“เชื่อเถอะว่าผมเอาอยู่ ถ้าไม่แน่จริงผมคงไม่บุกมาเอาตัวคุณถึงที่นี่หรอก แต่ถ้าเป็นห่วงผม คราวหน้าก็อย่าหนีสิ” ชายหนุ่มตอบโดยที่ไม่ได้ลืมตาขึ้นมามองเธอด้วยซ้ำ
“โอ๊ยนี่...ขอร้องล่ะปล่อยฉันไปเถอะ เลิกแล้วต่อกันไม่ได้เหรอ ไหนบอกว่าบ้านรวยไง รวยแล้วยังต้องการอะไรจากฉันอีก” เธอโอดครวญด้วยน้ำเสียงทดท้อ
“ต้องการคุณไง ไปอยู่ด้วยกันไหม” เขาลืมตาพลางหันไปพูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง ทำเอาเธอถึงกับเลือดขึ้นหน้า หันมาตะคอกอย่างคนหัวเสีย
“นี่ ฉันไม่ใช่ของเล่นของนายนะ”
“แล้วท่าทางผมเหมือนเด็กอยากได้ของเล่นรึไงล่ะ” เธอสะอึกเล็กน้อยกับคำถาม แน่นอนว่าไม่เหมือน เพราะถ้าจะให้เปรียบ เขาก็คงเหมือนเสือ ส่วนเธอคงไม่พ้นเป็นเหยื่อรอให้เขาขย้ำเท่านั้นแหละ
“ก็...ถ้านายไม่ได้เห็นฉันเป็นของเล่น จะบอกว่าที่ทำไปเพราะว่าชอบฉันรึไงล่ะ” เธอโพล่งออกมาอย่างเหลืออด ในขณะที่เขาก็ตอบกลับมาอย่างทันท่วงที
“ดูออกเหรอ” น้ำเสียงทีเล่นทีจริง ประหนึ่งว่าตอบโดยไม่คิด ทำเอาคนถามโกรธจนตัวสั่นเทิ้ม แต่เพราะสถานที่ไม่เอื้ออำนวย อีกทั้งสถานการณ์ก็ไม่เป็นใจให้เธออาละวาดได้ เชลยอย่างเธอจึงทำได้เพียงอดทนอดกลั้นแล้วเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
หลายนาทีที่ต่างฝ่ายต่างเงียบ เธอที่เอือมระอาจนไม่อยากเสวนา ส่วนเขาก็เอาแต่นั่งมองเธอจากทางด้านหลังโดยไม่คิดจะพูดอะไร กระทั่ง...
“เอ๊ะ! ที่นี่มัน” คนที่หันมองนอกหน้าต่างตลอดเวลาขมวดคิ้วทันที เมื่อรถที่นั่งอยู่เลี้ยวเข้ามาในคอนโดของตัวเอง ความสงสัยระคนประหลาดใจทำให้เธอจำต้องหันมามองหน้าคนข้างๆ ด้วยความคลางแคลง
“ผมก็แค่อยากให้รู้เอาไว้ว่าไม่ว่าคุณจะพยายามแค่ไหน คุณก็หนีผมไม่พ้น จากนี้ไปคุณจะมีผมอยู่ในชีวิต ตราบเท่าที่ผม...ต้องการ” เขาบอกพลางค่อยๆ คลี่ยิ้มให้ ถึงแม้รอยยิ้มจะทำเอาใจสั่น แต่เพราะคำพูดที่ออกจากปากก็ทำเอาใจเจ็บ
“ไหนบอกไม่ได้เห็นฉันเป็นของเล่น แต่ที่พูดมา ฉันก็ไม่ต่างอะไรกับของเล่นในสายตานายอยู่ดี”
“มันก็ขึ้นอยู่กับว่า...คุณจะยอมให้ผมเล่น แล้วเราจะเล่นกันแบบไหนเท่านั้นเอง”
“ไอ้...” ยังไม่ทันจะได้พ่นคำผรุสวาท เขาก็ฉกวูบลงมาจุ๊บที่ริมฝีปากเธอเร็วๆ ทำเอาคนถูกขโมยจูบถึงกับตาโต ครั้นจะพ่นคำร้ายๆ ออกมาให้สาแก่ใจก็เกรงว่าอีกฝ่ายจะทำมากกว่านี้ จึงทำได้แค่เอามือปิดปากแล้วมองคนตรงหน้าด้วยสายตาอาฆาตแค้น แต่ท่าทางนั้นกลับถูกอกถูกใจเขาซะได้
“ฮ่าๆๆ น่ารักจัง” ความน่ารักที่ว่าทำให้เขาอดใจไม่ไหว ยื่นมือไปหยิกที่แก้มเธอด้วยความมันเขี้ยว
“น่ารักขนาดนี้ ผมชักอยากเปลี่ยนใจแล้วพาคุณกลับบ้านด้วยกันแทน ไปอยู่ด้วยกันไหม” อีกครั้งที่เธอตาโตจนแทบถลน ก่อนจะรีบเปิดประตูลงจากรถแล้วก้าวฉับออกไป ด้วยกลัวว่าพ่อคุณจะเปลี่ยนใจจริงๆ
“ไว้เจอกันนะครับที่รัก” ชายหนุ่มตะโกนไล่หลัง แต่มันกลับทำให้เธอเร่งฝีเท้าเร็วยิ่งกว่าเดิม
“น่ารัก” เขาพึมพำขณะมองตามหลังเธอจนลับสายตา จากนั้นก็นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตามลำพัง แต่สีหน้าท่าทางของเขาตอนนี้กลับดูน่าสยดสยองในสายตาของพลขับที่นั่งอยู่ตอนหน้าเสียเต็มประดา
“ไม่ยักรู้ว่าชอบรุ่นใหญ่นะครับเดี๋ยวนี้” ขุนเขาที่เป็นทั้งเพื่อนและบอดีการ์ดลองเลียบๆ เคียงๆ
“รุ่นใหญ่อะไร ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้ไอ้ขุน แบบนี้เขาเรียกกำลังพอดีกินโว้ย แล้วก็อร่อยมากด้วย” เห็นเจ้านายโวยวาย ขุนเขาจึงได้แต่ตบปากตัวเองแบบงงๆ ก่อนจะบ่นพึมพำออกมาเบาๆ
“อย่าบอกนะว่ากำลังคลั่งรัก”
“ดูออกเหรอ” บอดีการ์ดหนุ่มถึงกับทำหน้าแหย เมื่อเจ้านายไม่เพียงไม่ปฏิเสธ แต่ยังตอบรับด้วยรอยยิ้มน่าสยดสยอง
ตัดมาที่ฟากฝั่งของเจติยา หลังจากที่หลุดรอดออกมาจากกรงเล็บเสือได้ เธอก็แทบจะวิ่งเข้าคอนโด
“รู้ที่อยู่กันขนาดนี้ ชีวิตฉันคงหาความสงบไม่ได้อีกแล้วสินะ” เธอพึมพำด้วยความสิ้นหวังระหว่างกำลังเดินอย่างคนหมดอาลัยตายอยากมาที่ห้องของตัวเอง กระทั่งเมื่อเปิดเข้าไป ความสิ้นหวังก่อนหน้าก็กลายเป็นความหงุดหงิดทันที
“จะมาทำไมไม่บอก อีกอย่างเวลาจะเข้าห้องคนอื่นก็ควรขออนุญาตก่อนสิ” เจติยาเข้ามาด้วยสีหน้าสุดเซ็ง เมื่อพบว่าในห้องของตัวเองมีหลายคนนั่งอยู่ โดยเฉพาะบุคคลที่ไม่พึงประสงค์
“ห้องตัวเองซะเมื่อไหร่ ห้องคุณลุงต่างหาก คุณลุงเป็นเจ้าของห้อง ทำไมต้องขออนุญาตด้วย” ดาวประดับที่มีศักดิ์เป็นลูกเลี้ยงของพ่อเธอลอยหน้าลอยตาแทรกขึ้น
“แล้วใครอนุญาตให้เธอสอดเรื่องของฉันไม่ทราบ เป็นแค่คนนอกมีสิทธิ์อะไรมาเสนอหน้า” เจติยาหันมาตอกกลับนัยน์ตาขุ่นขวาง
“ดาวก็แค่พูดเรื่องจริง ทำไมต้องว่ากันแรงๆ ด้วย จริงไหมคะคุณลุง” ดาวประดับเดินกระแทกส้นเท้าไปยืนข้างๆ เจนจบพ่อของเธอด้วยหวังจะหาตัวช่วย
“แล้วฉันพูดไม่จริงตรงไหน ไม่ด่าว่าเสือกก็บุญแค่ไหนแล้ว” เธอยังคงตอกกลับอย่างไม่คิดจะไว้หน้า
“นี่...” ดาวประดับชี้หน้าตั้งท่าจะด่ากลับ แต่ก็เปลี่ยนใจหันมาหาตัวช่วยข้างๆ
“คุณลุงดูพี่เจสิคะ ดาวพูดดีด้วยแท้ๆ” ดาวประดับเกาะแขนเจนจบด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“ดีกับบ้าอะไร แม่เธอไม่เคยสอนเรื่องมารยาทรึไง ว่าถ้ายุ่งเรื่องของคนอื่นเขาเรียกว่าเสือก อ้อ! ลืมไป จะสอนได้ไง ขนาดแม่เธอยังไม่มี” คนที่ถูกพาดพิงถึงอย่างดวงเดือนถึงกับกัดฟันกรอด แต่ก็เลือกที่จะไม่ตอบโต้
“มันจะมากไปแล้วนะยัยเจ พูดอะไรให้มันรู้ขอบเขตซะบ้าง” เจนจบตะคอกลูกสาวเสียงเขียว
“ทำไมไม่เตือนคนของพ่อบ้างล่ะ หนูอยู่ของหนูดีๆ ถ้าไม่เสนอหน้ามาแส่เรื่องของหนู หนูก็ไม่อยากข้องแวะให้เป็นเสนียดหรอก แล้วถ้าจะมีคนไม่รู้ขอบเขต ก็คงมีแต่พ่อนั่นแหละที่ไม่รู้อะไร ถึงได้คว้าผู้หญิงพรรค์นั้นมาทำเมีย”
“เจติยา!” เจนจบตวาดเสียงกร้าว
“ใจเย็นกันก่อนนะครับ ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากัน เจ...ถือว่าพี่ขอร้องนะ” กวินบอกผู้เป็นพ่อ ก่อนจะหันไปแตะที่แขนน้องสาวเบาๆ ถึงแม้รายนั้นจะเป็นเพียงเด็กที่ถูกพ่อเธอเก็บมาเลี้ยง แต่เพราะโตมาด้วยกัน เธอจึงมิได้ต่อต้าน ด้วยเห็นอีกฝ่ายเป็นเหมือนพี่ชายแท้ๆ ของตัวเอง
“ก็ได้ค่ะ เห็นแก่พี่วิน เพราะต่อให้ไม่มีใคร อย่างน้อยก็ยังมีพี่ที่อยู่ข้างเจ” ปากก็บอกว่ายอม แต่ก็ยังไม่วายหันไปแขวะผู้เป็นพ่ออีกอยู่ดี ในขณะที่คนถูกแขวะก็เดือดขึ้นมาอีก