“ก็เพราะแกเป็นแบบนี้ไง หัวดื้อก็เท่านั้น อวดเก่งไม่เคยฟังใคร แล้วจะให้ฉันอยู่ข้างแกได้ยังไง”
“ก็ไม่แปลก แต่ไหนแต่ไรพ่อก็ไม่เคยอยู่ข้างหนูอยู่แล้ว เชิญพ่ออยู่ข้างคนโปรดของพ่อให้พอใจเถอะ รายนั้นเขาขยันเลียอยู่แล้วนี่” คนถูกเปรียบให้เป็นสุนัขอย่างดาวประดับตั้งท่าจะอ้าปากต่อว่า เจนจบจึงรีบขัดขึ้น
“เอาเถอะ เถียงกับคนหัวดื้ออย่างแกไปก็ปวดหัวเปล่าๆ ที่ฉันมาวันนี้จะมาคุยกับแกให้รู้เรื่อง แก...ต้องกลับไปแต่งงานกับตาณพ ลูกชายเพื่อนพ่อ”
“หนูไม่แต่ง นี่มันสมัยไหนแล้ว หมดยุคคลุมถุงชนแล้วค่ะ ชีวิตหนู ต่อให้จะถูกหรือผิด หนูควรมีสิทธิ์ได้เลือกเอง” เจติยาสวนกลับทันควัน
“ทำไมถึงชอบต่อต้าน เมื่อไหร่แกจะเข้าใจว่าที่ฉันทำไปทั้งหมดเป็นเพราะฉันหวังดีกับแก อยากให้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับแก”
“ถ้าความหวังดีของพ่อหมายรวมถึงการเอาผู้หญิงหน้าเงินคนนี้มาแทนที่แม่แล้วละก็ หนูไม่ต้องการค่ะ อีกอย่างหนูไม่เชื่อหรอกนะว่าพ่อจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับหนู เพราะขนาดกับตัวพ่อเอง พ่อยังไม่เลือกเลย” ความเกลียดที่เรียกว่าเกลียดเข้ากระดูกดำ ทำให้เธอทุ่มเถียงโดยไม่ยอมลดละ
“เจติยา” การเรียกชื่อเต็มบ่งบอกถึงอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่นของผู้เป็นพ่อได้เป็นอย่างดี ทั้งๆ ที่รู้แต่เธอก็มิได้นำพา
“เอางี้ไหมล่ะ ถ้าพ่ออยากให้หนูแต่ง หนูแต่งให้ก็ได้ แต่มีข้อแม้นะ”
“ข้อแม้อะไร” เจนจบมองหน้าลูกสาวด้วยความคลางแคลง
“ไล่ปลิงสองแม่ลูกนั่นออกไปจากบ้านเราสิ แล้วหนูจะยอมทำตามที่พ่อต้องการทุกอย่าง” แน่นอนว่าข้อแม้ของเธอทำให้คนที่ถูกหาว่าเป็นปลิงไม่สามารถทนนิ่งเฉยได้ ด้วยกลัวว่าสามีจะบ้าจี้ตามลูกสาวขึ้นมาจริงๆ
“หนูเจ น้าไปทำอะไรให้หนูนักหนา ทำไมถึงได้จงเกลียดจงชังน้านัก ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราสองแม่ลูกอยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัวกันมาตลอด ไม่เคยเรียกร้องอะไร แต่ถ้าหนูยังไม่พอใจ น้ากับลูกจะเป็นฝ่ายเดินออกไปเอง หนูกับคุณพ่อจะได้ไม่ต้องมีปัญหากันเพราะน้าอีก” ดวงเดือนก้มหน้าบีบน้ำตา แสร้งว่าจะเดินออกไปจริงๆ โชคยังดีที่ถูกสามีดึงแขนเอาไว้เสียก่อน
“คุณไม่ต้องไปไหนทั้งนั้นเดือน ต่อให้คุณไปก็ใช่ว่าจะแก้นิสัยหัวดื้อของลูกสาวผมได้ ผมผิดเองที่ตามใจลูกมากเกินไป จนเขาเสียนิสัยกลายเป็นเด็กก้าวร้าว ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่”
“ฉันเองก็มีส่วนผิดที่ช่วยแบ่งเบาอะไรคุณไม่ได้ ถ้าเพียงแต่ตอนนั้นฉันกล้าที่จะอบรมสั่งสอนแก ตอนนี้แกคงไม่กลายเป็นแบบนี้” ดวงเดือนกุมมือสามีด้วยสีหน้าสุดเศร้า
“หึๆๆ น่าขำชะมัด คนหนึ่งตีสองหน้าเก่ง อีกคนก็หลับหูหลับตาเชื่อได้อย่างสนิทใจ ต้องรอให้เขาสูบเงินจนหมดตัวก่อนสินะถึงจะตาสว่าง”
“แกต่างหากที่ควรตาสว่างได้แล้ว หัดเปิดใจยอมรับความจริงซะบ้าง เดือนเขาไม่ได้มาแทนที่แม่ของแก เขาแค่จะมาช่วยดูแลแกต่างหาก แต่แกกลับเอาแต่ผลักไสไล่ส่ง ทำเหมือนเขาเป็นคนนอก เพราะแกคอยแต่จะทำตัวร้ายกาจกับเขาแบบนี้ไง ฉันถึงต้องคอยปกป้องเขา” คำพูดบาดจิตจากผู้เป็นพ่อทำเธอหลับตาแน่นด้วยความเจ็บแปลบ ก่อนจะพรั่งพรูความเจ็บปวดออกมาในที่สุด
“พ่อเอาแต่โทษหนู แต่ไม่เคยถามหนูสักคำว่าหนูต้องการไหม หนูรู้สึกยังไงพ่อเคยสนใจบ้างรึเปล่า แล้วเคยสงสัยไหมว่าเพราะอะไรหนูถึงได้เกลียดคนคนหนึ่งได้มากมายขนาดนี้ พ่อไม่เคยรู้อะไร พอๆ กับที่พ่อไม่เคยรู้จักหนูเลยยังไงล่ะ” เพราะไม่อยากให้ใครเห็นความอ่อนแอ เธอจึงรีบปาดน้ำตาที่ไหลออกไปเร็วๆ ก่อนพูดต่อ
“ถ้าเพียงแต่พ่อใส่ใจและถามหนูสักคำว่าทำไม อะไรๆ ก็คงจะดีกว่านี้ ถามจริงๆ เถอะ พ่อไม่อยากรู้จริงเหรอว่าทำไมหนูถึงเกลียดสองคนนี้มากมายขนาดนี้ ไม่อยากรู้เหรอว่าเขาเคยทำอะไรกับหนูไว้บ้าง” คำถามนี้ทำเอาคนมีชนักติดหลังอย่างดวงเดือนถึงกับสะอึกสีหน้าเลิ่กลั่ก
“เพราะเดือนไม่ดีเองค่ะ เดือนเคยทำกรอบรูปแม่หนูเจตกแตก แต่เดือนไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะคะคุณเจนจบ เดือนขอโทษ” ดวงเดือนรีบออกตัว ราวกับกลัวว่าลูกเลี้ยงจะพูดเรื่องที่ไม่อยากให้พูด
“หึ! รีบออกตัวจังเลยนะ กลัวฉันจะพูดอะไรมากกว่านี้สินะ ไม่ต้องกลัวหรอก เรื่องเลวร้ายแบบนั้นฉันเองก็ไม่อยากพูดถึง อีกอย่างถึงฉันพูดไปก็คงไม่มีใครเชื่อ เพราะคนบางคนเขาปักใจเชื่อเรื่องที่อยากจะเชื่อไปแล้ว ถึงพูดไปก็ไม่มีประโยชน์” เธอพยายามจะเข้มแข็ง ไม่ทำตัวอ่อนแอต่อหน้าใคร โดยเฉพาะศัตรู แต่ความเจ็บปวดที่เจือไปด้วยความแค้นก็ทำให้น้ำตาหยดแหมะ ถึงแม้จะพยายามปาดมันทิ้งไป แต่มันก็ยังไม่ยอมหยุดไหลสักที แน่นอนว่าเธอไม่อยากขายหน้าไปมากกว่านี้
“ช่างเถอะ ไหนๆ เรื่องบัดซบพวกนั้นมันก็ผ่านไปแล้ว ตอนนี้จำใส่หัวเอาไว้ก็พอว่าถ้าพวกเธอสองแม่ลูกทำแบบนั้นกับฉันอีก ฉันไม่ยอมอยู่เฉยแน่ เพราะฉะนั้นอยู่ห่างจากฉันไว้ซะ” เจติยาหันไปขู่อาฆาต เพียงแค่คิดถึงเรื่องในอดีตที่ถูกแม่เลี้ยงใจร้ายกลั่นแกล้งสารพัด ทั้งเรื่องค่าขนมไปโรงเรียนที่ถูกฝ่ายนั้นแอบเก็บเอาไว้ เรื่องที่ถูกแย่งของไปหน้าด้านๆ พอไม่ให้สองแม่ลูกก็ใช้กำลังทุบตี หนักสุดก็จับเธอไปขังไว้ในห้องมืดๆ แคบๆ จนกลายเป็นความกลัวฝังใจจนถึงทุกวันนี้ แค่คิดถึงความทรงจำเหล่านั้น เธอก็กลัวจนตัวสั่นเทิ้ม ต้องข่มความกลัวด้วยการกำหมัดแน่น
“ฮ่าๆๆ โธ่! หนูเจ พูดแบบนี้พ่อหนูก็เข้าใจน้าผิดกันพอดี แต่ไหนแต่ไรเราสองคนแม่ลูกก็ไม่เคยจะยุ่งอะไรกับหนู ใช่ มีบ้างที่น้าเคยอยากจะช่วยอบรมสั่งสอนหนู แต่เมื่อหนูต่อต้าน น้าก็ไม่ยุ่งกับหนูอีก” ดวงเดือนหัวเราะกลบเกลื่อนด้วยสีหน้าจืดเจื่อน แต่ก็ยังพยายามแก้ตัวเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตัวเองกับลูก
“ฮ่าๆๆ อบรมสั่งสอนเหรอ ฉันว่าเธอเอาเวลาไปสอนลูกตัวเองให้ดีก่อนเถอะ มีสมองบ้างรึเปล่าก็ไม่รู้ หรือจนป่านนี้ยังถูกแม่จูงจมูกจนสมองฝ่อไปแล้ว”
“กรี๊ด...อีบ้า นี่แกหาว่าฉันโง่เหรอ” ดาวประดับกระทืบเท้าพลางกรีดร้องลั่นตามความเคยชิน