บทที่ 7 มารผจญ

2282 Words
หลังแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จถึงหลิวฉูฉู่ยังคิดว่าขั้นตอนนี้มีมากกว่าเสื้อผ้าที่เธอใส่แสดงนัก มันจะอะไรหนักหนา อาเหมียนทำท่าจะใส่เครื่องหัวในเธอหลิวฉูฉู่รีบหลบทั้งยังส่ายหน้า "หนักจะตายชัก ไม่ใส่หรอก" "แต่ทั้งหมดหมายถึงเกียรติยศนะเพคะ" อาเหมียนทำท่าประหลาดใจ ยิ่งเห็นท่าทางประหลาดของฮองเฮาผู้นี้ "ปกติข้าใส่แบบนี้เหรอ" อาเหมียนมองหน้ากับนางกำนัลผู้หนึ่งแล้วเอ่ยว่า "หาไม่เพคะ" "ไม่ได้หลายชั้นแบบนี้เหรอ อ้าวทำไมเจ้าถึงได้พันตัวข้าหนาแบบนี้เหล่า ยังมีของพวกนี้อีก เยอะแบบนี้ใส่ถ่ายหนังถ่ายละครน่ะได้ แต่ถ้าให้ใส่ในชีวิตจริงมันไม่ไหวหรอก คงได้เป็นโรคออฟฟิศซินโดรมตายแน่ ๆ " อาเหมียนมึนงงคำพูดประหลาดของหลิวฉูฉู่ นับวันฮองเฮาของนางยิ่งนับว่าเอ่ยวาจาประหลาดขึ้นเรื่อย ๆ มิหนำซ้ำยังไม่สนใจว่าอาเหมียนจะคิดอย่างไร ทว่าถึงจะไม่เข้าใจนางก็ยังเอ่ยต่อ "ปกติฮองเฮาทรงเครื่องมากกว่านี้เพคะ นี่นับว่าน้อยนักเพคะ" หลิวฉูฉู่ยกมือทาบอก ให้ตายเถอะแม่คนนี้ทำไมถึงได้หาเรื่องให้ตัวเองลำบากขนาดนี้กัน ไหนจะเครื่องประดับพวกนั้นอีกทำตัวเป็นตู้ทองเคลื่อนที่เหมือนพวกเศรษฐีใหม่ที่ต้องอวดร่ำอวดรวยกลัวคนไม่รู้ หากใส่เข้าไปหมดนี่ไม่คอหักตายเหรอ เธอเป็นดาราสาวที่มีรสนิยมสูงส่ง น้อยชิ้นแต่เรียบหรู มีแต่พวกเศรษฐีใหม่เท่านั้นที่อวดประโคมแต่งตัวเป็นตู้ทองเคลื่อนที่แบบนี้ หากหลิวฉูฉู่คนเดิมชอบก็ช่างแม่คนนั้นเถอะ แต่หลิวฉูฉู่คนนี้ไม่เอาด้วยอย่างแน่นอน "ไม่ต้องใส่แล้ว เกียรติยศอะไรกันข้าหนักจะตายชัก ไปแบบนี้แหละไปไหว้พระไม่ได้ไปอวดใคร" "แต่ระหว่างทางจำต้องผ่านตำหนักน้อยใหญ่นะเพคะ หากเหล่าสนมของฝ่าบาทเห็นเข้าอาจจะคิด...." อาเหมียนไม่กล้าพูดคำว่าดูถูก ด้วยกลัวว่าจะถูกตบปากอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับนางมาแล้วจึงหุบปากลงทันใด "ทำไมพวกเขาจะคิดอะไร ดูถูกข้าเหรอ พวกเศรษฐีใหม่นั่นจะคิดยังไงก็ช่าง การแต่งหน้าไม่ต้องทาแป้งขาวมาก มันหน้าลอยเป็นผี เน้นผิวสวย ๆ เป็นธรรมชาติ เติมให้ปากแดงระเรื่อเล็กน้อยดูสุขภาพดี น้ำมันดอกกุหลาบที่ข้าทำอยู่ไหนเอามา ทาผิวให้ข้าแล้วนวดคลึง ๆ แบบนี้เข้าใจหรือเปล่า" หลิวฉูฉู่จัดแจงแต่งหน้าเอง เธอลงครีมบำรุงที่เธอใช้เวลาทั้งวันทำขึ้นเอง ก่อนจะลงแป้งบางเบา ทว่าการแต่งหน้าที่ไม่เหมือนแต่งหน้าแบบนี้ทำเอาอาเหมียนอ้าปากค้างเพราะทุกอย่างช่วยขับเน้นผิวของฮองเฮาให้ดูผ่องใสแลดูเหมือนผิดของเด็กทารกจริง ๆ "เป็นไงสวยหรือเปล่าอาเหมียน" อาเหมียนพยักหน้าแรง ๆ "งามเหลือเกินเพคะ" "เห็นหรือยัง ไว้วันหลังข้าทำให้เจ้าและสอนเจ้าด้วยดีหรือไม่" "ขอบพระทัยเพคะ" อาเหมียนตื้นตันจนน้ำตาคลอ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฮองเฮาคิดแบ่งปันเช่นนี้ให้นาง ทว่าเครื่องประดับนั้นอย่างไรอาเหมียนก็ต้องการให้ฮองเฮาใส่บ้าง หลิวฉูฉู่กลับเอ่ยว่า "เห๊อะ ใครจะดูถูกก็ช่างแม่งสิ ใครจะสนใจล่ะ อีกอย่างข้าใหญ่ที่สุดในวังหลังไม่ใช่เหรอ จะมีใครหาญกล้ามาดูถูกข้าอีก" "เพคะ" ในที่สุดอาเหมียนก็ยอมแพ้ สมองของอาเหมียนบัดนี้คิดเพียงแต่คิดว่าฮองเฮาของนางสติยังไม่สู้ดีนัก ทั้งเรื่องที่พยายามพุ่งตัวเองลงน้ำวันนั้นทำให้อาเหมียนต้องคอยระมัดระวังเป็นพิเศษ โชคดีที่เรื่องราวนี้ถูกฝ่าบาทปกปิดเอาไว้มิดชิดจึงไม่มีผู้ใดกล้าปริปากเอ่ยถึงความผิดปกติของฮองเฮาในวันนั้น "ไปเร็ว รีบนำข้าไปชักช้าเสียเวลา" อาเหมียนเดินนำหลิวฉูฉู่ออกมาจากตำหนัก ด้านนอกในฐานะนางกำนัลขั้นสูงอาเหมียนได้ออกคำสั่งให้ตระเตรียมขบวนเสด็จเรียบร้อย หลิวฉูฉู่เห็นคนมากมายเช่นนี้จึงเอ่ยว่า "ข้าจะไปเงียบ ๆ ทำไมคนเยอะแยะแบบนี้" เธอยังไม่แน่ใจว่าตัวเองจะเป็นวิญญาณหรือเปล่า จึงไม่อยากให้คนติดตามมากมายเผื่อแสดงอาการประหลาดจะได้ไม่ถูกจับจ้องมากนัก "แต่ว่าขบวนเสด็จต้องมีผู้ติดตามขันทีสิบสองคน นางกำนัลรับใช้สิบคน ยังต้องมีนางกำนัลในตำหนักอีกทั้งหมดรวมสิบคน ทหารอารักขาอีกสิบคนนะเพคะ" หลิวฉูฉู่คิดวกวน คนมากขนาดนี้นับไปนับมาจะไม่ใช่เป็นร้อยเลยเหรอ จะบ้าไปแล้ว "อาเหมียน อารามหลวงประจำวังหลวงอยู่ไกลหรือไม่" "นั่งเกี้ยวไปฝั่งทิศเหนือ ห่างไปราวสองเค่อเพคะ" "สองเค่อก็ประมาณสามสิบนาทีสินะ ยังอยู่ในเขตวังหลวงทหารยามแน่นหนา ดังนั้นข้าไม่ต้องการนางกำนัลแค่เจ้าก็พอยังมีทหารอารักขาขอสองคนก็พอ ขันทีก็มีหนึ่งคนนอกนั้นไม่ต้องตามมา ข้าต้องการความสงบ" แน่นอนว่านางต้องพาคนทุกตำแหน่งไปด้วยเอาให้ครบทุกตำแหน่งแต่อย่างละคนก็เพียงพอแล้ว ท่าทางใคร่ครวญและยังมีลักษณะผิดแผกไปจากเดิมยิ่งทำให้คนใกล้ชิดเช่นอาเหมียนเป็นกังวล แต่ว่าฮองเฮาในยามนี้กลับทำให้อาเหมียนกล้าที่จะตอบคำถามและไม่หวาดกลัวเฉกเช่นเดิม ในเมื่อเป็นคำสั่งเด็ดขาดของฮองเฮาคนที่ตามมาทั้งหมดจึงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น หลิวฉูฉู่เดินไปขึ้นเกี้ยวที่เตรียมเอาไว้นางยังเปิดหน้าต่างบานเล็กเพื่อชื่นชมทัศนียภาพรอบพระราชวังโดยมีอาเหมียนเดินข้าง ๆ และคอยตอบคำถามที่ถามออกมาด้วยความอยากรู้อยากเห็นอันมากมายของหลิวฉูฉู่ คล้ายผู้ใหญ่ที่ตอบคำถามเด็กน้อยที่ช่างอยากรู้อยากเห็นผู้หนึ่ง อาเหมียนเองก็ตอบไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว อาเหมียนเป็นสาวใช้ของฮองเฮาตั้งแต่เด็ก กระทั่งเข้าวังก็ติดตามเข้ามาเป็นนางกำนัลคนสนิท แม้จะเคยถูกฮองเฮาตบตีทำร้ายร่างกายมาไม่น้อย แต่ฮองเฮาผู้นี้ก็ยกย่องอาเหมียนอยู่เหนือผู้อื่นเช่นกัน และตัวของอาเหมียนเองถึงที่ผ่านมาจะลำบากไม่น้อย ทว่าก็ยังจงรักภักดีกับนายผู้นี้ด้วยชีวิต ขบวนเสด็จของฮองเฮาผ่านไปอย่างเงียบเชียบแต่กลับชวนให้ผู้คนสงสัยว่าเหตุใดจึงลดคนที่ตามเสด็จมาเพียงไม่กี่คน ข่าวแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็วว่าอาจเป็นไปได้ว่าฝ่าบาททรงลงโทษฮองเฮาในเรื่องที่คนอื่นไม่รู้ จึงได้ลดพระเกียรติของนางลงมาให้ต่ำกว่าสนมขั้นเฟยเสียอีก โจวจื่อเหลียงบัดนี้กำลังอยู่ที่อุทยานหลวงอันเป็นสถานที่ฮองเฮาต้องเคลื่อนขบวนผ่าน ข้างกายเขามีพระสนมเฉียนกุ้ยเฟยคอยปรนนิบัติ ในขณะที่ใบหน้าเรียบเฉยนั้นกำลังอ่านตำราที่อยู่ในมือ เมื่อขบวนเสด็จของฮองเฮาเคลื่อนผ่านเข้ามาใกล้ โจวจื่อเหลียงจึงเงยพระพักตร์ขึ้นตรัสถามออกไปด้วยความสงสัย "นั่นมิใช่เกี้ยวของฮองเฮาหรือ เหตุใดคนติดตามจึงแทบไม่มีเช่นนั้น เจ้าไปดูเสียหน่อยไม่รู้ว่านางคิดสร้างเรื่องเรียกร้องอันใดอีก" ตงกงกงเงยหน้าขึ้นก่อนจะเอ่ยว่า "พ่ะย่ะค่ะ" ตงกงกงประเมินความคิดของฝ่าบาท แต่เดิมหากเห็นขบวนเสด็จของฮองเฮาต้องพยายามหลบเลี่ยงไม่พบหน้ามากที่สุด ครานี้ถึงกับให้เขาไปดูว่าฮองเฮาจะไปที่ใด ก่อนที่ตงกงกงจะก้าวขาโจวจื่อเหลียงก็เอ่ยขัดขึ้น "มิใช่ให้กงกงไปดูเฉย ๆ ต้องเชิญฮองเฮามาที่นี่เราต้องการสอบถามบางอย่าง" ตงกงกงยิ้มในดวงตา ฝ่าบาทของเขาถึงแสดงออกด้วยท่าทางเย็นชา ทว่ากลับเห็นชัดว่าใส่ใจฮองเฮาไม่น้อย ทว่าคำพูดนี้ของโจวจื่อเหลียงกลับทำเอาสตรีที่กำลังปรนนิบัติรินน้ำชาถวายอยู่ในยามนี้ถึงกับกำมือแน่น ฝ่าบาทดูจะเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้างามภายใต้เครื่องสำอางที่ค่อนข้างหนา กลับแสดงสีหน้าเป็นกังวลจนปิดไม่มิด ในยามนั้นที่นางตั้งใจแสดงความสนิทสนมจึงเอ่ยว่า "ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันนวดให้ดีหรือไม่เพคะ" โจวจื่อเหลียงยกมือขึ้นเป็นเชิงห้าม ปรนนิบัติน่ะได้ ทว่าเขาไม่ชอบให้ผู้ใดแตะต้องตัวโดยไม่จำเป็น "เฉียนกุ้ยเฟยไม่ต้องลำบาก" มือเรียวของเฉียนกุ้ยเฟยที่กำลังจะจับไหล่ของเขาจำต้องชะงักค้าง สองมือตกลงข้างกายกำหมัดแน่นด้วยความเสียใจ ทว่ายังเอ่ยอย่างอ่อนหวานด้วยอาการเชื่อฟัง "เพคะ" "นั่งลงเถิด" โจวจื่อเหลียงตรัสด้วยน้ำเสียงไร้คลื่นลม ถึงใบหน้าจะยังจับจ้องอยู่ที่ตำราในมือ ทว่าสายตาคู่คมกลับลอบมองไปยังขบวนเสด็จของฮองเฮาด้วยความสนใจใคร่รู้ ตงกงกงรีบไปขวางขบวนเสด็จทันใด "รับสั่งฝ่าบาททูลเชิญฮองเฮาไปที่ศาลาพักผ่อนพ่ะย่ะค่ะ" หลิวฉูฉู่ขมวดคิ้ว "อาเหมียนใครมาขวางทาง" อาเหมียนขยับกายเดินมาข้างเกี้ยว หลิวฉูฉู่เปิดม่านผ้าแพรเล็กน้อย "เป็นตงกงกงหัวหน้าขันทีของฝ่าบาทเพคะ ทูลเชิญให้ฮองเฮาไปที่ศาลาพักผ่อน ฝ่าบาทประทับอยู่ที่นั่นเพคะ" หลิวฉูฉู่คิดว่า ฝ่าบาทผู้นั้นช่างโผล่มาได้จังหวะเสียทุกที หายหน้าไปหลายวันกระทั่งเธอจะไปทำเรื่องสำคัญเขากลับมาขัดขวางเสียได้ หลิวฉูฉู่ขมวดคิ้วกัดฟันแล้วเอ่ยออกมาแผ่วเบา "นี่แหละเขาเรียกว่ามารผจญอย่างแท้จริง มารดากำลังจะได้ขึ้นสวรรค์บุตรเลวทรามผู้หนึ่งถึงกับกล้าขัดขวาง" ประโยคนี้ของหลิวฉูฉู่ อาเหมียนแทบลมจับด้วยกลัวว่าผู้อื่นจะได้ยินเข้า ไม่เช่นนั้นโทษที่ได้รับคงไม่พ้นถูกโบยหรือตัดหัวเป็นแน่ ที่กล้าลบหลู่ยังเรียกฝ่าบาทว่าบุตรเลวทรามเช่นนั้น ท่าทางของหลิวฉูฉู่เมื่อลงจากเกี้ยวตามคำเชิญของตงกงกงกลับตรงกันข้ามกับคำพูดอันหยาบกระด้างเมื่อครู่ อย่างไรเธอก็ยังคิดถึงเขาตอนมอบยาพิษให้ในอนาคต ดังนั้นตอนนี้หลิวฉูฉู่จึงต้องอ่อนน้อมให้มากหากคิดเพียงแต่จะใช้ไม้แข็งไม่อาจได้ประโยชน์อันใด หลิวฉูฉู่ลงจากเกี้ยวอย่างสง่างาม เสื้อคลุมกันลมของนางเป็นสีขาวกลืนไปกับหิมะ ทว่าน่าประหลาดที่กลับสามารถขับเน้นความผ่องใสงดงามของนางออกมาให้โดดเด่นได้ โจวจื่อเหลียงมองเห็นร่างบางสง่างามอยู่ไกล ๆ ยามนี้ถึงขั้นวางหนังสือลงและสายตาคู่นั้นกลับจับจ้องไม่วางตา เฉียนกุ้ยเฟยที่กำลังปอกส้มให้เขาอย่างเอาใจใส่เห็นท่าทางเหม่อลอยคล้ายกับตกอยู่ในภวังค์ของฝ่าบาทเช่นนั้นก็ได้แต่กล้ำกลืนน้ำตาลงคอ ฝ่าบาทมองฮองเฮาด้วยสายพระเนตรเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน เดิมทีเฉียนกุ้ยเฟยคิดว่าฝ่าบาทไม่มีหัวใจก็ช่างเถิด ขอเพียงพระองค์ไม่เกลียดนางเช่นเกลียดฮองเฮา และนางมีโอกาสใกล้ชิดฝ่าบาทมากกว่าผู้ใดสักวันหนึ่งฝ่าบาทคงจะเหลียวแลนางและข่าวเรื่องการปลดฮองเฮานับวันยิ่งหนาหู ฝั่งบิดาของนางก็ทำทุกทางที่จะส่งเสริมให้นางเป็นฮองเฮาคนต่อไป ที่ผ่านมาเฉียนกุ้ยเฟยจึงมีความหวังอยู่ในใจเสมอ ทว่าวันนี้จากสายพระเนตรของฝ่าบาทเช่นนี้ เฉียนกุ้ยเฟยพลันเริ่มหวาดกลัวฮองเฮาผู้นี้เสียแล้ว หลิวฉูฉู่เดินตามตงกงกงจนกระทั่งไปจนถึงศาลาที่ประทับ ยอบกายทำความเคารพอย่างนอบน้อม "ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท ขอฝ่าบาทอายุยืนหมื่นปี หมื่น หมื่น ปี" "ลุกขึ้นเถิด อยู่กันแค่นี้ไม่ต้องมากพิธี" "ขอบพระทัยเพคะ" ยิ่งมองใกล้ชิดเช่นนี้เรื่องบางเรื่องที่อยู่ในใจกลับยิ่งพอกพูนความสงสัย โจวจื่อเหลียงย่อมไม่เคยเห็นฮองเฮาแต่งกายเรียบง่ายเช่นนี้ อีกทั้งความสง่างามนี้มิได้คล้ายกับหลิวฉูฉู่คนเดิมที่เหมือนจะหยิ่งผยองไม่เห็นหัวใคร ความงามของหลิวฉูฉู่ที่อยู่ตรงหน้าเขายังแฝงไว้ด้วยความอ่อนหวานและการแต่งกายเรียบง่ายไร้เครื่องประดับวันนี้กลับขับเน้นความงามของนางให้เฉิดฉายยิ่งเสียกว่าทุกวัน ในขณะที่เฉียนกุ้ยเฟยเห็นความงามนั้นอย่างชัดเจนยิ่งทำให้ใจของนางเกิดความรู้สึกริษยา หลิวฉูฉู่ที่ใบหน้าไร้เครื่องสำอางแต่งแต้มนี้เหตุใดจึงได้ดูงดงามสูงส่งเยี่ยงนี้ โจวจื่อเหลียงสบเนตรงามที่มีความซุกซนอยู่ในนั้น หลิวฉูฉู่ยิ้มให้เขาดวงตาแป๋วคู่นั้นกลับทำให้หัวใจของเขาคล้ายกระตุกเล็กน้อย "ฝ่าบาทเรียกหม่อมฉันมามีสิ่งใดหรือเพคะ เผอิญว่าหม่อมฉันกำลังรีบ"
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD