“คุณทิเป็นห่วงอะไรหรือคะ”
จิรางค์ถามเสียงอ่อนโยน ความรักความผูกพันระหว่างพ่อลูกคู่นี้ ทำให้เธอนึกอิจฉาอยู่เงียบๆ ด้วยตัวเธอเองนั้นมีพ่อที่ยิ่งกว่าขาดความรับผิดชอบ
นอกจากไม่รับผิดชอบลูกเมีย ยังทำตัวเป็นภาระให้เมียเป็นฝ่ายหาเลี้ยงดูกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต
เธอไม่เคยลืมเสียงเอ็ดตะโรของพ่อขี้เมา หลายครั้งลงไม้ลงมือกับภรรยาเพราะไม่ได้ดังใจ เป็นต้นว่าไม่มีเงินให้ซื้อเหล้า
เธอคิดว่าตัวเองอาจจะตกนรกเมื่อตายไป ที่รู้สึกว่าพ่อแบบนั้นตายเสียได้ก็ดี
แต่ก็เป็นความจริง นับตั้งแต่พ่อที่ไร้ความรับผิดชอบจากไปชีวิตสองแม่ลูกก็ดีขึ้น ถึงแม้ว่ามารดาของเธอจะยังคงทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูส่งเสียบุตรสาวให้ได้รับการศึกษาสูงๆ แต่ท่านก็ไม่มีสีหน้าระทมทุกข์เช่นเมื่อครั้งยังมีสามีอยู่ร่วมบ้าน
จิรางค์พอจะรู้ตัวเองอยู่เหมือนกัน ประสบการณ์ในวัยเยาว์ที่มีพ่อขี้เมาขาดความรับผิดชอบ ทำให้เธอนึกรังเกียจผู้ชาย เป็นเหตุให้ตลอดวัยสาวกระทั่งอายุเลยสามสิบของเธอปราศจากเพศตรงข้ามโดยสิ้นเชิง เห็นว่าผู้ชายคือเพศที่เธอจะต้องหลีกลี้หนีให้ห่าง กระทั่ง...ได้เข้ามาทำงานที่รัตนกิจอุตสาหกรรม ในตำแหน่งเลขาประธานบริหารสูงสุด
เธอเขินใจทุกครั้งที่ความรู้สึกเกลียดชังผู้ชายถึงขั้นขยะแขยงไม่เพียงแต่จะลดน้อยไปจากใจ แต่แทบจะลืมความรู้สึกนั้นยามอยู่ใกล้นายจ้างวัยห้าสิบสามที่ดูหนุ่มแน่นกว่าอายุสักสิบปี
หน้าตาเข้มคมคายเสริมความดุดันด้วยเรียวหนวดเหนือริมฝีปากหยักได้รูป คือสิ่งแรกที่เธอสะดุดตา
ความสมาร์ทของรูปร่างสูงใหญ่ไหล่กว้างรวมถึงบุคลิกที่มีความเป็นผู้นำพึ่งพาได้ คือความเย้ายวนใจ
ทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้นายจ้าง ความรู้สึกอบอุ่นและโหยหาแปลกๆ มักจะเกิดขึ้นกับเธอ
ความรู้สึกที่เธอมีต่อนายจ้างวัยมากกว่ารอบครึ่งค่อนข้างแปลก
เธอรู้ว่าเขาเป็นพ่อที่ดีมากๆ อย่างที่น่าจะได้รับเหรียญรางวัลพ่อดีเด่นนั่นเลย แต่ก็ไม่ได้อยากได้เขามาเป็นพ่อ ความรู้สึกที่เธอมีต่อเขาออกจะห่างไกลความรู้สึกของลูกมีต่อพ่อ
ถึงปรารถนาจะได้รับความเอาใจใส่ อยากได้ความอบอุ่นจากเขา ก็เป็นความปรารถนาที่ต่างออกไป
เธออยากให้เขาทั้งกอดและจูบเธอ มอบความตื่นเต้น ปลุกความตื่นเร้าที่เต็มไปด้วยความดื่มด่ำเร่าร้อนลึกซึ้งแก่เธอ
ผู้ชายวัยเท่าเขาคงไม่ได้มีความชำนาญแต่เฉพาะในงานที่ทำอยู่ ประสบการณ์ด้านอื่นๆ ก็คงเชี่ยวชาญไม่แพ้กัน เป็นไปได้ว่าเขาจะเป็นนักรักที่ช่ำชองพอๆ กับความสามารถในการบริหารธุรกิจในฐานะประธานบริษัท
แค่นึกถึงมือหนาสีน้ำตาลลูบไล้ในลักษณะเล้าโลมเรือนกายเปล่าเปลือยเธออย่างผู้ชำนาญการ เธอก็เกิดอาการวาบหวามส่วนลึก แทบจะเสียดจุกแน่นในช้องท้องตามด้วยความเสียวซ่านยังจุดซ่อนเร้นกลางกายสาว
“คุณจิรางค์... คุณจิรางค์คะ”
หญิงสาววัยสามสิบเจ็ดสะดุ้ง
“เอ่อ คุณทิว่าอะไรนะคะ ดิฉันไม่ทันฟัง”
ถามตะกุกตะกัก เกรงเหลือเกินว่าตนจะแสดงพิรุธให้หญิงสาววัยอ่อนกว่ารู้กำลังคิดสิ่งใดอยู่
“นั่นแน่! ฝันถึงใครอยู่เอ่ย หรือว่ากำลังฝันถึงนัดสำคัญเย็นนี้คะ” ทิราภาทำเสียงล้อ
“นัดสำคัญ? อ๋อ ไม่มีหรอกค่ะ”
ปฏิเสธยิ้มๆ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าแก้มที่ร้อนวูบวาบจะไม่ก่ออาการหน้าแดงออกนอกหน้า
“ทิทราบว่าคุณจิรางค์ยังโสด แต่จะให้เชื่อหรือคะว่ายังไม่มีคนรู้ใจ”
“เพราะดิฉันก็อายุมากแล้วใช่มั้ยคะ” ถามยิ้มๆ
“แหม...ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ ทิแค่เห็นว่าคุณจิรางค์ออกสวย ถ้าไม่รู้อยู่ก่อนทิคงคิดว่าคุณจิรางค์เกิดก่อนทิไม่กี่ปี แล้วจะให้เชื่อหรือคะว่ายังไม่มีหนุ่มในดวงใจ”
“ก็ยังไม่มีจริงๆ นี่คะ”
ทิราภาทำหน้าสงสัย แต่ไม่กล้าถามต่อเพราะกลัวจะเป็นการละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวผู้อื่นจนน่าเกลียด
“เอาเถอะค่ะ จะพยายามเชื่อ ทิไปก่อนนะคะ รบกวนคุณจิรางค์นานละ”
จิรางค์ไม่ได้ทักท้วงที่อีกฝ่ายยังไม่ได้ให้คำตอบจากประโยคคำถามที่เธอถามออกไปก่อนตกอยู่ในภาวะใจลอย
ทิราภาเองก็ดูจะลืมไปว่าตนยังไม่ได้ตอบคำถามเลขาหน้าห้องของบิดา แต่ไม่ลืมเรื่องที่เพิ่งรู้มา
นึกไม่ออกจริงๆ ว่าบิดาไปรู้จักมักคุ้นรัฐมนตรีกลาโหมตั้งแต่เมื่อไหร่ ติดต่อกันในเรื่องใด
หากเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม หรือพาณิชย์ กระทั่งรัฐมนตรีต่างประเทศ จะไม่แปลกใจเลย แต่นี่เป็นกระทรวงที่ทำงานเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติเป็นหลัก
ยิ่งมีเวลาคิดความข้องใจก็ยิ่งมีเพิ่มขึ้น และความสงสัยนี้ก็นำมาซึ่งความรู้สึกว่ามีความไม่ชอบมาพากลที่ยังหาคำตอบไม่ได้
โดยเฉพาะในข้อสงสัยที่ว่า บิดาอาจจะเคยรู้จักชายหนุ่มตัวต้นเหตุความหงุดหงิดของเธอในระยะหลังๆ มานี้
นายเป็นใครกันแน่นายภานนท์?