เซียวเหมย
ข่าวสะเทือนขวัญภายในเมืองหังโจวถูกเล่าปากต่อปากจนมาถึงหูคุณหนูฟาง เพียงวันเดียวหลังจากเกิดเรื่องชนชั้นคหบดีภายในเมืองต่างทราบว่า บุตรชายคนโตสกุลหวังตระกูลค้าแพรพรรณถูกทำร้ายจนความเป็นชายขาดกระเด็น
ไม่ต้องรอให้ถึงวันแต่งงาน ฟางถิงเอ๋อที่ดีใจจนกระโดดโลดเต้น ก็ลอบเข้าไปในห้องคนรับใช้เซียวเหิง ปล่อยให้มันข่มเหงรังแกตามใจชอบแล้ว
คฤหาสน์ตระกูลหลี่
หลี่หงนั่งอ่านบันทึกการเดินรถที่แม่เล้าเหมยนำมามอบให้วันก่อน ร้านรถขนส่งสกุลฟางเป็นกิจการขนส่งทางบกที่ใหญ่ที่สุดในเมืองแห่งนี้
โดยทั่วไปหากพ่อค้าคิดจะส่งสินค้าขึ้นเหนือหรือลงใต้ มักจะใช้บริการร้านรถม้าสกุลฟาง เนื่องจากที่นี้ไม่เพียงมีรถม้าให้บริการ หากแต่ยังไม่ต้องเสียเงินสองต่อจ้างผู้คุมกันสินค้า นั่นเพราะร้านขนส่งสกุลฟางมีผู้คุ้มกันพร้อมทั้งประกันสินค้าสูญหาย
“น้องรอง เจ้าจัดคนของเราไปดักซุ่มตามนี้”
หลังจากอ่านอยู่นานสองนาน หลี่หงเขียนแผนที่แผ่นหนึ่งส่งให้บุรุษที่นั่งรออยู่ข้างๆ
หลังจากส่งคนในห้องจากไป หลี่หงจึงเดินออกทางประตูด้านหลังคฤหาสน์ มันไม่แม้แต่ใช้รถม้าก็เดินรัดเลาะถึงบ้านเล็กๆ หลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านตนเองเท่าใด
***
สกุลฟาง
เนื่องจากหวังซานสูญเสียความเป็นชาย นายท่านหวังจึงส่งฮูหยินฟางไปขอเจรจายกเลิกการหมั้นหมายถึงตระกูลหวัง ความจริงสองตระกูลสนิทกันมานาน แม้จะรู้สึกผิดที่ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน แต่อีกฝ่ายกลายเป็นขันทีไปแล้วเช่นนี้ ฮูหยินฟางยังไม่ใจร้ายพอจะให้บุตรสาวคนเดียวแต่งออกไป
ภายในห้องหนังสือของฟางถิงเอ๋อ
โต๊ะที่สมควรวางหนังสือแท่นหมึกพู่กัน ยามนี้กลับนอนแผ่ด้วยหญิงสาวนางหนึ่ง หลายวันมานี้นางอารมณ์ดีขึ้นมาก ดังนั้นชีวิตความเป็นอยู่ของเซียวเหิงจึงดีขึ้นไปด้วย
“พั่บ พั่บ พั่บ”
คุณหนูฟางนอนมองหน้าชายชู้ที่กัดฟันแน่นโยกกายเข้าออกรูร่องเล็กๆ ของนาง นางแอบรักกับเจ้าผู้นี้มาตั้งแต่นางยังตัวเล็กๆ ตอนนั้นมารดายกเรือนหลังนี้ให้นางย้ายมาอยู่คนเดียวครั้งแรก นางก็พบเจ้าผู้นี้ทำงานอยู่ในเรือนก่อนแล้ว
“เจ้าหันหลังหน่อยสิ”
คุณหนูฟางทำตามคำของ นางค่อยๆ พลิกตัวใช้เท้าทั้งสองยืนบนพื้นไม้เย็นเฉียบ เนื่องจากนางไม่ได้ใส่รองเท้า ความเย็นจึงทำให้นางทรมานอยู่บ้าง
“สวบ!”
“พั่บ พั่บ พั่บ”
นางยังไม่ทันได้ตั้งตัวดีเท่าไร ชายหนุ่มที่ด้านหลังก็รีบกระแทกเข้ามาจนเสียหลักนอนฟุบลงไปบนโต๊ะ
“โอ้ย! ช้าๆ หน่อยไม่ได้รึไง เจ้าจะรีบไปไหน?”
“เพี๊ยะ!”
ไม่มีเสียงตอบรับจากชายด้านหลัง มีเพียงฝ่ามือที่ฟาดลงมายังบั้นท้ายนางอย่างแรง
ขณะที่ทั้งสองกำลังมีความสุขอยู่ในห้องหนังสือ เวลาเดียวกันนั้นเอง ที่หอนางโลมก็มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น
***
“ท่านหายไปสิบกว่าปี พอกลับมาก็ขอให้เราช่วยนั่นช่วยนี่ คนไร้น้ำใจท่านยังมีหน้าพูดคุยกับเราอีกหรือ”
แม่เล้าเหมยดิ้นดุ๊กดิ๊กอยู่ในวงแขนชายเคราครึ้มผู้หนึ่ง บุรุษตรงหน้าหายไปหลายปีไม่เคยซักครั้งที่จะส่งข่าวกลับมา วันนี้พอมาถึงก็ฉุดกระชากนางเข้ามาในห้องๆ หนึ่ง ที่ผ่านมานางเลิกรับแขกหลายปีแล้ว เจ้าผู้นี้กลับคิดใช้กำลังข่มเหงรังแกนาง
“ท่านปล่อย! ตอนนี้เราไม่รับแขกแล้ว”
“เจ้าช่วยข้าเถอะนะ เรื่องนี้สำคัญมาก หากทำสำเร็จข้าจะได้มาหาเจ้าได้บ่อยๆ”
หลิวข่ายผลักนางลงบนเตียง มือไม้ก็พยายามถอดกางเกงในนางออก มันรู้จักนางดี หญิงผู้นี้แม้จะแข็งกร้าวไปบ้าง หากยามใดที่ได้รับแท่งเอ็นอุ่นๆ จนพอใจ ไม่ว่าขออะไรนางยินยอมช่วยเหลือทุกเรื่อง
ความจริงเซียวเหมยเองก็ไม่ได้รักนวลสงวนตัวอะไร ไม่เช่นนั้นนางคงไม่เป็นนางคณิกามายี่สิบกว่าปี เพียงแต่ตอนนี้นางไม่ได้รับแขกเหมือนเมื่อก่อนแล้ว หากนางไม่ยินยอมไม่ว่าผู้ใดก็เข้ามาในกายนางไม่ได้
“เจ้าอย่าดิ้นสิ ไม่ใช่เมื่อก่อนยอมให้ข้าจับพลิกคว่ำพลิกหงายเล่นง่ายๆ หรือ”
หลิวข่ายพยายามใช้มือถ่างขาทั้งสองข้างของนางออก แต่เซียวเหมยเป็นตายยังไงก็ไม่ยินยอม ทีแรกนางเพียงแค่ดินรนขัดขืน หากแต่ตอนนี้นางทั้งจิกทั้งข่วน
“เพี๊ยะ!”
เสียงฝ่ามือฟาดลงยังใบหน้านาง แม่เล้าเหมยเซถลาไปตามแรงมือ
“นางแพศยา เจ้ามันก็แค่โสเภณีคิดว่าตัวเองเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ในห้องหอรึไง”
หลิวข่ายด่าท่อหญิงที่ฟุบอยู่บนเตียงอีกหลายคำ เพียงแต่มันไม่คาดคิดว่าฝ่ามือที่ตบลงมายังใบหน้าโสเภณีนางหนึ่งจะทำให้มันต้องนึกเสียใจไปชั่วชีวิต
จางอี้ความจริงกำลังหอบเสื้อผ้าของเหล่าคณิกาในหอเพื่อนำออกไปไว้ที่โรงซักล้าง จู่ๆ มันได้ยินเสียงแม่เล้าเซียวทุ่มเถียงอะไรบางอย่างอยู่ในห้องๆ หนึ่ง
ด้วยความเป็นห่วงจางอี้จึงแอบเจาะรูดูความเคลื่อนไหวภายในห้อง ความจริงมันคิดว่าบุรุษผู้นั้นคงเป็นชายชู้คนใดคนหนึ่งของนาง เรื่องนี้ไม่ทำให้มันแปลกใจ ขณะกำลังจะจากไป ชายเคราครึ้มผู้นั้นพลันใช้กำลังปลุกปล้ำ จางอี้ได้แต่กันฟันมองดูนายหญิงของตนถูกเจ้าผู้อื่นข่มเหงรังแก
จริงๆ มันตั้งใจจะเดินหนีไปแล้วแท้ๆ แต่ฝ่ามือที่ฟาดใส่ใบหน้าหญิงที่ตนแอบรัก ต้องทำให้สติของมันขาดสะบั้น จางอี้ยามโกรธแค้นสุดขีด เพียงคว้ากระถางต้นไม้ที่ตั้งอยู่หน้าห้อง จากนั้นก็พังประตูเข้าไปด้านใน
เซียวเหมยหลังจากถูกตบนางก็สลบไปครู่หนึ่ง เมื่อได้สติกลับมา นางพบว่าขาของตนกำลังถูกจับถ่างออก โดยมีอะไรบางอย่างกำลังดุนดันเข้ามาในกายนาง
“พั๊ว!”
ขณะกำลังจะดิ้นรนผลักไสเจ้าสิ่งนั้นออกไป นางต้องตกใจสุดขีดเมื่อมีกระถางต้นไม้อันหนึ่งหวดลงมายังศีรษะบุรุษที่กำลังข่มเหงรังแกนาง เศษดินเศษกระเบื้องกระจายเติมที่นอน เซียวเหมยสะดุ้งตกใจลุกขึ้นมานั่งอยู่มุมๆ หนึ่งบนเตียงอย่างขวัญเสีย
“นายหญิงท่านเป็นอะไรหรือไม่”
จางอี้พุ่งเข้ามาประคองนางให้ลุกลงจากเตียง มันช่วยปัดเศษดินออกจากใบหน้าและเส้นผมจนสะอาด
“เสี่ยวจางเจ้าทำอะไรลงไป!”
เมื่อตั้งสติได้นางจึงรีบเข้าไปสำรวจดูหลิวข่ายที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงนอน เซียวเหมยพลิกกายอีกฝ่ายเพื่อตรวจดูลมหายใจ
“แย่แล้ว! มันไม่หายใจแล้ว!”
เซียวเหมยคิดในใจเพียงครู่เดียวนางก็กรอกตาไปมาราวกับวางแผนอะไรบางอย่าง
“เสี่ยวจางเจ้าไปนำเสื่อทอที่ด้านหลังมาห่อศพมันเร็วเข้า”
จางอี้ก็ตกใจเช่นกัน แต่เมื่อได้ยินคำสั่งนายหญิงมันก็รีบวิ่งไปหยิบนู่นจับนี่ตามคำสั่งนางทันที
ป่านอกเมืองหังโจว
เซียวเหมยใช้เส้นสายบางอย่างทำให้สามารถนำรถม้าออกจากเมืองได้โดยไม่ถูกตรวจค้น เรื่องราวบานปลายกลายเป็นเช่นนี้นางก็เสียใจ แต่หากจะให้เสี่ยวจางที่นางเลี้ยงดูมาราวกับลูกชายคนหนึ่งต้องถูกทางการจับกุมนางก็ทำใจไม่ได้
นางทราบว่าเรื่องนี้คงไม่จบลงง่ายๆ หลิวข่ายเป็นเจ้าหน้าทีสำนักตรวจสอบของราชสำนัก วันนี้มันหายตัวไปเพราะมาพบนาง เกรงว่าอีกไม่กี่วันนางคงถูกคนเหล่านั้นสืบสวนมาถึงตัวแน่ๆ
“จางอี้เจ้าไม่น่าทำเช่นนี้เลย รู้ตัวหรือไม่เจ้าก่อเรื่องใหญ่โตเพียงไหน”
นางโอดคราญให้คนที่กำลังขับรถม้าอยู่ได้ยิน นางเสียใจจริงๆ ที่เหตุการณ์ร้ายแรงเช่นนี้เกิดขึ้น
“นายหญิงท่านรู้มาตลอดว่าข้ารักท่านแค่ไหน ข้าเห็นมันรังแกท่านถึงเพียงนั้นข้าจะทนได้ยังไง”
ความจริงเซียวเหมยทราบดีว่ามันคิดกับนางเช่นไร นี่เองเป็นเหตุให้หลายครั้งยามนางแอบไปร่วมรักกับชายชู้นางมักจะให้มันติดตามไปด้วย เพื่อที่จะให้มันเลิกคิดเช่นนี้กับนาง
“ข้าเลี้ยงดูเจ้ามาตั้งแต่เด็ก เจ้ากลับคิดเช่นนี้ต่อข้าได้ยังไง ข้าเสียใจจริงๆ ที่เก็บเจ้าไว้ข้างกาย”
สิบปีก่อนนางยังเป็นดาวเด่นอยู่ในหอหงส์เหิน หลังจากส่งบุตรชายไปอยู่บ้านเศรษฐีฟางได้ไม่นาน
นางพบขอทานน้อยผู้หนึ่งกำลังถูกแขกที่มาเที่ยวหาความสำราญทุบตีอยู่บริเวณหน้าหอ
ด้วยความสงสารและคิดถึงบุตรชายที่อายุพอๆ กัน นางจึงยื่นมือเข้าช่วยเหลือ จากนั้นนำมันเข้ามาทำงานเป็นเด็กรับใช้ทั่วไป จนกระทั้งถึงทุกวันนี้ที่นางเลิกรับแขกผันตัวมาเป็นแม่เล้า นางยังคงให้มันติดสอยห้อยตามคอยรับใช้อยู่เรื่อยๆ
“นายหญิงข้ารักท่าน ข้าทนไม่ได้จริงๆ ที่เห็นมันรังแกท่านเช่นนั้น”
ทั้งสองเอ่ยปากทุ่มเถียงกันไปตลอดทาง ที่ผ่านมาไม่ว่าจางอี้จะเห็นนางแอบไปมีความสัมพันธ์กับใครต่อใคร มันไม่รู้สึกโกรธแม้แต่น้อย
มีเพียงครั้งนี้เท่านั้นที่มันเห็นนางถูกทำร้าย ด้วยความขาดสติจึงได้พลั้งมือสังหารคน แต่เมื่อมันคิดย้อนกลับไป หากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นอีก มันก็คงยังทำเช่นเดิมอยู่ดี
“ได้! ในเมื่อเจ้าบอกว่ารักข้า ข้ายอมให้เจ้าลิ้มรสชาติข้าซักครั้งก็ได้ เมื่อเจ้าได้ตัวข้าไปแล้วเจ้าจะรู้เองว่าเจ้ายังรักข้าอยู่หรือไม่”
***