“หนูแหวนยังไม่เล่าให้พี่ศรีนวลฟังเลยนะ เห็นลือกันตั้งแต่ล็อบบี้ทางเดิน จนถึงห้องพยาบาลเลยนะจ้ะ เมื่อวานบิ้กBossเกิดอุบัติเหตุต้องมาทำแผล เสียดายจัง! เป็นวันหยุดพี่เสียได้ เลยอดเจอเทพบุตรสุดหล่อ... มิสเตอร์อเล็คซานเดอร์หล่อเหลาสมคำลือไหมล่ะ? ตาเขานี่นะ ถ้าพี่เผลอสบตาด้วยมือคงสั่นไม่หยุด เสน่ห์ลอยฟุ้งขนาดอยู่ไกลๆ ยังได้กลิ่น แล้วมาอยู่ใกล้ขนาดยืนจ้องหน้ากันนี่พี่คงจะละลาย” ศรีนวลเปิดปากถามพยาบาลสาวรุ่นน้องถึงเรื่องราวเมื่อวันก่อน เธอรู้โดยบังเอิญเพราะมีแต่คนพูดคุยถึงเรื่องนี้แต่เธอไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วยแค่นั้น
พิชญ์สินีชะงักกึกเธอค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ แม้อยากจะลืมคนบ้าคนนั้นให้หมดไปเสียที แต่เมื่อต้องทนทำงานอยู่ในอาคารหลังเดียวกันก็คงได้ยินได้ฟังเรื่องของเขาไม่มากก็น้อย
“ค่ะ...”
“เอ... ค่ะนี่หมายความว่ายังไงหนูแหวน หล่อไหม?”
“เขาหน้าตาดีค่ะ ตามที่บอกปากต่อปากกันมานั่นแหละค่ะ”
“อุ้ยตาย! เสียดายชะมัดเลย รู้อย่างนี้พี่ไม่หยุดวันนั้นก็ดี โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีง่ายๆ เลยนะ การที่ผู้บริหารสูงๆ จะมาที่ห้องพยาบาลเล็กๆ แบบนี้ หนึ่งใน 100ใน1000เลยเชียวล่ะ”
“ผมปวดหัวขอยาหน่อยซิหนูแหวน” อเล็คซานเดอร์โผล่เข้าในห้องพรวดพลาด เขามองพิชญ์สินีตาเป็นมันวับ ยกยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อนึกถึงรสจุมพิตหอมหวานที่ยังฝังอยู่ในความทรงจำไม่เคยลืม
“ห๊ะ! มิสเตอร์อเล็คซานเดอร์ คุณพระ! หนูแหวนบิ้กBossมา ตายๆ พี่ไม่เก่งภาษาด้วยซิ ทำไงดี” ศรีนวลกล่าวลุกลนเธอหันรีหันขวางมองอเล็คซานเดอร์สลับกับพิชญ์สินี
“ผมพูดไทยได้ครับ ไม่ต้องตื่นเต้นไป เป็นคนธรรมดาเหมือนพวกคุณ” ชายหนุ่มเดินเอื่อยๆ ไปทรุดนั่งบนเก้าอี้รับแขกหน้าโต๊ะทำงานของสองสาว เขายกขาขึ้นไขว่ห้าง วางมือหนาเหนือหัวเข่าและมองสองสาวด้วยสายตากลั้วรอยยิ้ม
“ค่ะๆ...เป็นอะไรมาคะ แผลหายดีแล้วหรือยัง” ศรีนวลกุลีกุจอเขาไปดูแลอาการหนุ่มหล่อ เธอตื่นเต้นจนมือไม้สั่นหยิบจับถุงยางกๆ เงิ่นๆ
อเล็คซานเดอร์มองตามด้านหลังพิชญ์สินีไปเพราะเธอเดินหายลับไปด้านหลังห้องพยาบาล เขาชะเง้อคอยาวมองตามบั้นท้ายกลมกลึงไปด้วยความเสียดาย “แผลที่หน้าหายดีแล้วครับ ตกสะเก็ดหน่อยๆ แต่ตอนนี้ผมกำลังปวดหัวอย่างหนักขอยาแก้วปวดซักหน่อยได้ไหมครับ?”
