Episode 07 "หนูเป็นให้พี่ได้ทุกอย่างนั่นแหละค่ะ"

1457 Words
Episode 07 กลับมาปัจจุบัน “รู้จักกันด้วยเหรอ?” พี่แอรีสถามขึ้น “คือว่า…” ผมกำลังจะอ้าปากตอบ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร เลิฟเธอก็ชิงพูดแทรกขึ้นมาซะก่อน “ใช่ค่ะ หนูเป็นน้องรหัสของพี่ปราชญ์” “รู้จักกันแล้วก็ดีสิ จะได้ไม่ต้องคัดเลือกอะไรให้มากความ” เจ้าวอร์ น้องชายตัวดีของผมพูดขึ้นต่อ พร้อมกับอมยิ้มออกมาเล็กน้อยด้วยท่าทีที่เจ้าเล่ห์ “คนนี้ผ่าน” “เฮ้ย…คัดเลือกก่อนสิ! ใจเย็นๆ” ผมรีบหันไปเบรกน้องชายของตัวเองทันที ก่อนที่จะเริ่มสัมภาษณ์เธอ “เอาล่ะ…เรามาเริ่มสัมภาษณ์เรื่องงานกันเลยก็แล้วกัน” “ไม่เจอกันตั้งนาน หล่อขึ้นเยอะเลยนะคะ” “แฮ่ม!” ผมกระแอมเสียงเล็กน้อย เมื่อรู้สึกว่าเธอกำลังออกนอกเรื่อง “สัมภาษณ์งานกันก่อนไหม?” “เอ่อ…โอเคค่ะ แฮะๆ” ขำแห้ง “พร้อมค่ะ” “จบการศึกษาจากปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยเอกชน” ซึ่งมันก็รู้ๆ กันอยู่แล้วว่าเธอเรียนที่ไหน ก็ในเมื่อเราเรียนที่เดียวกัน “และได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง” “เรียนเก่งกว่าผมอีกอะ” วอร์กล่าว ซึ่งเมื่อเทียบอายุกัน เธอจะโตกว่าวอร์ประมาณหนึ่งปีครับ ปีนี้ผมยี่สิบหก ส่วนเธออายุยี่สิบห้า และวอร์อายุยี่สิบสี่ “ภาษาที่ได้ก็จะมีสามภาษา ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ แล้วก็ภาษาจีน” ซึ่งตอนนี้ผมก็กำลังนั่งอ่านเรซูเม่ที่เธอส่งมาอยู่ครับ “ความสามารถพิเศษก็คือการรำ” เหมือนหม่าม้าเลยอะ หม่าม้าของผมก็แบบนี้เลย ตอนมอต้นท่านอยู่ชมรมนาฏศิลป์มาตลอดทั้งสามปี แต่พอขึ้นมอปลายก็เปลี่ยนมาอยู่ชมรมภาษาจีน ก็เลยพูดได้ทั้งสามภาษา แล้วความสามารถพิเศษอีกหนึ่งอย่างของท่านก็คือการรำนั่นเองครับ แต่เอ๊ะ ผมจะพูดทำไมนะ แต่ช่างมันเถอะครับ! กลับมาที่เรื่องสัมภาษณ์กันต่อดีกว่า “เรตเงินเดือนที่ต้องการก็คือ…ห้าหมื่นบาท” ผมวางเรซูเม่ลงบนโต๊ะ และเหลือบสายตาไปมองที่ใบหน้าของเธอนิ่งๆ “เธอต้องการห้าหมื่นเลยเหรอ?” “ใช่ค่ะ เพราะหนูคำนวณค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนเอาไว้แล้ว ห้าหมื่นบาทนี่…ถือว่าอยู่ในเรตที่ต่ำมากที่สุดแล้วล่ะค่ะ” “แสดงว่ายังมีเรตที่สูงกว่านี้อีกสินะ? ใช่ไหม?” ว่าพลางเลิกคิ้วถามเธอนิ่งๆ ซึ่งเธอก็ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่พยักหน้าเบาๆ “แล้วถ้าเป็นเรตที่สูงกว่านี้จะอยู่ที่เดือนละเท่าไหร่?” “ถ้าเรตที่สูงกว่านี้ก็จะอยู่ที่เดือนละสองแสนค่ะ แต่พอดีหนูเห็นคนอื่นๆ ที่เขามาสมัคร เขาเขียนกันแค่เจ็ดหมื่น หนูกลัวว่าจะไม่ได้งาน ก็เลยเขียนให้ต่ำกว่าพวกเขา เป็นห้าหมื่นค่ะ” “ฉันถามคำถามเดียวเลยนะ” “คะ?” เอียงคอมองเล็กน้อย “พอไหม?” “หมายถึงเรตเงินเดือนที่หนูขอไปน่ะเหรอ?” “ใช่…” “พอไหม?” “ถ้าให้พูดกันตรงๆ ก็ไม่พอหรอกค่ะ ห้าหมื่นสำหรับหนู หนูรู้สึกว่ามันน้อยมาก เพราะหนูต้องเก็บเงินเอาไว้ไปซื้อบ้านราคาหลักสิบล้าน ไหนจะต้องส่งเงินไปให้คนที่บ้านอีก ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่แล้วก็คุณยายที่เริ่มแก่ลงไปเรื่อยๆ นอกจากนี้…หนูก็ต้องเก็บเงินเอาไว้ให้เยอะๆ เอาไว้ไปทำเด็กหลอดแก้ว ลูกของเราที่กำลังจะเกิดมาในอนาคตยังไงล่ะคะ” เธอยิ้มหน้าแป้น และเอื้อมมือเรียวบางมากุมมือของผมเบาๆ “การเลี้ยงเด็กคนนึงมันต้องใช้เงินเยอะมากเลยนะคะ ไหนจะค่านม ค่าแพมเพิส พอโตขึ้นไปก็ต้องเข้าโรงเรียนอีก หนูอยากให้ลูกของเราเรียนโรงเรียนนานาชาติค่ะ อยากให้เขาฝึกภาษาอังกฤษตั้งแต่เด็กๆ เลยด้วย” “ฉันหมายถึง…ฉันจะมีเงินพอจ่ายให้เธอไหม” ได้ยินดังนั้น เธอก็หน้าหงอยขึ้นมาทันที “ถ้าได้ห้าหมื่นแล้วยังไม่พอ…แล้วเท่าไหร่มันถึงจะพอล่ะ?” พี่ไอศูรย์เปิดไมค์ถามขึ้น “อืม…ถ้าเป็นไปได้นะคะ หนูก็อยากจะได้เงินเดือนสักสี่หมื่นสี่พันล้านค่ะ ถ้าได้เงินเดือนสี่หมื่นสี่พันล้านจริงๆ หนูทำเดือนเดียวแล้วหนูก็จะยื่นใบลาออกเลย หลังจากนั้นหนูก็จะไปใช้ชีวิตตามแบบฉบับที่หนูอยากใช้ เพราะสี่หมื่นสี่พันล้านมันเป็นเงินที่มากพอที่จะทำให้หนูมีเงินซื้อบ้าน ทำเด็กหลอดแก้ว แล้วพอในวันที่ลูกโตขึ้น หนูก็จะมีเงินมากพอที่จะซัพพอร์ตความฝันของเขา แต่มันเป็นไปไม่ได้ไงคะ ใครที่ไหนเขาจะมาให้เงินเดือนขนาดนั้นกัน เพราะแบบนี้ก็เลยขอไปที่ห้าหมื่นบาทแทนค่ะ แฮะๆ” “ผมชอบคนนี้ว่ะ 555” วอร์ถึงกับยกนิ้วโป้งขึ้นมาให้เธอ “ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจ รอดูคนอื่นก่อนสิ” ผมหันไปมองตาขวางใส่วอร์ทันที ไอ้นี่…ตัดสินใจง่ายชะมัด แถมยังชอบใครก็ไม่ชอบ ดันมาชอบคนที่เป็นเสมือนฝันร้ายในชีวิตของผมอีก ตายห่าแน่ๆ ผม เวลามันก็ผ่านมานานตั้งหลายปีแล้ว ผมคิดว่าเธอจะหยุดความคิดเรื่องเด็กหลอดแก้วอะไรนั่นไปแล้วซะอีก แต่ที่ไหนได้…เธอก็ยังคงมีความคิดเรื่องเด็กหลอดแก้วนั่นอยู่เหมือนเดิม เพิ่มเติมก็คือยังยืนยันคำเดิมว่าต้องเป็นผม ไม่คิดจะเปลี่ยนไปชวนผู้ชายคนอื่นบ้างเลยหรือยังไง ทำไมต้องเป็นผมด้วยวะเนี่ย! โธ่เอ๊ย…ไม่น่าเกิดมาเป็นคนดีเลยเรา “ทำงานกับปราชญ์ต้องใช้ความอดทนมากเลยนะ เธอคิดว่าตัวเองจะสามารถรับแรงกดดันได้มากขนาดไหนเหรอ?” และคำถามนี้ก็มาจากพี่แอรีสครับ “หนูคิดว่างานทุกงานมันก็มีความกดดันอยู่ในตัวของมันเองค่ะ หนูก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถอดทนต่อแรงกดดันได้มากขนาดไหน แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หนูจะสู้ค่ะ หนูจะสู้ให้ถึงที่สุด แม้ว่าอาจจะต้องร้องไห้ให้กับงานประมาณสามล้านชั่วโมง หรือร้องไห้ให้กับงานในทุกๆ วันก็ตาม แต่ถ้าเราไม่ทำ เราก็จะไม่มีเงิน แล้วถ้าเราไม่มีเงิน แพลนทุกอย่างที่วางไว้ก็จะสลายหายไปทันที ถ้าพี่ปราชญ์สามารถให้เงินเดือนตามจำนวนที่หนูขอไปได้ ไม่ว่าจะหนักหนาสาหัสขนาดไหน หนูก็จะสู้ค่ะ” “เวลาทำงานบางทีมันก็เครียดมาก เธอสามารถเอ็นเตอร์เทนเขาได้ไหม?” พี่ไอศูรย์ถามต่อ ซึ่งตัวเธอก็ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่พยักหน้าเบาๆ แทน “นอกเหนือจากการรำแล้ว หนูก็ยังมีความสามารถอีกหนึ่งอย่างนั่นก็คือ…การร้องเพลงค่ะ” ว่าแล้วเธอก็หยัดตัวลุกขึ้นออกจากเก้าอี้ และกำมือขึ้นมาเปรียบเสมือนว่ามันเป็นไมค์ ก่อนที่จะเริ่มอ้าปากร้องเพลงออกมา “ก็เป็นคนสู้ชีวิต แต่ชีวิต ก็สู้กลับอย่างนี้ คนอย่างฉันสู้ชีวิต แค่เริ่มคิด ก็แพ้มันทุกที yeah~” เอ่อ… “คนที่มันทำให้เธอได้ทุกอย่าง จะชนะใจเธอ ได้อย่างเขา…หรือเปล่า จะสู้แค่ไหน ก็แพ้~” คือ…เธอสวย แต่เธอไม่ควรร้องเพลง เพราะเสียงของเธอมัน…เอาเป็นว่าละไว้ในฐานที่เข้าใจก็แล้วกันนะครับ เฮ้อ!!! แปะๆๆ “แม่งโคตรได้! ผมชอบคนนี้ว่ะ 555” วอร์หัวเราะดังลั่น พร้อมกับปรบมือให้เธอรัวๆ หลังจากที่เธอนั้นร้องเพลงเสร็จ “เชียร์อยู่นะครับ ขอให้ได้งานนะ 555” “หนูเป็นให้พี่ได้ทุกอย่างนั่นแหละค่ะ ขอเพียงแค่พี่บอกหนู” เธอไหว้ย่อ และเดินเข้ามาเก็บเอกสารต่างๆ ของตัวเองไป “แล้วหนูก็เป็นแม่ที่ดีให้ลูกได้ด้วยค่ะ” “หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพี่จะติดต่อกลับมานะคะ” เธอพนมมือและไหว้ย่อลงอีกครั้ง ก่อนที่จะเดินออกไป ปวดหัว…ปวดหัวสุดๆ คนแรกยังขนาดนี้ แล้วคนต่อไปจะขนาดไหนวะเนี่ย ใครก็ได้ช่วยผมด้วย!!!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD