“ใครกันที่กล่อมให้ใบเมี่ยงกลับบ้านได้นะ” นริศเอ่ยปนหัวเราะน้อยๆ ดูเป็นผู้ชายอบอุ่นจนช้องนางไม่กล้าสบตาด้วยจึงชี้ไปทางเปมิกา
“อย่ามาโบ้ยกันแบบนี้ซิ” เปมิกาโบกไม้โบกมือไปมา “ผีเข้ายัยใบเมี่ยงแล้วละมั้ง...เฮ้อ...อุตส่าห์จะมาคุยเรื่องงานด้วยหน่อย”
“ปล่อยให้ทำใจไปสักพักเดี๋ยวก็กลับมาร่าเริงได้เองแหละ” ช้องนางเสริม
“แล้วนี่จะทำยังไงต่อครับ” นริศหันมาถามแต่หญิงสาวหลบตาวูบทันที
“ก็ตอนแรกว่าจะออกไปหามื้อเย็นกินแต่ตอนนี้เหลือแค่สองคนเอง” เปมิกาหรี่ตามองเพื่อนรักสลับกับหนุ่มรุ่นพี่ไปมา “พี่นริศอยู่ร้านทั้งวันไม่เมื่อยบ้างเหรอคะ อยากออกไปข้างนอกไหมเดี๋ยวหมวยเล็กเฝ้าร้านให้เอง”
“จริงเหรอ พี่ว่าจะออกไปหาข้าวกินอยู่เหมือนกัน”
เปมิกาพยักหน้าแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ “ก็ไปซิพี่แต่พี่นริศต้องพาหนูนาไปด้วยนะ ยัยนี่ก็ยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลย”
“ยัยหมวยเล็ก” สาวมั่นที่ไม่มีความมั่นในเรื่องความรักหันมาทำเสียงดุใส่แต่เปมิกาหยักไหล่
“น้องหนูนา...ไปกินข้าวเป็นเพื่อนพี่สักครึ่งชั่วโมงได้ไหม” นริศถามเหมือนเอ่ยชวน
“ไปสักชั่วโมงก็ได้ค่ะ” เปมิกายุส่ง
นริศหันมาขอบใจเปมิกาอีกครั้งก่อนถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้วพยักหน้าเป็นเชิงเรียกช้องนางให้เดินตามออกไป ช้องนางแยกเขี้ยวใส่เพื่อนซี้ก่อนคว้ากระเป๋าสะพ่ายแล้วเดินตามแผ่นหลังกว้างออกไป
“แล้วแกจะต้องขอบใจฉันยัยหนูนา” เปมิกาหัวเราะเสียงใสก่อนหันกลับมาดูหน้าจอโน้ตบุ๊กของตัวเอง งานใหม่ชุดนี้ยังไงก็ต้องเอาคุณหนูเมี่ยงมาช่วยงานให้ได้
มาริสาเดินมาที่รถของตัวเองอย่างเหนื่อยๆ การเป็นคนไม่มีงานประจำทำนี่มันเหมือนช่างเหมือนอาชญากรยังไงไม่รู้ ขณะที่กำลังจะไขกุญแจรถของตนเองเธอก็ได้ยินเสียงร้องครางเบาๆ จากบริเวณหลังรถ ทำให้มือเรียวชะงักและเอียงหูฟังอย่างตั้งใจ
“เสียงลูกหมาที่ไหนเนี่ย” มาริสาเดินตามเสียงน้อยๆ ที่ได้ยินก้มๆ เงยๆ แถวบริเวณหลังรถซึ่งเป็นกองขยะย่อมๆ แล้วสายตาของเธอก็บังเอิญไปเจอน้องหมาสีน้ำตาลมอมแมมในกล่องกระดาษใบหนึ่งเข้าให้
“หมาถูกทิ้งอีกแล้วเหรอเนี่ย”
หญิงสาวอุ้มขึ้นไว้ในอกอย่างไม่สนใจว่ามันจะเลอะเทอะเปรอะเปื้อนยังไง เธอเหลียวซ้ายแลขวาหวังว่าจะเจอแม่หมาหรือไม่ก็มีร่องรอยของเจ้าของเดิม แต่เมื่อไม่เจออะไรสักอย่างเธอจึงอุ้มลูกหมาไปถามรปภ.ที่อยู่ใกล้ๆ ทันที
“คงมีคนเอาลูกหมามาทิ้งละมั้งครับ เฮ้อ...นี่ติดป้ายห้ามทิ้งขยะแล้วยังมีคนเอามาทิ้งอีกนะเนี่ย”
‘จะบ้าเรอะ! นี่หมานะเฟ้ย ! ไม่ใช่ขยะ!!’
มาริสาอ้าปากค้างกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ไม่กล้าโวยวายเพราะรปภ.ตัวใหญ่หน้าดุทำให้เธอได้แต่สงบปากสงบคำไว้
“พี่แน่ใจนะว่าไม่เห็นแม่หมาแถวๆ นี้”
“แน่ใจครับ คุณจะเอาไปเลี้ยงก็ได้นะครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
มาริสาถอยออกมาพร้อมลูกหมาในอ้อมอก เธอก็อยากเลี้ยงอยู่หรอกแต่อยู่คอนโดเลี้ยงสัตว์ไม่ได้ หญิงสาวเดินกลับมาที่รถของตัวเองเมื่อเปิดประตูรถแล้วก็พาน้องหมาสีน้ำตาลไปนั่งข้างๆ เบาะคนขับก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาพี่ชายคนกลางอีกคน
“พี่หมอก...เมี่ยงเจอลูกหมาอ่ะ” เธอกรอกเสียงทันทีที่มีคนรับสาย “เดี๋ยวใบเมี่ยงเอาไปฝากให้พี่หมอกดูแลมันหน่อยนะ”
“อีกแล้วเหรอเมี่ยง” ปลายสายทำน้ำเสียงเหนื่อยใจแต่ไม่ปฏิเสธ “รีบมาก็แล้วกัน พี่กำลังจะไปรับเนยมากินข้าว”
“ไม่ต้องออกไปไหนแล้วละ อีกครึ่งชั่วโมงเจอกันที่บ้านพี่หมอกเลยนะ”
มาริสาวางสายอย่างรวดเร็วไม่สนใจว่าพี่ชายจะบ่นอะไรหรือเปล่า เอาเถอะ! หาเรื่องไม่เข้าคอนโดแบบนี้แหละ ช่วยยืดชีวิตออกไปได้ดีที่สุด หญิงสาวสบตาเจ้าหมาน้อยอีกครั้งแล้วเคลื่อนรถออกไปที่จุดหมายใหม่ทันที เธอโดยไม่รู้ว่ามีสายตาคมเข้มคู่หนึ่งจ้องมองเธอตั้งแต่ที่เธออุ้มลูกหมาน้อยนั่นแล้ว
...........................
ชายหนุ่มถอดแว่นกันแดดออกเผยใบหน้าและดวงตาคมเข้มแต่มีแววอ่อนโยน มุมปากยกยิ้มอย่างไม่รู้ตัว เพียงแค่เขาเห็นหญิงสาวแปลกหน้าอุ้มลูกหมามอมแมมตามหาเจ้าของหมาน้อยตัวนั้นโดยไม่สนใจว่าเสื้อผ้าตัวเองจะเปื้อนเปรอะแค่ไหน
“คุณชายครับ...คุณชายศิริชัช”
เจ้าของชื่อถอนหายใจหนักๆ ก่อนหันไปตามเสียงเรียกด้านหลัง เขามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของคนสนิทที่รู้คุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็ก ความซื่อสัตย์คือคุณสมบัติโดดเด่นของชายผู้นี้และมันทำให้เขาโกรธเคือง ‘ธนา ใจใส’ ไม่ลง
“ขออภัยที่ทำให้คุณชายต้องรอนาน...เป็นความผิดของผมที่สะเพร่านำกระเป๋าเดินทางของคุณชายมาไม่ครบ”
“ถ้าฉันจะโกรธนายก็ไม่ใช่เรื่องกระเป๋าหรอก” ชายหนุ่มส่ายหน้าไปมาแล้วยื่นมือไปตรงหน้า อีกฝ่ายมองฝ่ามือนั่นอย่างฉงน “เอากุญแจรถมา ฉันจะขับรถกลับบ้านเอง”
“ไม่ได้นะครับ” ธนาถอยหลังหลบทันที “ถ้าคุณหญิงทราบผมต้องโดนเล่นงานแน่ๆ “
“ก็อย่าให้ทราบก็สิ้นเรื่อง”
เขาก้าวไปฉวยกุญแจรถในมืออย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มเดินนำไปที่รถของเก๋งคันหรูที่จอดโดดเด่นอยู่ในบริเวณนั้น ธนารีบก้าวตามอย่างรวดเร็วแต่ก็ช้าเกินไปเมื่อผู้เป็นนายก้าวไปนั่งที่ฝั่งคนขับแล้ว เขาจึงรีบวิ่งอ้อมรถไปนั่งที่เบาะข้างๆ คนขับ
“ใกล้ๆ ถึงบ้านแล้วจะให้ขับเอง” ชายหนุ่มเอ่ยปนหัวเราะ เมื่อรถเคลื่อนออกไปแล้วเขาจึงผิวปากเป็นเพลงอย่างสบายอารมณ์ไม่สนใจคนข้างๆ ที่นั่งหน้าซีดอยู่
“อย่ากังวลนักเลย...ฉันเคยเป็นยังไงก็ยังคงเป็นอย่างนั้น แล้วนี่มันยุคไหนสมัยไหนแล้ว”
“แต่ว่าหม่อมเนตรนภา...”
“นั่นมันเรื่องของหม่อมแม่...เอาเป็นว่าเวลาอยู่กับฉันเราเสมอภาคกัน เป็นเพื่อนกันอย่างที่เคยเป็นมานั้นแหละ”
“ครับ ท่านชาย”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูงข้างหนึ่งแต่ไม่อยากละสายตากับถนนตรงหน้าจึงทำได้แค่ถอนหายใจหนักๆ ‘ศิริชัช ศรีทรงวัฒน์’ แต่เขาได้ยินใครต่อใครเรียก ‘คุณชาย’ มาตั้งแต่จำความได้จนคิดว่ามันเป็น ‘ชื่อเล่น’ของเขาไปแล้ว 15 ปีที่แล้วเขาจากประเทศไทยไปใช้ชีวิตที่ลอนดอนกับญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง นานๆ ทีถึงจะกลับมาเยี่ยมเมืองไทยสักครั้งและแต่ละครั้งก็ไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำแทบจะไม่มีใครรู้จักหน้าตาเขาด้วยซ้ำไป รู้เพียงแต่หม่อมเนตรนภา มีบุตรชายที่สืบสายโลหิตเพียงคนเดียวคือคุณชายศิริชัช ศรีทรงวัฒน์
แต่ศิริชัชไม่เหมือนคนอื่นเขาไม่เคยชื่นชอบยศถาบันดาศักดิ์ที่มีมาตั้งแต่เกิด หลายต่อหลายคนเข้ามาทำตีสนิทเพราะหวังผลประโยชน์กับเขา แต่สำหรับ ‘ธนา’ แม้จะเป็นลูกชายของ ‘แม่วรรณ’ แม่บ้านที่ดูแลความเรียบร้อยในคฤหาสน์ ธนาอายุมากกว่าเขา 3 ปี แต่ถูกเลี้ยงดูในฐานะผู้ติดตามดูแลเขาตั้งแต่จำความได้ ธนาถอดนิสัยแม่วรรณมาเต็มๆ ทั้งอ่อนโยนและซื่อสัตย์ไม่เคยมีปากมีเสียงจนบ้างทีเขาก็นึกว่าธนาเป็นใบ้ ช่วงที่ไปเรียนเมืองนอกธนาก็คอยติดตามไปด้วย แต่เมื่อปลายปีที่แล้วแม่วรรณไม่สบายมากจนธนาต้องกลับมาดูอาการ เพราะความเป็นห่วงเขาจึงสั่งให้ธนาอยู่ที่เมืองไทยดูแลแม่วรรณไม่ต้องกลับมารับใช้เขาอีก แน่นอนว่าหม่อมเนตรนภาคัดค้านแต่เขาเห็นว่าเป็นโอกาสเดียวที่เขาจะได้ใช้ชีวิตอิสระอย่างแท้จริง
“เมื่อครู่ท่คุณชายมองอะไรอยู่หรือครับ”
“นายว่าอะไรนะ”
ศิริชัชตื่นจากภวังค์ รถราที่มากมายบนท้องถนนทำให้เริ่มหงุดหงิดขึ้นมานิดๆ ถนนในกรุงเทพฯ นี่ไม่เหมาะกับการขับรถเลยจริงๆ ต่อให้มีรถหรูราคาแพงแค่ไหนก็ติดแหงกบนถนนเหมือนๆ กันหมด
“ผมหมายถึงตอนที่คุณชายเดินมาที่ลาดจอดรถครับ”
“ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอก” เขาเผลอยิ้มออกมาเมื่อถึงหญิงสาวที่อุ้มลูกหมาน้อยตัวนั้น “ว่าแต่ธุระของนายเรียบร้อยดีนะ”
“ครับ...ถ้าผมไม่ลืมของที่สนามบินก็คงไม่ต้องให้ท่านชายนั่งรออยู่อย่างนั้นหรอก” ธนานึกโทษความสะเพร่าที่ไม่ค่อยเป็นบ่อยนัก
“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรนี่” เขายักไหล่ไม่ใส่ใจ “ฉันดันกลับบ้านเร็วกว่ากำหนดสองเดือนเอง แต่ก็ขอบใจที่นายอุตส่าห์มารับนะ”
“ไม่ใช่แค่สองเดือน แต่ตั้ง2 เดือนต่างหากครับ” ธนาพูดแก้พลางถอนหายใจหนักๆ เมื่อคิดถึงความโกลาหลที่จะเกิดขึ้นเมื่อกลับไปถึงคฤหาสน์ “หม่อมเนตรนภาเตรียมจัดงานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของคุณชายอย่างใหญ่โต ถ้าเห็นหน้าคุณชายตอนนี้คง...”
“แต่ตอนนี้หม่อมแม่ก็ไปเชียงใหม่อยู่ไม่ใช่เหรอ...อีกหลายวันกว่าจะกลับ...แล้วนายทำตามที่ฉันสั่งหรือเปล่า”
“ครับ...นอกจากท่านชายใหญ่กับแม่ของผม ผมก็ยังไม่ได้บอกใคร...”
“ดีแล้ว...ท่านพ่อหน่ะเข้าข้างฉันอยู่แล้ว”
ชายหนุ่มวัยยี่สิบห้ายิ้มเจ้าเล่ห์ เขารู้ดีว่าตัวเองมีภาระหน้าที่มากแค่ไหนที่ต้องรับผิดชอบ แต่ก็ขอเวลาสนุกกับชีวิตอีกสักหน่อยเถอะ!