“ค่ะๆ ได้ค่ะ เดี๋ยวศรีนวลจัดยาบรรเทาให้นะคะ รับรองหายขาด” เธอรีบรุดจัดแจงจ่ายยาแก้อาการปวดศีรษะให้กับหนุ่มหล่อ อมยิ้มน้อยอมยิ้มใหญ่เพราะได้อยู่ใกล้หนุ่มมากเสน่ห์แบบอเล็คซานเดอร์ เมื่อมันเป็นเหมือนความฝันเพราะเขานั่งอยู่บนหอคอยไม่น่าจะลงมาถึงชั้นที่เธอทำงานอยู่
“พี่ศรีนวลหนูแหวนพักทานข้าวก่อนนะคะ ให้หนูแหวนซื้ออะไรขึ้นมาให้หรือเปล่าค่ะ พี่จะได้ไม่ต้องลงไปชั้นล่าง...” พิชญ์สินีเช็ดมือที่เปียกน้ำจนแห้งสะอาด เธอตะโกนถามพยาบาลรุ่นพี่เพราะคิดว่าตัวอันตรายกลับวิมานของเขาไปแล้ว เนื่องจากภายในห้องปฐมพยาบาลเล็กๆ เงียบกริบไร้เสียงพูดคุยของบุคคลภายนอก
อเล็คซานเดอร์หยัดกายลุกขึ้นยืนหลังจากยื้อเวลาอยู่นาน เขาอมยิ้มกรุ้มกริ่มโค้งตัวลาพยาบาลสาวใหญ่และเดินเอ่อระเหยออกไปนอกห้อง วางแผนการด้วยความฉับไว ในหัวสมองเร่งหาวิธีจัดการปราบพยศพยาบาลสาวจอมดื้อด้านให้รู้ซะบ้างว่าเขาคือ อเล็คซานเดอร์ เชอร์ราวินจะมาทำกำแหงใส่ไม่ได้!
“เดี๋ยวจะจูบให้ขาดใจเลยคอยดู ดื้อดีนักหนูแหวน” เขากล่าวเสียงกระหึ่มในลำคอ รู้สึกกระปี้กระเป่าขึ้นมาทันตาเห็น เดินอมยิ้มกรุ้มกริ่มมองหาช่องทางที่จะจัดการกับพิชญ์สินี ทางโค้งหักศอกที่ค่อนข้างลับตาคนเพราะตรงบริเวณนี้ต่อไปอีกหน่อยก็จะเป็นทางหนีไฟซึ่งไม่ค่อยมีใครสัญจรผ่านมา อเล็คซานเดินไปเดินมาดูลาดเลาและเขาเดินกลับมาดักรอพิชญ์สินีด้วยความอดทน
แม่เนื้อสมันสาวเดินเอื่อยๆ ตรงไปยังลิฟต์เพราะเดินลงไปจากชั้นนี้ถึงส่วนแคนทีนคงเหนื่อยพอดูเสียงฝีเท้าเบาๆ เดินตามมาเธอจึงเอี้ยวลำตัวมองหา หากมีเพื่อนร่วมทางเข้าไปในลิฟต์แคบๆ คงจะดีกว่าต้องไปคนเดียว รอยยิ้มใสกระจ่างหุบฉับพลันเหมือนดอกไม้สวยๆ ต้องสายลมร้อนๆ ใบหน้าหวานหงิกงอบึ้งตึง เพราะเห็นชัดเต็มสองตาว่าบุคคลที่เดินตามมาเธอไม่อยากแม้แต่จะพบเจอ
“สวัสดีหนูแหวน ใจคอไม่คิดจะเปิดปากพูดกับผมซักคำหรือครับ”
เธอสะบัดใบหน้ากลับ เดินคอตั้งตรงไปข้างหน้าไม่สนใจแม้แต่จะตอบคำทักทาย อเล็คซานเดอร์กัดฟันกรอดๆ เขาย่างสามขุมตามพิชญ์สินีไปติดๆ ท่าทางหยิ่งยะโสของเธอก่อกวนอารมณ์ความต้องการอยากจะเอาชนะของอเล็คซานเดอร์ให้ลุกโพลงมากขึ้นกว่าเก่า “อย่าให้มีโอกาสนะหนูแหวน เดี๋ยวเถอะๆ เดี่ยวพ่อจะจูบให้ใจขาดคาอกเลยคอยดู!...”
ฝีเท้าหนักๆ ที่เดินตามมาทางเบื้องหลังทำให้เธอหวั่นกลัว ผู้ชายใจมืดบอดคนนั้นมองผู้หญิงด้วยความเหยียดหยาม ดูหมิ่นเพศมารดาให้เป็นแค่เครื่องระบายอารมณ์ เธอสาวเท้าให้เร็วขึ้น มองหาช่องทางหนีทีไล่และมองหาตัวช่วยหากเหตุการณ์ฉุกละหุกจวนตัว จนไม่สามารถป้องกันตัวเองได้มือเล็กๆ กำแน่นเธอขอสู้สุดแรงที่มีจะไม่ให้เขาได้มีโอกาสทำย่ำยีได้เหมือนกับเมื่อวันก่อน...
“ติ้ง!...” เสียงลิฟต์ดังเตือนเมื่อตัวลิฟต์เคลื่อนที่มาจนถึงจุดที่เธอกดเรียกไว้ พิชญ์สินีรีบสาวเดินเข้าไปภายในลิฟต์ปลายนิ้วเรียวๆ กระแทกปุ่มปิดประตูแรงๆ เธอหวังให้มันปิดลงโดยเร็วจนตัวอันตรายคนนั้นเดินตามเข้ามาไม่ทัน อเล็คซานเดอร์เสือกปลายรองเท้าขัดขวางประตูลิฟต์เอาไว้ทันก่อนที่มันจะปิดสนิท รอยยิ้มกรุ้มกริ่มเกลื่อนกระจายทั่วใบหน้าคมคายของเขา จนพิชญ์สินีต้องสะบัดใบหน้าหนี เธอเบียดตัวเองกับพนังลิฟต์แน่น เตรียมพร้อมร่างกายหากเขาเข้ามาปล้นจูบแบบเมื่อวันก่อน เธอขอสู้ไม่มีทางยอมให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิม
“หึๆ...” เสียงหัวเราะในลำคอหนาจากผู้ชายด้านข้างทำเอาเธอสะดุ้งเฮือกเกร็งตัวแน่นและถอยหลังแนบชิดพนังลิฟต์มากขึ้นกว่าเดิม
“ผมน่ากลัวมากเลยหรือครับหนูแหวน? คุณเป็นคนแรกนะที่มีปฏิกิริยาแบบนี้กับผม ธรรมดานะมีแต่สาวๆ วิ่งใส่ ไม่เคยมีใครคนไหนทำท่ารังเกียจผมแบบนี้ซักคนเลย”
“...” ไม่มีคำตอบจากคนด้านข้างจนอเล็คซานเดอร์เริ่มกรุ่นโกรธ
“คุณนี่ยั่วอารมณ์ผมได้ตลอด ไม่ว่าจะเปิดปากพูดหรือปิดปากแน่นแบบนี้ ถ้าผมลืมตัวทำอะไรลงไป คุณต้องโทษตัวเองนะหนูแหวน เพราะคุณเป็นสาเหตุ”
“คนอย่างคุณสนใจคนอื่นด้วยหรือคะ มิสเตอร์อเล็คซานเดอร์! หนูแหวนแค่ไม่อยากเสวนากับคนที่พูดไม่รู้เรื่อง เราควรอยู่ให้ห่างๆ กันค่ะ เพราะหนูแหวนไม่ชอบที่จะอยู่ร่วมกับคนที่มีความคิดต่ำๆ”
“ผมเป็นถึง CEO ของที่นี่ เขาคงไม่คัดเอาคนที่มีมุมมองต่ำๆ ขึ้นมาบริหารองกรณ์หรอกมั่งครับ”
“พอเถอะค่ะ พูดกันต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ มิสเตอร์อเล็คซานเดอร์เถียงข้างๆ คูๆ”
“มิสเตอร์! ผมอเล็คซานเดอร์ เรียกสั้นๆ ว่าอเล็คก็ได้ผมไม่ถือสำหรับคุณนะหนูแหวน”
“ขอบคุณค่ะสำหรับความกรุณา แต่หนูแหวนไม่ขอรับไว้ เราไม่ได้สนิทสนมกันแบบนั้น หนูแหวนเป็นแค่พนักงานระดับล่าง ไม่ได้สลักสำคัญพอจะไปรู้จักและสนิทสนมกับผู้บริหารระดับสูงแบบคุณ” เธอเอ่ยประชดด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ ดวงตากลมโตดูเข้มแข็งและหนักแน่น ไม่สนใจว่าเขาจะมีอำนาจสูงสุด หากกล้าเข้ามาลองเชิงก็ขอสู้สุดตัว
“ความหวังดีของผมก็ยังถูกคุณปฏิเสธเหมือนเคย ผมคงกลายเป็นตัวน่ารังเกียจสำหรับคุณไปเสียแล้วสินะ หากผมจะขอโทษกับทุกสิ่งที่ทำลงไปก่อนหน้านี้ ไม่รู้ว่าคุณจะยังพอให้อภัยผมได้ไหม?”