ช้องนางหันไปตามเสียงทักจากด้านข้าง หนุ่มใหญ่รูปร่างสูงยืนยิ้มอยู่ใกล้ๆ เธอขมวดคิ้วแล้วใช้เวลาคิดถึงโครงหน้าคุ้นๆ นี่อยู่ราวๆ ครึ่งนาทีจึงอ้าปากกว้างร้องออกมา
“พี่หม่อน”
“ไม่ได้เจอกันแค่ปีเดียวจำกันไม่ได้เลยเหรอเนี่ย” มานพหัวเราะเบาๆ
“ก็ไม่เจอพี่หม่อนตั้งแต่รับปริญญานี่คะ” ช้องนางหัวเราะคิกคัก วงโคจรชีวิตของเธอทำให้ไม่ค่อยได้เจอพี่ชายของมาริสาบ่อยนัก “พี่หม่อนมาทำอะไรแถวนี้”
“ไปธุระมาทพี่ขี้เกียจขับรถเลยใช้รถไฟฟ้าแต่เมื่อกี้ลงบันไดผิดด้านเลยเดินมาทางนี้” มานพอธิบาย
“หนูนาเพิ่งแยกกับยัยเมี่ยงเมื่อครู่เองค่ะ”
“ใบเมี่ยงคงไม่อยากเจอพี่นักหรอก” มานพหัวเราะในลำคอ “แล้วนี่เราจะดูหนังเหรอ เรื่องอะไรละ”
“หนังอิหร่านค่ะ น่าสนใจดี” เธอชี้นิ้วไปที่โปสเตอร์ทำให้มานพสาวเท้าเข้ามายืนอ่านดูบ้าง
“น่าสนใจดี พี่ไมได้เข้าโรงหนังมา4-5 ปีแล้วมั้ง”
“พี่หม่อนจะดูไหมละคะ หนูนาดูเป็นเพื่อน”
“จริงเหรอ...ก็ดีซิ” มานพหัวเราะในลำคอแล้วมองเพื่อนของน้องสาวอย่างเอ็นดู “แล้วแฟนเรามาเห็นจะไม่เข้าใจผิดเหรอ”
“หนูนายังไม่มีแฟนค่ะ” ช้องนางอายหน้าแดงระเรื่อขึ้นมา “มีแต่คนที่แอบชอบ”
“จะแอบทำไม ชอบก็บอกเค้าไปซิ อย่าอยู่คนเดียวนานๆ แบบพี่เลย”
มานพลูบหัวช้องนางอย่างที่พี่ชายทำกับน้องสาว เพื่อนสาวสองคนของมาริสาทั้งช้องนางและเปมิกานั้นเขารู้จักเป็นอย่างดีและชอบในนิสัยของเพื่อนของน้องสาวด้วย แม้ว่าเขาจะเคยเจอทั้งสองไม่บ่อยนักแต่มาริสาจะเล่าเรื่องเพื่อนสองคนนี้ให้ฟังบ่อยๆ ทำให้เขารู้สึกสนิทสนมไปด้วย
“พี่หม่อนก็ไม่ได้แก่นี่ค่ะ หล่อจะตายไป” ช้องนางหัวเราะแล้วดูเวลา “ถ้าเราจะดูหนังเรื่องนี้ต้องรีบแล้วค่ะ”
“เอาซิ พี่ขอจ่ายค่าตั๋วเองนะ”
“ได้ซิค่ะ เรื่องแบบนี้หนูนาไม่เกี่ยงอยู่แล้ว”
ช้องนางดึงแขนใหญ่ของมานพให้เดินตามไปในโรงหนัง เธอเป็นลูกคนเดียวแถมยังต้องมาใช้ชีวิตคนเดียวในเมืองทำให้รู้สึกโดดเดียวและอิจฉามาริสาที่มีพี่ชายถึง 5 คน
มานพหลิวตามองมือน้อยๆ ที่เกาะแขนเขา หนุ่มใหญ่ส่ายหน้าไปมาเขาเข้าใจแววตาเหงาๆ ของช้องนางดีเพราะยืนมองอยู่นานแล้ว และเขาก็รู้สึกสัมผัสได้ถึงความเป็นน้องสาวที่ช้องนางมีให้เขาและเขาเองก็ไม่คิดเป็นอื่น แต่ก็เกรงว่าใครบางคนที่มองมาทางช้องนางจะคิดว่าเธอจับคนแก่อย่างเขานะซิ
ชายหนุ่มผอมบางยืนมองสองหนุ่มสามต่างวัยเดินหายลับตาไปในโรงหนังแห่งหนึ่ง หัวใจของนริศมีอาการแปลกๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมา เขาไม่เคยช้องนางสนิทสนมกับผู้ชายคนไหนเป็นพิเศษถึงขนาดจับมือถือแขนแบบนี้ มันเป็นเรื่องบังเอิญที่เขาตั้งใจมาชมหนังอาร์ตแต่ไม่คิดว่าจะได้เจอช้องนาง เขาคิดจะไปชวนเธอดูหนังด้วยกันแต่บังเอิญเธอไปกับหนุ่มใหญ่คนนั้นแล้ว
“เรารักใครไม่ได้อีกแล้ว...จำไม่ได้หรือไงนะ”
นริศบอกกับตัวเองเบาๆ แล้วหมุนตัวเดินจากมาโดยไม่สนใจจะดูหนังเรื่องที่อยากดูแม้ตั้งใจจะมาดูเต็มที่ 3 ปีก่อนคนรักของเขาเดินทางไปศึกษาต่อที่เยอรมันแรกๆ ก็ติดต่อทั้งทางเมล์,โทรศัพท์และโปสการ์ดแต่เพียง 6 เดือนเท่านั้นเธอก็เงียบหาย แม้จะได้ข่าวจากเพื่อนๆ ว่าเธอสบายดีแต่เธอไม่พร้อมจะติดต่อเขา เขาเพียรพยายามถามหาเหตุผลแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ มีเพียงแค่ประโยคเดียวที่เขาทิ้งไว้ให้เธอ
‘ผมจะรอคุณตลอดไป’
เขารู้ว่าเด็กรุ่นน้องที่ชื่อช้องนางแอบรักเขา แต่เขาก็ไม่ต้องการผิดสัญญากับคนรักแม้จะเป็นสัญญาที่ไม่อาจหาจุดสิ้นสุดของคำสัญญาและเต็มไปด้วยความปวดร้าวทุกครั้งที่คิดถึง แต่เขาก็ยอมรับว่าที่ได้มองเห็นช้องนางคือความอุ่นในใจเดียวที่เหลืออยู่ แม้จะรู้ดีว่า...ในสักวัน...เธอก็คงมีคนของเธอ
ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บร้าวในหัวใจ นริศแหงนหน้ามองรางรถไฟฟ้าเขาหวังเจอดวงดาวเล็กๆ เพื่อนำทางหัวใจแต่กลับไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความสับสน
เขาไม่แน่ใจว่าควรรักษาคำสัญญานั้นไว้ หรือคว้าความรักใหม่ตรงหน้าไม่ให้หลุดลอย
ไฮโซขาชอปฯ...บอกแหล่งของถูก!!!
ยุคเศรษฐกิจรัดเข็มขัด ของดี ราคาถูก ใครล่ะ..จะไม่สนใจ ยิ่งเป็นสินค้าแบรนด์ดัง แต่ยังอยู่ในสภาพดีในราคาสุดถูก พอถึงฤดูกาลเซลส์แม้จะไกลเพียงไหน แต่ไฮโซน้อย-ใหญ่ต่างไม่ยอมพลาดยังตามไปจับจองให้จงได้..ลองมาดูกันสิว่า สาวๆ นักชอปทั้งสี่คนนี้มีแหล่งชอปของถูกในดวงใจที่ใดกันบ้าง
“ส่วนใหญ่จะไปชอปปิงต่างประเทศเฉลี่ยปีละครั้ง เพราะสินค้าหลายอย่างมีราคาถูกกว่าเมืองไทย ปกติไป ‘อเมริกา’จะเอ็นจอยมากเลยยิ่งเป็นช่วงเอาท์เล็ตทั้งซุปเปอร์สโตร์จะเป็นของเซลส์ทั้งหมดเลย ถูกมาก และมีแบรนด์ดังๆ มาเซลส์ทุกแบรนด์เลย เสื้อผ้าสวย คุณภาพดี เคยซื้อชุดราตรีมาชุดหนึ่งกี่ปี กี่ปีก็ยังใส่ได้ ไม่ล้าสมัย เพราะเวลาซื้อจะเลือกแบบกลางๆ ไม่หวือหวามาก ไม่ต้องนำสมัยมากก็จะใช้ได้เรื่อยๆ ถ้าตัวคนใส่รักษารูปร่างให้คงที่ เพราะเนื้อผ้ายังดี และแบบก็ไม่เชย ส่วนชุดทำงานปกติแต่งเรียบๆ เน้นใส่ชุดสูท เวลาเลือกซื้อก็เน้นสีสันให้ดูเรียบแต่สมาร์ท สีสันให้เป็นโทนสุภาพ ดังนั้นเวลาซื้อเสื้อผ้ามาแต่ละครั้งก็สามารถใส่ได้นาน
สำหรับแหล่งชอปปิงในฝันเห็นจะเป็น 'อเมริกา' หรือ 'มิลาน' เฉลี่ยปีหนึ่งจะไป3-4 ครั้งเป็นเพราะมีบ้าน และมีญาติสามีอยู่ที่อเมริกา ติ๊กบอกว่า 'ส่วนมากจะไปเอาท์เล็ต (outlet) เพราะของจะถูกมาก เวลาเซลส์ก็จะเซลส์จริงๆ คนชอปปิงจริงๆ ส่วนมากจะชอปที่เมืองนอก เพราะของถูกมาก แต่ก็ขึ้นอยู่กับซื้อของชิ้นไหน ในคอลเลกชันใดด้วย เช่นบางชิ้น บางคอลเลกชันอาจไม่มีเซลล์ที่ในเอาท์เลตที่อเมริกาก็คงต้องซื้อที่เมืองไทย แต่ถ้าคนไปเดินบ่อยจริงๆ จะรู้ว่าเอาท์เลตสินค้าแบรนด์เนมที่ต่างประเทศของถูกมาก ส่วนการใช้จ่ายก็จะผ่านบัตรเครดิตเพราะสะดวกค่ะ แต่เดี๋ยวนี้ต้องระวังเรื่องโจรกรรมข้อมูลบัตรเครดิตให้มากขึ้นเป็นเท่าตัวค่ะ”
มาริสานั่งอ่านข้อความจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นข้อมูลที่เปมิกาส่งมาให้ทางอีเมล์แล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ที่สาวหมวยส่งมาให้ จะว่าไปต่อให้ไม่ใช่ไฮโซก็มีวิธีการช้อปปิ้งไม่ต่างกันนักหรอก แต่เธอคงไม่ถึงขนาดบินไปเมืองนอกเมืองนาเพื่อช้อปฯ เท่านั้นหรอก แต่ถ้าบังเอิญไปช่วงที่กำลังมีลดราคากระหน่ำก็ไม่แน่ หญิงสาวเลือกโปรแกรมงานของตัวเองขึ้นมาเพื่อตรวจสอบใบเสนอราคาที่เตรียมไว้เพื่อส่งให้พี่ชายสุดเฮี้ยบ เธอเปิดอีเมล์ส่งงานเสร็จแล้วจึงลุกขึ้นบิดตัวไปมาไล่ความขี้เกียจออกไป ใบหน้าหวานระบายยิ้มอย่างอารมณ์ดีที่เห็นงานชิ้นต่อไปรออยู่
‘งานไม่ได้เงินเนี่ย! ชอบนักแหละ!!’
มาริสากดปุ่มบนคอมพิวเตอร์เพื่อให้เสียงเพลงคลอเบาๆ ขณะที่เดินไปหยิบกล้องถ่ายรูปดิจิตอลราคาสี่หมื่นกว่ามาถ่ายรูปข้าวของที่เธอคัดไว้บริจาคให้คุณเนย-สัตวแพทย์สาวหน้าละอ่อนเสื้อผ้าเกือบยี่สิบชุดถ่ายรูปไปก่อนหน้านี้แล้ววันนี้เป็นคิวของเครื่องประดับและของที่ระลึกกุ๊กกิ๊ก ‘เที่ยว?’
‘หมายถึงเดินทางนะคะ ไม่ใช่ไปเที่ยวกลางคืนอะไรทำนองนั้น’
มาริสานึกถึงเรื่องที่คุยกับเอกราชเมื่อสามหรือสี่วันที่ผ่านมา ใจจริงเธอก็ไม่อยากใช้ชีวิตลอยไปลอยมาแบบนี้นักหรอก แต่ก็เพราะพี่หม่อนนั้นแหละที่ทำให้เธอไม่อยากทำอะไรเลย เธอไม่ค่อยชอบวิธีจัดการชีวิตคนอื่นเสร็จสรรพแล้วคิดเองเออเองว่ามันจะต้องดีเสมอไป เธอก็อยากมีวิถีทางเดินของตัวเอง เธอเห็นพี่ชายเครียดเรื่องงานกับตัวเลขเป็นสิบๆ ล้านก็ทำให้เธอเหนื่อยใจแทน