เช้านี้อากาศที่เมืองเสียนหยางสดใสยิ่งนัก วันนี้กู้ฮุ่ยหนิงตื่นแต่เช้าตรู่นั่งรถม้าของจวนแม่ทัพเดินทางออกนอกประตูเมืองมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางของภูเขาเหิงซาน เมื่อคืนกู้ฮุ่ยหนิงออดอ้อนจนกระทั่งบิดาและมารดาใจอ่อนยอมอนุญาตให้กู้ฮุ่ยหนิงเดินทางไปที่ป่าแถวบริเวณภูเขาเหิงซานได้โดยให้พี่ชายทั้งสองนำองครักษ์อีกสิบคนติดตามไปด้วย
ถึงแม้กู้ฮุ่ยหนิงจะบอกมารดาว่าเดินทางแค่ครึ่งวันก็สามารถไปกลับได้แล้วนั้นแท้จริงต้องใช้เวลาครึ่งวันในการเดินทางจากเมืองเสียนหยางถึงภูเขาเหิงซานต่างหาก ดังนั้นต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองวันในการทำภารกิจครั้งนี้กู้ฮู่ยหนิงจึงไม่ได้บอกความจริงกับมารดาเพราะถ้ามารดารู้จะต้องไม่ยอมให้นางเดินทางมาที่ภูเขาอย่างแน่นอน
แต่กู้ฮุ่ยหนิงไม่รู้ว่าความจริงแล้วมารดาของตนนั้นทราบความจริงอยู่แล้วเพราะหยางเจียวซืออาศัยอยู่ที่เมืองเสียนหยางมานานหลายปีจะไม่รู้เรื่องแผนที่ของเมืองชายแดนได้อย่างไรแต่ในเมื่อสามีอนุญาตแล้วฮูหยินจึงห้ามไม่ได้ ได้แต่กำชับให้บุตรชายทั้งสองคนให้คอยดูแลระวังตัวและย้ำกับบุตรชายทั้งสองว่าให้ดูแลน้องสาวให้ดี
“คุณหนูหิวหรือไม่เจ้าค่ะ?”
“ข้ายังไม่หิว”
“คุณหนูไม่หิวก็ต้องทานนะเจ้าค่ะไม่อย่างนั้นจะปวดท้องได้”
“ได้ข้าเชื่อฟังอันฉี”
กู้ฮุ่ยหนิงวางหนังสือที่กำลังอ่านอยู่ในมือลง ก่อนจะรับเอาขนมที่อันฉียื่นมาให้เข้าปากแล้วเคี้ยวช้า ๆ ถ้ากู้ฮุ่ยหนิงจำไม่ผิดปีอันฉีคงจะอายุสิบสี่สิบห้าปี เมื่อชีวิตชาติที่แล้วอันฉีรับใช้กู้ฮุ่ยหนิงอย่างซื่อสัตย์และยังได้ติดตามนางกลับจวนตระกูลกู้ที่เมืองหลวงอีกด้วย
แม้แต่ตอนที่กู้ฮุ่ยหนิงแต่งงานเข้าไปที่ตำหนักองค์ชายสี่อันฉีก็ได้ติดตามไปดูแลนางเช่นกัน แต่ในตอนนั้นตนเองที่หลงรักองค์ชายสี่อย่างหน้ามืดตามัวกลับยินยอมมอบอันฉีให้ไปเป็นนางบำเรอของเถ้าแก่เจียวสารเลว
เพื่อแลกกับการช่วยเหลือการค้าขายของกิจการองค์ชายสี่ทำให้อันฉีได้รับความทรมานอย่างมาก เพราะถูกเถ้าแก่เจียวที่เป็นชายแก่วิปริตทรมานจากหญิงสาวหน้าตาสวยงามกลายเป็นหญิงบ้าสติไม่ดี ขาสองข้างของอันฉีเดินไม่ได้เพราะถูกลูกน้องของเถ้าแก่เจียวตีจนหักเมื่ออันฉีต้องการหลบหนีจากจวนของเถ้าแก่เจียว
ชาติก่อนข้าช่างเป็นหญิงสาวที่โง่เขลายิ่งนักคนรักคนเกลียดยังไม่สามารถแยกแยะถูกผิดได้ ครั้งนี้มีโอกาสกลับมาเกิดใหม่ในข้ากู้ฮุ่ยหมิงจะดูแลคนที่รักข้าให้ดีที่สุดส่วนคนที่เคยติดค้างน้ำใจข้าในชาติก่อนชีวิตนี้ข้าจะทวงคืนเป็นร้อยเท่าพันเท่า
เดินทางจนดวงอาทิตย์ขึ้นตรงหัวขบวนรถม้าของกู้ฮุ่ยหนิงก็มาถึงหมู่บ้านแถวชายป่าที่ห่างจากภูเขาไม่ไม่มาก พวกเขาจะต้องจอดรถม้าฝากไว้ที่หมู่บ้านแห่งนี้แล้วขี่ม้าเข้าขึ้นไปบนภูเขาเพราะระยะทางต่อจากนี้ไม่มีถนนให้รถม้าสามารถวิ่งต่อไปได้
กู้ฮุ่ยหนิงเปลี่ยนจากนั่งรถม้ามาขี่ม้ากับอันฉี หมู่บ้านแห่งนี้มีชาวบ้านอาศัยอยู่ประมาณยี่สิบกว่าหลังคาเรือนเพราะเป็นหมู่บ้านติดป่าภูเขา หลายครอบครัวที่มีฐานะดีไม่กล้าอาศัยอยู่จึงพากันอพยพเข้าไปอยู่ในเมือง มีเพียงชาวบ้านที่มีฐานะยากจนเท่านั้นที่ยังอาศัยอยู่ภายในหมู่บ้านแห่งนี้
เดินทางอยู่ภายในป่าแถวบริเวณภูเขาได้ไม่นานกู้ฮุ่ยหนิงก็เริ่มมองเห็นต้นชิงเฮาจำนวนมากที่เกิดขึ้นอยู่ภายในป่าแห่งนี้
“อันฉีหยุดก่อนข้าเจอต้นสมุนไพรแล้ว”
อันฉีบังคับม้าให้หยุดตามคำสั่งของคุณหนูที่กำลังทำหน้าตื่นเต้นก่อนจะจับเอวของคุณหนูวัยสิบขวบกระโดดลงจากหลังม้าทั้งสองคนลงมายืนบนพื้นดินได้อย่างง่ายดาย ม้าของกู้หวังหมิ่นและกู้หวังจิ้งถูกบังคับให้หยุดตามก่อนที่ร่างสูงของทั้งสองคนจะกระโดดลงจากหลังม้าเดินมาหาน้องสาว
“หนิงเอ๋อเจ้าพบต้นสมุนไพรที่ต้องการหาแล้วหรือ?”
คุณชายใหญ่ถามน้องสาวด้วยความแปลกใจต้นสมุนไพรอะไรถึงจะหาได้ง่ายดายเช่นนี้ แค่ขี่ม้าเข้ามาในป่ายังไม่ถึงหนึ่งเคอก็พบต้นสมุนไพรได้แล้ว
“ข้าเจอแล้วเจ้าค่ะพี่ใหญ่”
คุณชายรองกู้หวังจิ้นเดินเข้าไปดูต้นไม้ที่อยู่ในมือของน้องสาวด้วยความสงสัย เขามองยังไงมันก็เหมือนต้นหญ้าชัด ๆ ไม่เห็นมีตรงไหนที่เหมือนต้นยาสมุนไพรที่เคยพบเห็นมาก่อนเลย
“น้องสาวเจ้าแน่ใจนะว่ามันคือต้นสมุนไพรไม่ใช่ต้นหญ้า”
“นั้นสิหนิงเอ๋อ พี่ว่าเจ้าจำผิดหรือเปล่าต้นแบบนี้มันไม่เห็นเหมือนต้นสมุนไพรที่พี่เคยเห็นเลย”
“พี่ใหญ่ พี่รองพวกท่านสองคนไม่เชื่อข้าหรือว่ามันเป็นต้นสมุนไพรจริง ๆ”
กู้หวังหมิ่นแอบสบตากับน้องชายของตนเองอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดีหากโต้เถียงกับน้องสาวว่ามันไม่ใช่ต้นสมุนไพรก็กลัวว่าน้องสาวจะน้อยใจขาดความเชื่อมั่นและไม่อยากจะศึกษาตำรายาอีกต่อไป
ส่วนกู้หวังจิ้งคิดว่าถึงแม้จะรู้ว่าน้องสาวตนเองเป็นเด็กฉลาด แต่ยังไงน้องสาวของตนก็เป็นเพียงเด็กน้อยอายุสิบขวบเท่านั้น นางเรียนวิชาแพทย์กับท่านหมอซูได้เพียงครึ่งเดือนจะมีความสามารถแยกแยะสมุนไพรกับต้นหญ้าได้อย่างไรกัน
“หนิงเอ๋อ”
“น้องสาว”
คุณชายของตระกูลกู้เรียกน้องสาวของตนอย่างพร้อมเพรียงกันเหมือนกับนัดกันไว้
อันฉีที่กำลังยืนอยู่ข้าง ๆ คุณหนูของนางอยากจะหัวเราะยิ่งนัก ที่เห็นใบหน้าของรองแม่ทัพกู้หวังหมิ่นที่กำลังทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก อยู่ในกองทัพทหารถึงแม้คุณชายใหญ่กู้จะมีอายุแค่สิบแปดปีแต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นรองแม่ทัพที่มีฝีมือเก่งกาจและเด็ดขาดไม่แพ้ท่านแม่ทัพใหญ่กู้ แต่พอได้มาอยู่กับน้องสาวอย่างคุณหนูกู้ฮุ่ยหมิงรองแม่ทัพกลับไม่กล้าส่งเสียงดังหรือพูดจาทำให้เด็กสาวเสียใจ
“พวกท่านไม่ต้องพูดแล้วข้าจะกลับไปที่หมู่บ้าน อันฉีถอนต้นสมุนไพรพวกนี้กลับไปสักห้าหกต้นข้าจะเอาไปให้ชาวบ้านในหมู่บ้านดูเป็นตัวอย่างแล้วจะประกาศออกไปว่าคุณชายรองกู้หวังหมิ่นจะรับซื้อสมุนไพรพวกนี้จินละสามอีแปะ”
“น้องสาวทำไมต้องให้พี่รองรับซื้อ”
กู้หวังจิ้งที่ถูกนำชื่อไปแอบอ้างซึ่ง ๆ หน้าร้องประท้วงอย่างตกใจ น้องสาวของเขานางบอกท่านพ่อว่าจะมาเก็บสมุนไพรไปศึกษาทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นว่ามารับซื้อต้นหญ้าไร้ประโยชน์พวกนี้เล่า ถ้าท่านพ่อท่านแม่รู้จะต้องเฆี่ยนข้าหลังลายแน่ที่ไม่ห้ามปรามน้องสาว
“พี่รองท่านอย่าถามมากได้ไหมท่านรับปากข้าไว้แล้วว่าจะเชื่อฟังข้าทุกอย่าง”
“จะ เจ้า หึ ยายตัวแสบอยากจะทำอะไรก็ตามสบายเลย”
กู้หวังจิ้งไม่รู้จะสรรหาคำใดมากล่าวแก้และคัดค้านการตัดสินใจของน้องสาวได้ เมื่อหลายเดือนก่อนกู้หวังจิ้งบังเอิญเห็นน้องสาวขอเงินบิดาหลายร้อยตำลึงเพื่อไปทำกิจการร้านค้า เขาหัวเราะเยาะน้องสาวที่คิดจะทำการค้าด้วยวัยเพียงสิบขวบทั้งสองจึงพนันกันว่าถ้าร้านค้าของกู้ฮุ่ยหมิงจะทำกำไรได้เขาจะยอมเชื่อฟังน้องสาวทุกอย่าง
ผลปรากฏว่ากิจการร้านน้ำชาของน้องสาวของตนนั้นทำกำไรได้มากมาย กิจการเปิดได้ไม่ถึงสองเดือนก็สามารถค*****นที่ยืมจากท่านพ่อไปลงทุนได้สำเร็จ กู้หวังจิ้งจึงต้องเชื่อฟังคำพูดของน้องสาวตามที่เคยสัญญากันไว้
กู้หวังหมิ่นมองตามหลังน้องชายของตนไปอย่างหมดปัญญาที่จะพูด ตั้งแต่น้องสาวคนเล็กมาอยู่ด้วยไม่ว่าจะพูดคุยเรื่องไหนหรือทะเลาะกันเรื่องใดกู้หวังจิ้งน้องชายคนรองของตนจะต้องพ่ายแพ้ให้กับกู้ฮุ่ยหมิงผู้เป็นน้องสาวอยู่เสมอ