Episode 07
กลับมาปัจจุบัน
“รู้จักกันด้วยเหรอ?” พี่แอรีสถามขึ้น
“คือว่า…” ผมกำลังจะอ้าปากตอบ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร เลิฟเธอก็ชิงพูดแทรกขึ้นมาซะก่อน
“ใช่ค่ะ หนูเป็นน้องรหัสของพี่ปราชญ์”
“รู้จักกันแล้วก็ดีสิ จะได้ไม่ต้องคัดเลือกอะไรให้มากความ” เจ้าวอร์ น้องชายตัวดีของผมพูดขึ้นต่อ พร้อมกับอมยิ้มออกมาเล็กน้อยด้วยท่าทีที่เจ้าเล่ห์ “คนนี้ผ่าน”
“เฮ้ย…คัดเลือกก่อนสิ! ใจเย็นๆ” ผมรีบหันไปเบรกน้องชายของตัวเองทันที ก่อนที่จะเริ่มสัมภาษณ์เธอ “เอาล่ะ…เรามาเริ่มสัมภาษณ์เรื่องงานกันเลยก็แล้วกัน”
“ไม่เจอกันตั้งนาน หล่อขึ้นเยอะเลยนะคะ”
“แฮ่ม!” ผมกระแอมเสียงเล็กน้อย เมื่อรู้สึกว่าเธอกำลังออกนอกเรื่อง “สัมภาษณ์งานกันก่อนไหม?”
“เอ่อ…โอเคค่ะ แฮะๆ” ขำแห้ง “พร้อมค่ะ”
“จบการศึกษาจากปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยเอกชน” ซึ่งมันก็รู้ๆ กันอยู่แล้วว่าเธอเรียนที่ไหน ก็ในเมื่อเราเรียนที่เดียวกัน “และได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง”
“เรียนเก่งกว่าผมอีกอะ” วอร์กล่าว ซึ่งเมื่อเทียบอายุกัน เธอจะโตกว่าวอร์ประมาณหนึ่งปีครับ ปีนี้ผมยี่สิบหก ส่วนเธออายุยี่สิบห้า และวอร์อายุยี่สิบสี่
“ภาษาที่ได้ก็จะมีสามภาษา ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ แล้วก็ภาษาจีน” ซึ่งตอนนี้ผมก็กำลังนั่งอ่านเรซูเม่ที่เธอส่งมาอยู่ครับ “ความสามารถพิเศษก็คือการรำ”
เหมือนหม่าม้าเลยอะ
หม่าม้าของผมก็แบบนี้เลย ตอนมอต้นท่านอยู่ชมรมนาฏศิลป์มาตลอดทั้งสามปี แต่พอขึ้นมอปลายก็เปลี่ยนมาอยู่ชมรมภาษาจีน ก็เลยพูดได้ทั้งสามภาษา แล้วความสามารถพิเศษอีกหนึ่งอย่างของท่านก็คือการรำนั่นเองครับ
แต่เอ๊ะ ผมจะพูดทำไมนะ
แต่ช่างมันเถอะครับ!
กลับมาที่เรื่องสัมภาษณ์กันต่อดีกว่า
“เรตเงินเดือนที่ต้องการก็คือ…ห้าหมื่นบาท” ผมวางเรซูเม่ลงบนโต๊ะ และเหลือบสายตาไปมองที่ใบหน้าของเธอนิ่งๆ “เธอต้องการห้าหมื่นเลยเหรอ?”
“ใช่ค่ะ เพราะหนูคำนวณค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนเอาไว้แล้ว ห้าหมื่นบาทนี่…ถือว่าอยู่ในเรตที่ต่ำมากที่สุดแล้วล่ะค่ะ”
“แสดงว่ายังมีเรตที่สูงกว่านี้อีกสินะ? ใช่ไหม?” ว่าพลางเลิกคิ้วถามเธอนิ่งๆ ซึ่งเธอก็ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่พยักหน้าเบาๆ “แล้วถ้าเป็นเรตที่สูงกว่านี้จะอยู่ที่เดือนละเท่าไหร่?”
“ถ้าเรตที่สูงกว่านี้ก็จะอยู่ที่เดือนละสองแสนค่ะ แต่พอดีหนูเห็นคนอื่นๆ ที่เขามาสมัคร เขาเขียนกันแค่เจ็ดหมื่น หนูกลัวว่าจะไม่ได้งาน ก็เลยเขียนให้ต่ำกว่าพวกเขา เป็นห้าหมื่นค่ะ”
“ฉันถามคำถามเดียวเลยนะ”
“คะ?” เอียงคอมองเล็กน้อย
“พอไหม?”
“หมายถึงเรตเงินเดือนที่หนูขอไปน่ะเหรอ?”
“ใช่…”
“พอไหม?”
“ถ้าให้พูดกันตรงๆ ก็ไม่พอหรอกค่ะ ห้าหมื่นสำหรับหนู หนูรู้สึกว่ามันน้อยมาก เพราะหนูต้องเก็บเงินเอาไว้ไปซื้อบ้านราคาหลักสิบล้าน ไหนจะต้องส่งเงินไปให้คนที่บ้านอีก ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่แล้วก็คุณยายที่เริ่มแก่ลงไปเรื่อยๆ นอกจากนี้…หนูก็ต้องเก็บเงินเอาไว้ให้เยอะๆ เอาไว้ไปทำเด็กหลอดแก้ว ลูกของเราที่กำลังจะเกิดมาในอนาคตยังไงล่ะคะ” เธอยิ้มหน้าแป้น และเอื้อมมือเรียวบางมากุมมือของผมเบาๆ “การเลี้ยงเด็กคนนึงมันต้องใช้เงินเยอะมากเลยนะคะ ไหนจะค่านม ค่าแพมเพิส พอโตขึ้นไปก็ต้องเข้าโรงเรียนอีก หนูอยากให้ลูกของเราเรียนโรงเรียนนานาชาติค่ะ อยากให้เขาฝึกภาษาอังกฤษตั้งแต่เด็กๆ เลยด้วย”
“ฉันหมายถึง…ฉันจะมีเงินพอจ่ายให้เธอไหม” ได้ยินดังนั้น เธอก็หน้าหงอยขึ้นมาทันที
“ถ้าได้ห้าหมื่นแล้วยังไม่พอ…แล้วเท่าไหร่มันถึงจะพอล่ะ?” พี่ไอศูรย์เปิดไมค์ถามขึ้น
“อืม…ถ้าเป็นไปได้นะคะ หนูก็อยากจะได้เงินเดือนสักสี่หมื่นสี่พันล้านค่ะ ถ้าได้เงินเดือนสี่หมื่นสี่พันล้านจริงๆ หนูทำเดือนเดียวแล้วหนูก็จะยื่นใบลาออกเลย หลังจากนั้นหนูก็จะไปใช้ชีวิตตามแบบฉบับที่หนูอยากใช้ เพราะสี่หมื่นสี่พันล้านมันเป็นเงินที่มากพอที่จะทำให้หนูมีเงินซื้อบ้าน ทำเด็กหลอดแก้ว แล้วพอในวันที่ลูกโตขึ้น หนูก็จะมีเงินมากพอที่จะซัพพอร์ตความฝันของเขา แต่มันเป็นไปไม่ได้ไงคะ ใครที่ไหนเขาจะมาให้เงินเดือนขนาดนั้นกัน เพราะแบบนี้ก็เลยขอไปที่ห้าหมื่นบาทแทนค่ะ แฮะๆ”
“ผมชอบคนนี้ว่ะ 555” วอร์ถึงกับยกนิ้วโป้งขึ้นมาให้เธอ
“ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจ รอดูคนอื่นก่อนสิ” ผมหันไปมองตาขวางใส่วอร์ทันที ไอ้นี่…ตัดสินใจง่ายชะมัด แถมยังชอบใครก็ไม่ชอบ ดันมาชอบคนที่เป็นเสมือนฝันร้ายในชีวิตของผมอีก ตายห่าแน่ๆ ผม
เวลามันก็ผ่านมานานตั้งหลายปีแล้ว ผมคิดว่าเธอจะหยุดความคิดเรื่องเด็กหลอดแก้วอะไรนั่นไปแล้วซะอีก แต่ที่ไหนได้…เธอก็ยังคงมีความคิดเรื่องเด็กหลอดแก้วนั่นอยู่เหมือนเดิม เพิ่มเติมก็คือยังยืนยันคำเดิมว่าต้องเป็นผม ไม่คิดจะเปลี่ยนไปชวนผู้ชายคนอื่นบ้างเลยหรือยังไง ทำไมต้องเป็นผมด้วยวะเนี่ย!
โธ่เอ๊ย…ไม่น่าเกิดมาเป็นคนดีเลยเรา
“ทำงานกับปราชญ์ต้องใช้ความอดทนมากเลยนะ เธอคิดว่าตัวเองจะสามารถรับแรงกดดันได้มากขนาดไหนเหรอ?” และคำถามนี้ก็มาจากพี่แอรีสครับ
“หนูคิดว่างานทุกงานมันก็มีความกดดันอยู่ในตัวของมันเองค่ะ หนูก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถอดทนต่อแรงกดดันได้มากขนาดไหน แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หนูจะสู้ค่ะ หนูจะสู้ให้ถึงที่สุด แม้ว่าอาจจะต้องร้องไห้ให้กับงานประมาณสามล้านชั่วโมง หรือร้องไห้ให้กับงานในทุกๆ วันก็ตาม แต่ถ้าเราไม่ทำ เราก็จะไม่มีเงิน แล้วถ้าเราไม่มีเงิน แพลนทุกอย่างที่วางไว้ก็จะสลายหายไปทันที ถ้าพี่ปราชญ์สามารถให้เงินเดือนตามจำนวนที่หนูขอไปได้ ไม่ว่าจะหนักหนาสาหัสขนาดไหน หนูก็จะสู้ค่ะ”
“เวลาทำงานบางทีมันก็เครียดมาก เธอสามารถเอ็นเตอร์เทนเขาได้ไหม?” พี่ไอศูรย์ถามต่อ ซึ่งตัวเธอก็ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่พยักหน้าเบาๆ แทน
“นอกเหนือจากการรำแล้ว หนูก็ยังมีความสามารถอีกหนึ่งอย่างนั่นก็คือ…การร้องเพลงค่ะ” ว่าแล้วเธอก็หยัดตัวลุกขึ้นออกจากเก้าอี้ และกำมือขึ้นมาเปรียบเสมือนว่ามันเป็นไมค์ ก่อนที่จะเริ่มอ้าปากร้องเพลงออกมา “ก็เป็นคนสู้ชีวิต แต่ชีวิต ก็สู้กลับอย่างนี้ คนอย่างฉันสู้ชีวิต แค่เริ่มคิด ก็แพ้มันทุกที yeah~” เอ่อ… “คนที่มันทำให้เธอได้ทุกอย่าง จะชนะใจเธอ ได้อย่างเขา…หรือเปล่า จะสู้แค่ไหน ก็แพ้~”
คือ…เธอสวย
แต่เธอไม่ควรร้องเพลง
เพราะเสียงของเธอมัน…เอาเป็นว่าละไว้ในฐานที่เข้าใจก็แล้วกันนะครับ
เฮ้อ!!!
แปะๆๆ
“แม่งโคตรได้! ผมชอบคนนี้ว่ะ 555” วอร์หัวเราะดังลั่น พร้อมกับปรบมือให้เธอรัวๆ หลังจากที่เธอนั้นร้องเพลงเสร็จ “เชียร์อยู่นะครับ ขอให้ได้งานนะ 555”
“หนูเป็นให้พี่ได้ทุกอย่างนั่นแหละค่ะ ขอเพียงแค่พี่บอกหนู” เธอไหว้ย่อ และเดินเข้ามาเก็บเอกสารต่างๆ ของตัวเองไป “แล้วหนูก็เป็นแม่ที่ดีให้ลูกได้ด้วยค่ะ”
“หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพี่จะติดต่อกลับมานะคะ” เธอพนมมือและไหว้ย่อลงอีกครั้ง ก่อนที่จะเดินออกไป
ปวดหัว…ปวดหัวสุดๆ
คนแรกยังขนาดนี้
แล้วคนต่อไปจะขนาดไหนวะเนี่ย
ใครก็ได้ช่วยผมด้วย!!!