เช้าวันนี้แอติโร่นอนหลับสบายตื่นสายอย่างที่ไม่เคยตื่นมาก่อน เพราะว่าเมื่อคืนที่ผ่านมานั้นเขาได้มีความสุขกับเมก้า จนไม่อาจจะลืมบทรักอันเร้าร้อน แสนหวานที่ผ่านมาไม่ได้เลย แต่ความสุขอิ่มเอมนั้นก็พันหายไปเมื่อตื่นขึ้นมาไม่เห็นคนที่นอนกอด นอนรักกันมาทั้งคืนก็นึกโกรธเมื่อมองไปทางไหนของห้องนอนก็ไม่เห็นร่างเปราะบางของเมก้าให้เห็นแม้แต่เงา
แอติโร่รีบเก็บเสื้อผ้าของตัวเองที่กระจัดกระจายไปทั่วห้องมาสวมใส่อย่างเร่งรีบ เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าเมก้าไปไหนกัน ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทิ้งเขาไปแบบนี้ เขาไม่ชอบเวลาที่เสร็จจากเกมรักกันแล้วโดนฝ่ายหญิงทิ้งให้นอนเหงาอยู่ห้องคนเดียว ตอนแรกคิดว่าจะตื่นมาเริงรักกับเมก้าสักบทสองบทก่อนจะกลับไปคอนโดของตัวเอง แต่มันก็ไม่เป็นอย่างที่คิด เมื่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว แอติโร่ก็ออกจากห้องของเมก้าไปทันที วันนี้เป็นวันหยุดเขาจะต้องกลับบ้านไปหาครอบครัวที่อบอุ่นของเขาให้หายคิดถึงเขาเสียก่อน ส่วนเมก้าอย่าคิดว่าจะหนีเขาพ้น ไม่มีทางคนอย่างแอติโร่จะปล่อยให้แมวสาวแสนสวยอย่างหล่อนตีจากไปแบบนี้ ไม่มีทางเสียหรอก
เวลาผ่านไปไม่นานชายหนุ่มก็เดินทางมาถึงคฤหาสน์ของตระกูลชาร์ลอเวนิล ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองหลายกิโล ทุกวันหยุดแบบนี้แอติโร่จะมาหาครอบครัวอยู่บ่อยๆ แต่ต่อไปอาจจะไม่บ่อยแล้วในเมื่อเวลานี้เขาได้มีของเล่นชิ้นใหม่ สดๆ อย่างเมก้ามาให้นอนกกกอดแนบกายทุกคืนแล้ว เขาคงจะไม่ค่อยได้มาหาครอบครัวบ่อยนัก
ชายหนุ่มขับรถเข้ามาในคฤหาสน์ได้ไม่นานทุกคนในบ้านก็วิ่งออกมาตอนรับชายหนุ่มทันที เนื่องด้วยแอติโร่เป็นคนที่อารมณ์ร้อน ไม่พอใจอะไร เรียกหาอะไรทุกคนในบ้านต้องพร้อมเสมอ และวันนี้ก็เช่นกัน เขาต้องการให้คนขับรถของเขาเอารถเขาไปล้างให้สะอาด เพื่อจะได้ไปตามล่าเมก้าจะสั่งสอนให้หล่อนรู้สำนึกเสียบ้างว่าไม่ควรทำกับเขาแบบนี้ ไม่ควรทิ้งเขาทั้งๆ ที่เขายังนอนไม่ตื่นแบบนี้
“ฟาโต้นายเอารถฉันไปล้างหน่อยสิ แล้วคุณแม่กับยัยน้องอยู่ไหม” สั่งพร้อมกับถามคนขับรถตัวเอง ด้วยความหงุดหงิด
ฟาโต้งงกับเจ้านายว่าทำไมถึงได้หงุดหงิดเช่นนี้ แสดงว่ามีเรื่องไม่พอใจมาจากข้างนอกแน่นอนถึงได้มาลงกับเขาเช่นนี้ ดูจากน้ำเสียงห้วนๆ แบบนี้แล้วคงไม่แคล้วเรื่องหญิงเป็นแน่ จะเป็นหญิงที่ไหนทำให้เจ้านายเป็นเดือดเป็นร้อนได้เช่นนี้ เพราะใครๆ ต่างรู้ดีว่าแอติโร่เจ้านายของเขานั้นเป็นที่ต้องตาต้องใจของผู้หญิงมากมายแค่ไหน
“ไปสิฟาโต้ กุญแจก็อยู่ในรถนั้น ไปสิ ถ้าขืนอยู่นานกว่านี้หัวนายแตกแน่” เมื่อเห็นว่าคนขับรถไม่ไปสักทีจึงเพิ่มความหงุดหงิดใจเขาเข้าไปใหญ่
“ขะ...ครับนาย” ฟาโต้เปิดประตูรถอย่างรวดเร็ว ไม่รอช้าให้นายสั่งเป็นครั้งที่สามแน่ เพราะแค่นี้ก็พอจะรู้แล้วว่าเจ้านายมีเรื่องให้อารมณ์เสียอยู่เป็นแน่
“เอะอะอะไรกันลูก กลับบ้านมาก็ช้า ยังมาเอะอะอีกลูกคนนี้น่าตีชะมัด” ซาลีน่าร้องถามลูกชายด้วยความสงสัย เพราะปกติลูกชายเขาจะกลับมาตั้งแต่เมื่อวันวานแล้ว แต่ทำไมถึงได้มาตอนสายของวันนี้เอาได้ แถมมาแล้วยังเอะอะโวยวายอีก แสดงว่าพ่อลูกชายตัวดีต้องมีเรื่องไม่พอใจมาจากข้างนอกแน่
“ไม่มีอะไรหรอกครับแม่” แอติโร่ปรับเปลี่ยนสีหน้าจากบู๊ดบึ้งเป็นยิ้มแย้มเดินเข้ามาสวมกอดผู้เป็นแม่ทันที
“เชื่อได้จริงเหรอ ไม่มีอะไรของลูกแม่ทีไรมีทุกที บอกแม่มาเถอะว่าเป็นเรื่องอะไรหึ” มีหรือคนอย่างซาลีน่าจะเชื่อคำของลูกชายตัวดีของตน นางรู้จักนิสัยลูกชายคนนี้ดี เลี้ยงมากับมือ สอนมากับตัว มีอะไรปิดบังใต้ใบหน้าหล่อนี้ทำไมนางจะดูไม่ออก
“ปวดขาอ่ะแม่ ผมปวดขาจะแย่แล้ว เข้าไปนั่งคุยกันในห้องนั่งเล่นดีกว่านะครับแม่” ไม่มีเรื่องอะไรเลยที่แอติโร่จะปิดบังผู้เป็นแม่ได้ แต่เรื่องนี้ขอปิดบังทีเถอะ มีหวังแม่ผู้ที่เคารพรักรู้เข้าว่าไปมีความสัมพันธ์สวาทกับลูกสาวตระกูลเคเตอร์ เข้าได้โดนผู้เป็นแม่ตัดขาดความเป็นแม่เป็นลูกกับเขาเป็นแน่แท้
“ตลอดเลยลูกคนนี้ เปลี่ยนเรื่องไปเรื่อยเลยนะ น่ารักจริงลูกแม่” นางรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ นางจึงยอมให้ลูกชายตัวดีประคองเดินไปนั่งคุยกันในห้องนั่งเล่นอย่างที่ลูกชายต้องการ
แอติโร่กำลังคิดอะไรเพลินๆ ในขณะประคองแม่เดินมานั่งบนโซฟาตัวยาวในห้องนั่งเล่น แต่ก็คิดได้ไม่นานก็โดนผู้เป็นแม่ชักถามเรื่องเดิมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาเลือกตอบโกหกอกไป เพื่อให้ผู้เป็นแม่สบายใจหายห่วง
“บอกแม่ได้ยังติโร่ ว่าทำไหมถึงเอะอะเสียงดังแบบนั้นหึ”
“โธ่! แม่อ่ะ ไม่เชื่อติโร่จริงๆ เหรอคะ ติโร่ไม่มีอะไรจริงๆ นะแม่ ติโร่เป็นเด็กดีเคยโกหกแม่ที่ไหนคร้าบ” แอติโร่แกล้งงอนผู้เป็นแม่เหมือนเด็กๆ จนผู้เป็นแม่อดหมั่นไส้ไม่ได้กับท่าทางของลูกชาย
“เพียะ! ทำเป็นเด็กไปได้ติโร่ แม่รู้นะว่าติโร่มีเรื่องแน่นอน ปิดยังไงก็ไม่มิดหรอกลูก” ซาลีน่าเชื่อเลยว่าลูกชายของนางช่างมีนิสัยเหมือนนางมิมีผิดเลย ปากแข็งเป็นที่หนึ่ง โกหกเก่งเป็นเลิศ แต่มีหรือแอติโร่จะปิดบังผู้เป็นแม่อย่างนางได้
“เขาเจ็บนะแม่ ติโร่ไม่มีอะไรจริงๆ นะคะแม่ เชื่อติโร่นะคะแม่” ชายหนุ่มยังอ้อนแม่ไม่เลิก เขาชอบนักเวลาเห็นแม่หมั่นไส้เขาแบบนี้ เพราะแบบนี้ไงเขาถึงติดผู้เป็นแม่ที่สุด แทนที่เป็นผู้ชายจะติดพ่อแต่เปล่าเลยเขาติดแม่มากกว่า ส่วนพ่อนั้นน้องสาวเขาจะติดไม่ยอมห่างข้างกายผู้เป็นพ่อเลย
“ได้ยินเสียงพี่ติโร่มาแต่ไกลเลย คิกๆ ที่แท้พี่ชายที่รักก็กลับมาบ้านนี้เอง มาให้แอนนากอดหน่อยนะ คิดถึงสุดๆ เลยจ้า” แอนนาส่งเสียงเข้ามาในห้องก่อนเจ้าตัวจะมาถึง หญิงสาวได้ยินเสียงพี่ชายเอะอะโวยวายตั้งแต่มาถึงแล้ว แต่ก็ไม่ออกมาเจอ เพราะมัวแต่ทำเค้กนมสดไว้ให้ผู้เป็นพ่อกินเมื่อตอนกลับมาจากดูงานที่ลอนดอน
“มาให้พี่กอดหน่อยนะยัยน้อง พี่ติโร่คิดถึงยัยน้องที่สุดเลยค่ะ” แอติโร่อ้าแขนรอให้น้องสาวเข้ามาสวมกอดด้วยความยิ้มแย้ม
แอนนาเห็นว่าพี่ชายรอให้ตัวเองสวมกอดอยู่ สาวน้อยก็วิ่งหน้ารื่นไปสวมกอดผู้เป็นพี่ด้วยความคิดถึง พร้อมกับหอมแก้มซ้ายที ขวาทีของผู้เป็นพี่ชายด้วยความรักเคารพ
ส่วนนางซาลีน่าเห็นว่าลูกสาวและลูกชายรักใคร่กันดี นางก็ได้แต่นั่งยิ้มดูภาพของลูกๆ ของนางกอดจูบกันอย่างมีความสุข
“กอดแต่กันสองพี่น้อง แล้วแม่คนนี้ล่ะ ไม่คิดจะกอด หอม กันบ้างเหรอจ๊ะ” นางเห็นว่าลูกๆ ทั้งสองเหมือนจะลืมไปแล้วว่ามีนางนั่งอยู่ด้วยทั้งคนจึงได้เอ่ยขึ้น
“ใครจะกล้าลืมแม่ที่รักได้กันคะ ใช่ไหมพี่ติโร่ของแอนนา” แอนนาผละออกจากผู้เป็นพี่มากอดหอมผู้เป็นแม่บ้าง เมื่อเห็นว่าตอนนี้ผู้เป็นแม่กำลังจะน้อยใจเธอกับพี่ชายอยู่
“ใช่ค่ะ ใครจะลืมแม่กันหึ” แอติโร่ก็หันมากอด หอมแม่เหมือนอย่างน้องสาวทำอีกคน จนทำให้ผู้เป็นแม่อดขำกับความน่ารักของลูกทั้งสองไม่ได้ ถึงแอติโร่จะอายุ 30 ปีแล้วแต่ก็ยังชอบทำตัวเหมือนเด็ก 10 ขวบเสมอเวลาอยู่กับครอบครัว ส่วนแอนนาลูกสาวคนเล็กนั้นอายุ 23 ปีแล้วก็ชอบทำตัวเหมือนเด็ก 8 ขวบเสมอ แบบนี้ไงนางถึงรักและหวงลูกทั้งสองคนของนาง
“ทำไมวันนี้ยัยน้องออกมาต้อนรับพี่ช้าจังคะ ทำอะไรอยู่เอ่ย” แอติโร่แปลกใจ เพราะปกติแค่เพียงรถเขาวิ่งเข้ามาน้องสาวก็จะวิ่งออกไปรับแล้ว ไม่ปล่อยให้เขาเข้ามาในบ้านก่อนหรอก
“พอดีแอนนามัวแต่ทำเค้กนมสดไว้ให้คุณพ่ออยู่ค่ะ เลยไม่ได้วิ่งไปรับพี่ติโร่ ว่าแต่อารมณ์เสียอะไรมาคะ ถึงได้เอะอะโวยวายเสียงดังแบบนั้นคะ แอนนาอยู่ในครัวยังได้ยินเลย” สาวน้อยอธิบายให้พี่ชายฟัง
“แม่ก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมพี่ชายเราถึงได้เอะอะโวยวายตอนมาถึง” แอติโร่ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร ผู้เป็นแม่ก็เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ไม่มีอะไรจริงๆ ค่ะแม่ ติโร่ไม่ได้มีเรื่องอะไร ยัยน้องไม่ต้องสงสัยเลย พอดีว่าพี่เครียดเรื่องที่โรงแรมเราเลยหงุดหงิดนิดหน่อยจ้า” แอติโร่โกหกคำโตออกไป
ซาลีน่ารู้ว่าไม่ใช่เรื่องนี้ แต่เมื่อลูกชายตัวดีไม่ยอมบอกนางก็จะไม่คาดคั้นเอาความจริง รอให้ลูกชายตัวดีของนางเอ่ยปากบอกมาเองจะดีกว่ามาถามเอาความจริงตอนนี้
“อ้อ! แอนนาก็นึกว่าเรื่องอะไร ถ้างั้นพี่ติโร่มาชิมเค้กฝีมือของแอนนาหน่อยนะคะ พอดีว่าทำไว้เยอะค่ะ เย็นนี้คุณพ่อจะกลับมาถึงบ้านเราค่ะ” ซาลีราเชื่อคำโกหกของพี่ชาย เพราะสาวน้อยดูพี่ชายของตัวเองไม่ค่อยออกเท่าไหร่นัก
“ค่ะ เอามาเลย ฝีมือยัยน้องอร่อยไม่มีใครเทียบอยู่แล้วพี่เชื่อ”
แอนนาไปเอาเค้กมาให้ผู้เป็นแม่และพี่ชายทานที่ห้องนั่งเล่น และทั้งสามคนก็นั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยตามประสาแม่และลูก นางซาลีน่าสังเกตเห็นความผิดปกติของลูกชายมาตลอดตั้งแต่เดินเข้ามานั่งในห้องนั่งเล่นแล้ว บ้างก็เหม่อลอย ถามอะไรก็ไม่ค่อยตอบ แถมยังไม่ค่อยมีสมาธิอยู่กับตัวอีก นางสังเกตได้จากตอนลูกสาวนางเอ่ยถามเรื่องปัญหาของโรงแรม แต่ลูกชายของนางก็ทำเหมือนกับไม่ได้ยิน จนทำให้ลูกสาวนางเลิกถามไปเอง