จำอดีตได้

1230 Words
บำเรอที่ 2 จำอดีตได้ สมัยยังเด็กตัวข้ามักฝันในความฝันข้าเคยเป็นภรรยาขุนนางศักดิ์ฐานะข้าสูงส่งมากหากแต่พอสะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึกข้าน้ำตาไหลพรากสุดท้ายข้าตายเพราะถูกเมียน้อยสามีรังแก “…” ทุกค่ำคืนข้าแยกไม่ออกว่านี่เป็นความฝันหรือความจริงแต่ในใจข้าฝังลึกปฏิญาณตนชีวินนี้จะไม่ยอมเป็นเมียหลวงที่ดีอีกแล้ว! 16 จนกระทั่งข้าอายุได้หกขวบข้าเจอเขาครั้งแรกขณะที่เขามาเยี่ยมบิดาข้าที่บ้านเพียงแรกพบข้าก็นึกชอบเขาแล้ว “…” ขนาดชาติก่อนข้าใช้ชีวิตอยู่เมืองหลวงพบปะบุรุษมามากยังมิเคยเจอเด็กหนุ่มที่ไหนหล่อเหลาได้เท่าเขาเลยยามนั้นข้าหมายมั่นปั้นมือว่าเขาต้องเป็นสามีข้าในอนาคตยิ่งพอสืบดูภูมิหลังเขาจากท่านพ่อข้าก็ยิ่งนึกรัก เพราะเซียวหมิงเกิดในตระกูลคหบดีร่ำรวย! ร้ายขายผ้า “ตั่บ ตั่บ ตั่บ” “อือออ อือออ อือออ” “เจ้าหุบปากได้แล้ว! หากไม่หุบข้าจะเอาเอ็นอุดปากเจ้า!” ยังคงอยู่ภายในห้องทำงานเหยาเหยาเปลี่ยนเป็นถูกจับพลิกตัวมานอนหงายเซียวหมิงรำคาญปากจิ้มลิ้มของนางที่เอาแต่พูดเขาจึงโน้มตัวไปข้างหน้าเอามือข้างหนึ่งปิดปากนางไว้เอวสอบก็ออกแรงโยกร่อนแท่งเนื้อของตนเข้าออกช่องสวาทอย่างเมามัน “ตั่บ ตั่บ ตั่บ ซีดส์ เหยาเหยาเจ้าคับมากเสียวแทบตายแล้ว” เซียวทำความสะอาดมิงกระซิบไปที่ข้างหูมือขวาปิดปากนางไว้สัญญาแผ่วเบาว่า “รองานแต่งข้าผ่านไปสักสองเดือนข้าค่อยรับเจ้าเข้าบ้านดีหรือไม่?” กล่าวจบเร่งจังหวะเป็นเร็วขึ้นเซียวหมิงใช้เรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดโถมทาบทับร่อนเอวราวกับคลื่นน้ำ “ตั่บ ตั่บ ตั่บ ซีดส์ ไม่ไหวแล้วเหยาเหยาข้าเสร็จแล้วข้าเสร็จแล้ว!” “พรวด!” แม้จะเจ็บแต่ไม่นานท้องน้อยข้าอุ่นวาบเขากระแทกเน้นๆ อยู่บนกายข้าอีกสิบกว่าครั้งก็ส่งเสียงครางต่ำฮึมฮัมฮึดฮัดข้าเองก็ใช้สองขาเรียวเกี่ยวเอวเขาไว้ หยัดสะโพกขึ้นสั่นกระตุกร้องคราง “อ๊า อ่า อ๊า” “ป็อก! พรวด!” “ท่านรับปากเราแล้วหากสองเดือนยังมิส่งเกี๊ยวเจ้าสาวมารับเรา เราจะโพนทะนาออกไป” หลังเสร็จกิจข้าลุกขึ้นนั่งถ่างขาอยู่บนโต๊ะทำงานสองมือก็สาละวนอยู่กับการใช้ผ้าเช็ดหน้าทำความสะอาดรูร่องแต่ปากก็ยังมิวายทวงถามข่มขู่เขาว่าหากผิดคำพูดตนจะนาเรื่องลับๆ ที่บอกใครมิได้ไปฟ้องร้องทางการ! กฎหมายต้าเว่ยระบุไว้ชัดเจนบุรุษใดล่อลวงสตรีดีงามในหอห้องโทษสูงสุดคือสักหน้าแล้วเนรเทศอย่าว่าแต่เหยาเหยาเป็นลูกสาวบัณฑิตจิ่นซื่อบิดานางเป็นอาจารย์สถานศึกษาทางการเซียวหมิงหากถูกจับได้ว่าเปิดบริสุทธิ์นางแล้วมิว่าเหยาเหยาจะสมัครใจหรือไม่เขาพอถูกสืบสวนสอบสวนโทษเนรเทศไม่ถือว่าเกินจริง ชายหนุ่มได้ฟังคำข่มขู่ก็หากลัวไม่เขาก้มไปคว้ากางเกงที่กองอยู่ตรงข้อเท้าขึ้นมาไม่แม้แต่จะทำความสะอาดแกนกายก็รัดสายคาดเองอย่างลวกๆ จากนั้นออกปากไล่หญิงงามที่นั่งถ่างขาเช็ดคราบน้ำกามของตนอยู่บนโต๊ะทำงาน “เหยาเหยาช่วงนี้เจ้าอย่าเพิ่งมาหาข้าในเมื่อข้ารับปากแล้วมิผิดคำพูดแน่นอน” ข้าได้ฟังก็เงยหน้าขึ้นเชิดริมฝีปากจนสูงชันแทบแขวนน้ำเต้าได้ถอนหายใจ “เหอ!” ใส่เขาไปหนึ่งครั้งแล้วกล่าวตอบอย่างเอาแต่ใจ “อย่าคิดว่าเราไม่รู้ว่าท่านหลบหน้าลองวันนี้เราไม่มาท่านคงลืมว่ามีเรา” ปกติทุกสามวันห้าวันเขาต้องนัดข้าเล่นรักกันอย่างต่ำหนึ่งครั้งแต่เดือนนี้ทั้งเดือนเขากับไม่ส่งบ่าวคนสนิทมานัดข้าเขาคงคิดว่าข้าเป็นเด็กและโง่หรือหากนับเวลาที่ข้ามีชีวิตอยู่ชาติที่แล้วเข้าไปด้วยรวมชาตินี้อีกข้าคิดว่าไม่น้อยไปกว่ามารดาเขาแน่นอน *** หากแต่เหยาเหยาคิดผิดเซียวหมิงได้พังคากล่าวโทษของนางก็เหนื่อยใจมากเขาไหนเลยคิดหลบหน้านาง21 เพียงแต่ช่วงนี้เขาต้องเก็บตัวรั่วหยุนคู่หมั้นของเขามีนิสัยหยิ่งทะนงทั้งบิดานางยังเป็นขุนนางหากเขาทาอะไรผิดพลาดจนถูกคว้าจับหางเปียเรื่องงานแต่งล่มยังพอว่าแต่เขาไม่อาจรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับกิจการของตระกูล สกุลเซียวของเขามีฐานะมั่งมีก็จริงแต่จะอย่างไรยังคงต้องมีเส้นสายในราชสำนักดังนั้นก่อนเขาแต่งคู่หมั้นคนนี้เข้าบ้านสำเร็จเขาจะยังให้ผู้ใดทราบถึงความสัมพันธ์ของตนกับบุตรสาวอาจารย์ไม่ได้ เซียวจำนวนมิงมองภาพหญิงงามเช็ดเรียวขาของตนก็นึกทะนุถนอมนางเอาแต่ใจมากหลายปีที่รู้จักกันเขาไม่เคยคิดกับนางเกินกว่าน้องสาวหากแต่นางกับเป็นฝ่ายเสนอตัวเข้ามาเอง “เหยาเหยา เจ้าอดทนหน่อยนะสองเดือนเท่านั้นข้าจะนำเจ้าเข้าบ้านให้ได้อย่างแน่นอน” เซียวจำนวนมิงเห็นนางเช็ดคราบน้ากามเสร็จก็เดินเข้าไปช่วยนางสวมใส่เสื้อผ้าเขากล่าวต่ออีกว่า “สองเดือนไม่เจอข้าเจ้ามีเงินพอใช้หรือไม่” จากนั้นไม่รอให้นางตอบก็ล้วงตั๋วเงินปึกหนึ่งออกจากลิ้นชักไม่แม้กระทั่งนับก่อนก็ยัดเข้าไปในสาบเสื้อนางฉวยโอกาสลูบคลำปทุมถันสีชมพูจากนั้นบีบเล่นจนนางร้อง “โอ๊ย!” ค่อยจูบปากน่ารักนางแล้วเผ่นหายออกจากห้องไป… หนึ่งชั่วยามต่อมา กว่าข้าจะกลับถึงเรือนพักเวลาก็ล่วงเลยเข้าช่วงบ่ายเนื่องจากบิดาเป็นครูสอนหนังสือข้าจึงมีบ้านอยู่ในเขตรั้วสถานศึกษาไท่ซาง ตอนออกจากร้านผ้าข้ามิได้ตรวจสอบว่าคุณชายเซียวให้เงินไว้เท่าใดแต่ก่อนถึงบ้านข้าแวะซื้อเป็ดย่างสองตัวกลับมาด้วยยามนั้นค่อยทราบเขาใจป้ำมากถึงกับให้ตัวเงินร้อยตำลึงข้ามาเจ็ดใบ เงินจำนวนนี้ไม่น้อยบิดาข้าแต่ละเดือนได้ค่าตอบแทนแปดตำลึงเท่านั้นอีกทั้งที่บ้านยังมีน้องชายสองคนและแม่เลี้ยงดังนั้นค่าใช้จ่ายของข้าจึงได้จากพ่อน้อยมากหรือจะบอกว่าแทบมิได้เลยก็ไม่เกินจริงเกินไป หากแต่ข้าก็มิได้นึกแค้นเคียงพวกเขานั่นเพราะบ้านของข้าก็ยากจนเช่นนี้เอง “ท่านพ่อข้ากลับมาแล้วเจ้าคะ” ทันทีที่เข้าเขตเรือนข้าก็ส่งเสียงเรียกหาบิดา24 หากแต่ผู้ที่ขานรับข้ากับมิใช่พ่อข้าเห็นชายหนุ่มในชุดบัณฑิตห้าหกคนเดินออกจากห้องโถงบ้านหนึ่งในนั้นยังตรงมาหาข้าแล้วกล่าวว่า “แม่นางลู่ท่านอาจารย์มิอยู่บ้านมาๆ พวกเรากำลังทานอาหารอยู่ในห้องเจ้าไปไหนมาหรือไฉนถือเป็ดย่างมาสองตัว” ***
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD