วงเพลงหรอกนะคะ เพลงดูแลตัวเองได้” เธอบอกแล้วยิ้มให้โสภา ก่อนจะจรดปลายปากกาเซ็นต์ชื่อลงในสัญญา แล้วก็ยื่นให้กับพิสิทธิ์เพื่อส่งให้ดนุพรเซ็นต์ต่อไป
“คุณดำมีอะไรหรือเปล่าคะ ให้เด็กไปตามนิดกับคุณป้า เห็นวันนี้คุณดำบอกว่าจะมีเด็กรับใช้มาเพิ่มอีกคน แล้วให้แม่แก้วไปช่วยงานที่ออฟฟิศคุณพิสิทธิ์แทน ป่านนี้แล้วยังไม่เห็นใครมาเลยค่ะ” นิตยาหญิงสาววัยสามสิบต้นๆ เดินมาหยุดที่ห้องรับแขก พร้อมๆ กับเข็นรถเข็นที่มีลัดดานั่งเข้ามาด้วย ตามที่ดนุพรให้เด็กไปตาม
“นี่ไงเด็กที่นิดถามถึง ผมให้มาเริ่มงานเลย” เขาบอกเมื่อทุกอย่างตกลงเรียบร้อยแล้ว และโสภาก็ถูกเชิญให้กลับไปแล้ว เพราะเขาไม่ต้องการให้คนนอกเข้ามารู้เห็นความเป็นไปภายในบ้านของเขา
นิตยามองไปที่เด็กที่ดนุพรพูดถึง ก็ถึงกับทำหน้าเหมือนมีคำถาม เพราะด้วยสายตาของเธอแล้ว ไม่อาจจะตัดสินได้ว่าผู้หญิงที่ท่าทางสง่า ดูดี มีสกุล ที่นั่งอยู่ตรงหน้านี้จะมาทำงานเป็นเด็กรับใช้ แต่นิตยาก็ฉลาดที่จะไม่ถามอะไรมากไปกว่านั้น เพราะรู้นิสัยดนุพรดีว่าไม่ชอบให้ใครมาเซ้าซี้ถามโน่นถามนี่